เกิดใหม่อีกครั้ง ฉันเป็นองค์ชาย - ตอนพิเศษ 13 รุ่ยเอ๋อร์หายไป / ตอนพิเศษ 14 กล่าวว่าอยากลาสิกขาอะไรนั่น
- Home
- เกิดใหม่อีกครั้ง ฉันเป็นองค์ชาย
- ตอนพิเศษ 13 รุ่ยเอ๋อร์หายไป / ตอนพิเศษ 14 กล่าวว่าอยากลาสิกขาอะไรนั่น
ตอนพิเศษ 13 รุ่ยเอ๋อร์หายไป
จวินรุ่ยซียังจำได้ว่ายามที่พวกเขาหล่นลงมาจากบนหน้าผา เจียสือไม่แม้แต่จะคิด แทบจะปกป้องนางเอาไว้ในอ้อมแขนให้ปลอดภัยโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้นตกลงมาจากบนหน้าผาสูงขนาดนั้น นางก็เพียงแค่เท้าแพลงเท่านั้น
จวินรุ่ยซีไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด จนกระทั่งท้องฟ้ามีฝนปรอยๆ ตกลงมา น้ำฝนอันเย็นเยียบกระทบบนใบหน้าของเจียสือ เจียสือถึงได้ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
พอลืมตาก็เห็นจวินลุ่ยซีซึ่งมีท่าทางเป็นกังวลอย่างที่สุด เจียสือพยายามฝืนยันร่างกายขึ้นมา จีวรสีขาวไม่อาจมองเห็นเป็นสีเดิมได้เสียแล้ว
เมื่อเห็นเจียสือฟื้น จวินรุ่ยซีถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก นางส่งเสียงถอนใจยาว และกล่าวว่า “เณรน้อย ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว”
เจียสือรู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนบดทับไปทั้งตัว แต่ก็ยังสูดหายใจเข้าลึกๆ เผยรอยยิ้มซึ่งฝืนพยายามเล็กน้อยออกมา “ท่านหญิงวางใจเถิด เสี่ยวเซิงไม่เป็นไร”
“เจ้าเดินได้หรือไม่ ข้าเพิ่งเจอถ้ำแห่งหนึ่งที่ข้างหน้า ให้ข้าพยุงเจ้าไปดีหรือไม่”
เจียสือมองไปทางที่จวินรุ่ยซีชี้อยู่ครู่หนึ่ง และพยักหน้าลง
เพียงแค่ลุกขึ้นยืนจากพื้น เจียสือก็รู้สึกเจ็บปวดยากเกินทน แต่เพื่อไม่ให้จวินรุ่ยซีที่อยู่ข้างๆ ต้องเป็นกังวล ก็ได้แต่ต้องกัดฟันแน่น ไม่ให้ตัวเองส่งเสียงออกมา
ระยะทางสั้นๆ ไม่กี่สิบเมตร พวกเขาก็เดินเป็นเวลาครึ่งเค่อแล้ว
ภายในถ้ำยังมีเสื่อฟางหญ้าอยู่ผืนหนึ่ง ดูท่าทางเหมือนจะเป็นเวลาหลายปีแล้ว ข้างเสื่อฟางหญ้าเป็นรอยก่อเพลิงวงสีดำ
จวินรุ่ยซีพยุงเจียสือให้นั่งลง เห็นภาพฉากเช่นนี้ จู่ๆ ก็พลันนึกถึงถ้ำที่เมื่อก่อนจวินชิงเหยียนเคยบอกนางขึ้นมา เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน ยามล่าสัตว์ในสารทฤดู เขากับหลิงลั่วที่ยังอยู่ในชุดบุรุษเคยอยู่ที่ถ้ำแห่งนั้นมาก่อน
เมื่อก่อนจวินรุ่ยซีอยากให้หลิงลั่วพานางมาดูโดยตลอด คาดไม่ถึงว่าครั้งแรกที่นางได้มาเยือน จะเป็นในสภาพแบบนี้
ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว เสื่อฟางหญ้าผืนนั้นก็ชำรุดทรุดโทรมอยู่ก่อนแล้ว แต่เหมือนกับว่ายังคงอบอุ่นอยู่เช่นเดิม
จวินรุ่ยซีนั่งอยู่ข้างๆ เจียสือ ฉับพลันก็นึกเกลียดชังว่าเหตุใดในตอนแรกตัวเองถึงไม่ร่ำเรียนทักษะการแพทย์กับ หลิงลั่วให้ดีๆ
นางกอดเข่าสองข้าง เอียงศีรษะ เผยดวงตาสองข้างที่ใสสะอาดและมีความรู้สึกผิดเป็นอย่างมากมองเจียสือ “เณรน้อย…ที่จริง ถ้าหากเมื่อครู่เจ้าไม่สนใจข้าละก็ เจ้ายังจะสามารถถอนตัวไปได้อย่างปลอดภัยใช่หรือไม่ ข้าทำให้เจ้าต้องมาพัวพันเดือดร้อน…”
เจียสือมองจวินรุ่ยซี นึกถึงคำพูดที่เจียฟ่านเพิ่งจะกล่าวขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน
เขาจิตใจหวั่นไหวจริงๆ หรือ? เขาจิตใจหวั่นไหวให้แก่ท่านหญิงเชื้อพระวงศ์ผู้นี้จริงๆ หรือ?
แต่ว่าความคิดเมื่อสักครู่ของเขา ก็ไม่อยากให้นางได้รับบาดเจ็บสักนิดเลยจริงๆ!
อีกทางด้านหนึ่ง เจียฟ่านยังไม่ได้ออกจากป่าก็ถูกจวินนั่วเหยียนพบเจอเข้า พร้อมกับพากลับมาที่ตั้งค่ายด้วย
“เจ้าเป็นใคร? เหตุใดถึงได้ปรากฏตัวอยู่ที่พื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์?”
จวินโม่เซิงมองเจียฟ่านที่ถูกจวินนั่วเหยียนพาตัวมา พร้อมขมวดคิ้วเอ่ยถาม
หลิงลั่วขมวดคิ้ว เป็นพระภิกษุรึ? หรือว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเจียสือ?
จวินชิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็สังเกตเห็นในประเด็นนี้เหมือนกัน เขาหรี่ดวงตา แต่กลับไม่ได้เอ่ยปาก
“เขาคือเจียฟ่าน เป็นลูกศิษย์คนโตของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงแห่งวัดชิงย่วน”
ทว่าจวินลั่วชิงรู้จักคนคนนี้ แต่ก่อนเมื่อเขาไปที่วัดชิงย่วน เคยได้เจอเจียฟ่านอยู่หลายครั้ง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
หลิงลั่วขมวดคิ้ว ในเวลานี้เองฉู่อิ้งหานก็ได้วิ่งเข้าไปในกระโจม
“ท่านพ่อ! ท่านแม่! แย่แล้ว! รุ่ยเอ๋อร์หายไปแล้ว! อีกทั้งเจียสือก็หายไปด้วย!”
“อะไรนะ?!”
คำพูดของฉู่อิ้งหาน ทำให้คนในกระโจมไม่เป็นอันสงบเสียแล้ว
หลิงลั่วสาวเท้าเดินฉับๆ ไปตรงหน้าเจียฟ่าน และคว้าคอเสื้อของเจียฟ่านเอาไว้
“รุ่ยเอ๋อร์อยู่ที่ไหน?”
ตอนพิเศษ 14 กล่าวว่าอยากลาสิกขาอะไรนั่น
เสียงของหลิงลั่วค่อนข้างต่ำ ฟังออกว่านางกำลังอดกลั้นความโกรธอยู่
เจียฟ่านมองไปข้างๆ ไม่ได้สนใจความโกรธของหลิงลั่วเลย
“ไม่พูดรึ?”
หลิงลั่วกลับยิ้มด้วยความโมโหถึงขีดสุด “ได้สิ เจ้าไม่พูด เช่นนั้นข้าก็จะนำกองทัพตระกูลหลิง ไปสยบวัดชิงย่วนให้ราบคาบ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงลั่ว เจียฟ่านรีบหันหน้ากลับมา แต่กลับไม่เห็นเจตนาล้อเล่นในดวงตาของหลิงลั่วเลยแม้แต่น้อย
เจียฟ่านเม้มริมฝีปาก หากไร้ซึ่งวัดชิงย่วนแล้ว เช่นนั้นที่เขาเพิ่งทำไปจะมีความหมายอะไร?
ถึงอย่างไรเจียสือกับจวินรุ่ยซีก็ตกหน้าผาลงไปหมดแล้ว เป็นลางร้ายมากกว่าลางดี ถึงแม้บอกพวกเขาแล้ว ก็คงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก…
“พวกเขาตกหน้าผาไปแล้ว ข้าสามารถพาพวกท่านไปได้”
จวินนั่วเหยียน จวินลั่วชิงและคนอื่นๆ พานายทหารที่พามาล่าสัตว์ ควานหาอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
เพราะว่ามีผักป่าอยู่หนึ่งตะกร้า จวินรุ่ยซีกับเจียสือก็คงพอทนอยู่ได้หลายวัน
รอจนหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของจวินรุ่ยซี หลิงลั่วรอต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็เลยลงไปหาที่ใต้หน้าผาด้วยตัวเอง
นางจำได้ว่านางเคยบอกจวินรุ่ยซีว่าที่นั่นมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง เป็นถ้ำที่ในปีนั้นนางเคยอยู่กับจวินชิงเหยียน
ยามเมื่อหลิงลั่วหาจวินรุ่ยซีพบ นางกับเจียสือกำลังคลอเคลียอยู่ด้วยกัน หลิงลั่วไม่ทราบว่าระหว่างพวกเขานั้นเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าระหว่างพวกเขาได้มีอะไรเป็นที่แน่นอนแล้ว
หลังจากพาจวินรุ่ยซีกับเจียสือกลับไปที่ตั้งค่ายแล้ว จวินรุ่ยซีก็ถามหลิงลั่วว่าต้องทำเช่นไรเจียสือถึงจะสามารถลาสิกขาได้
หลิงลั่วได้ยินคำถามของจวินรุ่ยซีก็พลันมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็เอ่ยถามว่า “รุ่ยเอ๋อร์ เจียสือเขากล่าวว่าอยากลาสิกขาหรือ”
การพัฒนาเช่นนี้จะเร็วเกินไปหรือไม่?
แต่ว่า… หลิงลั่วหัวเราะน้อยๆ จะเร็วก็เร็วไปเถิด หากว่าบุตรสาวของนางและเด็กผู้ซื่อตรงอย่างเจียสือสามารถมีความสุขได้ เรื่องอื่น นางจะช่วยพวกเขาแบกรับเอง!
แต่ยามขณะที่หลิงลั่วไปเยี่ยมเจียสือนั้น กลับเจอกระโจมว่างเปล่าไร้คนแม้แต่คนเดียว กับกระดาษบนโต๊ะที่หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงทิ้งเอาไว้
ในดวงตาหลิงลั่วค่อยๆ ปรากฏความหนาวเยือกออกมา คาดไม่ถึงว่าหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงจะใช้ไม้นี้กับนาง!
หนึ่งเดือนต่อมา ณ วัดชิงย่วน
เณรสองรูปยกอาหารเจ เดินมุ่งไปยังศาลเจ้าที่ปิดอยู่ของเจียสือ
“เป็นอย่างไรบ้าง อาจารย์ยังไม่ยอมปล่อยเจียสือออกมาอีกหรือ”
“นี่ก็หมดหนทางแล้ว ใครใช้ให้หลังจากอาจารย์พาเจียสือกลับมา แล้วเจียสือก็วิ่งไปกล่าวกับเจ้าอธิการว่าอยากลาสิกขาอะไรนั่น เจ้าอธิการไม่แสดงความเห็น อย่างนั้นก็ยอมรับวิธีกระทำของอาจารย์โดยปริยายแล้วกระมัง?”
“เฮ้อ นี่ก็หนึ่งเดือนเข้าไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรเจียสือจะได้ออกมา แต่ก่อนเขาไม่เคยถูกลงโทษให้เข้าไปในศาลเจ้าเลย”
พวกเขาไม่ทราบว่าบนสันกำแพงที่อยู่ไม่ไกลออกไป มีเงาคนสองคนอยู่ตรงนั้น
“ท่านพี่ ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ เจียสือถูกขังอยู่ในศาลเจ้าของวัดชิงย่วน!”
จวินรุ่ยซีมองยังทิศทางที่เณรน้อยสองรูปจากออกไป และกล่าวกับจวินนั่วเหยียนซึ่งอยู่ข้างกาย
เพื่อช่วยให้เจียสือออกมาได้ จวินรุ่ยซีไม่เสียดายที่จะสละเวลาหนึ่งเดือนของตัวเอง อยู่ในบ้านอย่างสงบเสงี่ยม และร่วมปรึกษาหารือกับหลิงลั่ว จวินชิงเหยียน และยังมีจวินนั่วเหยียนกับจวินลั่วชิงว่าจะช่วยเจียสือออกมาอย่างไร
จวินนั่วเหยียนพยักหน้า เอื้อมมือออกมาลูบศีรษะของจวินรุ่ยซี และกล่าวว่า “วางใจเถิดเป่าเป้ย มีพี่อยู่ด้วย ต้องช่วยเจียสือออกมาได้แน่! ส่วนเจ้าก็รอพี่อยู่ที่นี่ รอหลังจากช่วยเจียสือออกมาแล้ว ค่อยลงเขาไปรวมตัวกับลั่วชิง!”
“ได้เพคะ!”
จวินรุ่ยซีพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง ดูท่าทางจวินนั่วเหยียนที่จากไปด้วยการใช้วิชาตัวเบา ก็รู้สึกอิจฉาในใจเป็นอย่างมาก
หากทราบว่าจะมีวันเวลาแบบนี้เสียก่อน นางคงต้องฝึกวิชาอย่างเชื่อฟังว่าง่ายๆ ไม่แอบขี้เกียจเป็นอันขาด!