ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ - ตอนที่ 109
ดูเหมือนว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ได้ยิน เมื่อเขาเห็นถังโจวโจวลงจากรถแล้ว เขาก็ขับรถออกไปเลย ถังโจวโจวสังเกตเห็นความผิดปกติได้ในที่สุด นี่เขากำลังอารมณ์เสียใช่ไหม?
ถังโจวโจวสับสน แต่ตอนนี้เธอไม่มีเวลามาสำรวจว่าตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับลั่วเซ่าเชิน เดี๋ยวค่อยกลับไปถามที่บ้านก็แล้วกัน
ตกเย็น หวังหวาก็มารับถังโจวโจวกลับบ้าน หวังหวาเปิดประตูให้ถังโจวโจว ถังโจวโจวพบว่าที่เบาะด้านหลัง ไม่มีแม้แต่เงาของลั่วเซ่าเชิน เธอเอ่ยถามว่า “เซ่าเชินล่ะคะ” โดยปกติแล้วเขาจะมารับเธอ แล้วทำไมวันนี้ถึงไม่มา?
หวังหวาตอบกลับด้วยความเคารพ “ท่านผอ. ไปรับคุณหนูลั่วอิงครับ เชิญคุณผู้หญิงครับ” เช้าวันนี้ เมื่อลั่วเซ่าเชินมาถึงบริษัท หวังหวาก็พบว่าเจ้านายของเขาไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร
เขากับลูซี่มองหน้ากัน สงสัยว่าวันนี้คงจะต้องสงบปากสงบคำกันสักหน่อย เพราะว่าเจ้านายของพวกเขาอาจจะโมโหขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกผู้จัดการที่เดินเข้าไปในออฟฟิศของลั่วเซ่าเชินในวันนี้ เดินหน้าซีดออกมากันทุกคน
แล้วก็ไม่ต้องบอก พวกเขาถูกเอ็ดจนเงยหน้าไม่ไหว หวังหวารู้สึกว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นผลพวงจากภรรยาของท่านผอ. เขาอยู่กับลั่วเซ่าเชินตลอด วันไหนที่ลั่วเซ่าเชินอารมณ์ไม่ดี วันนั้นเขาจะต้องมีปัญหากับถังโจวโจว หรือไม่ถังโจวโจวก็เป็นคนทำให้เขาอารมณ์เสีย
แต่ลั่วเซ่าเชินเป็นคนที่เก็บงำความในใจ เขาจะไม่พูดมันออกมาตรงๆ และปล่อยให้ถังโจวโจวคาดเดาเอาเอง แต่มีหรือที่ถังโจวโจวจะคิดมาก คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานถึงได้ต้องกลายเป็นคนอย่างพวกเขานี่อย่างไรเล่า
เมื่อหวังหวาเห็นถังโจวโจวนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็ออกรถอย่างนุ่มนวล “คุณผู้หญิงครับ ดูเหมือนว่าวันนี้ท่านผอ. จะอารมณ์ไม่ค่อยดี คุณผู้หญิงระมัดระวังหน่อยนะครับ” หวังหวาเอ่ยเตือนถังโจวโจวไว้ก่อน เนื่องด้วยหวังหวามีภาพความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับโจวโจว
ก่อนหน้านี้ ถังโจวโจวเคยมาอยู่ที่ลั่วกรุ๊ปช่วงหนึ่ง ถังโจวโจวไม่เคยถือตัวอวดดี ลูซี่ให้เธอทำอะไร เธอก็ไม่ปฏิเสธเพราะลั่วเซ่าเชินเป็นผู้อำนวยการ ในทางกลับกัน ถ้าเป็นเรื่องที่เธอต้องทำ ขอแค่เธอมีความสามารถ เธอก็จะทำมันได้ดี
“ตกลงนี่เขาอารมณ์ไม่ดีเพราะฉันหรือเปล่า” ถังโจวโจวบ่นพึมพำ แต่บนรถนั้นเงียบมาก หวังหวาจึงได้ยินเต็มสองรูหู เขาจนปัญญาจริงๆ นี่คุณผู้หญิงเองก็ไม่รู้เหรอ? แล้วอย่างนี้คนอย่างพวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไร
ถังโจวโจวเองก็ตระหนักได้ว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไร เธอจึงยิ้มแห้งๆ หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้สนทนากับหวังหวาอีก จนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน “ขอบคุณค่ะ” หลังจากขอบคุณหวังหวาแล้ว ถังโจวโจวก็ไม่ได้ขอให้เขาช่วยเปิดประตูให้เธออีก เธอเปิดประตูแล้วลงจากรถด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวเข้าไปในบ้านแล้ว หวังหวาก็ขับรถออกไปจากคฤหาสน์หลังเล็ก เมื่อถังโจวโจวเข้ามาในบ้าน เธอก็พบว่าลั่วอิงและลั่วเซ่าเชินนั่งอยู่บนโซฟา ไม่รู้ว่าลั่วอิงพูดอะไร ลั่วเซ่าเชินถึงได้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์ดีแล้ว
ถังโจวโจวค่อยๆ วางใจลง เขาก็ดูปกติดีนี่ คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แม้เธอจะยังไม่แน่ใจนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าคิดมากไปทำไม ในเมื่อทุกปัญหาย่อมมีทางออกอยู่เสมอ
“แม่โจวโจวขา กลับมาแล้วเหรอคะ” เมื่อลั่วอิงเห็นถังโจวโจว เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหา แต่หลังจากถูกลั่วเซ่าเชินขวางอยู่หลายครั้ง เธอก็เข้าใจได้ว่าตอนนี้มีน้องตัวเล็กๆ อยู่ในท้องของถังโจวโจว เธอไม่สามารถโถมร่างเข้าไปหาถังโจวโจวได้เหมือนปกติ ดังนั้นเธอจึงหยุดเมื่อเข้าใกล้ถังโจวโจว
ลั่วเซ่าเชินระมัดระวังเรื่องการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เมื่อเขาเห็นลั่วอิงวิ่งตรงเข้าไปหาถังโจวโจว เขาก็กลัวว่าเธอจะวิ่งเข้าไปชนหน้าท้องของถังโจวโจว เขากังวลใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าลั่วอิงจะยังเด็ก แต่เธอก็จำคำของเขาได้ ลั่วเซ่าเชินแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาต่อไป
ถังโจวโจวกดจูบลงบนแก้มเล็กๆ ของลั่วอิงอย่างหนัก “ลั่วอิง วันนี้ไปโรงเรียนมาเป็นยังไงบ้างคะ หนูเชื่อฟังคุณครูหรือเปล่า มื้อเที่ยงกินข้าวไปเยอะไหม”
“ค่ะ วันนี้หนูกินข้าวชามใหญ่เลย!”
ถังโจวโจวได้ยินคุณครูประจำชั้นของลั่วอิงพูดถึงเมื่อไม่นานมานี้ว่า ช่วงนี้ลั่วอิงมักจะไม่ค่อยกินมื้อกลางวัน แต่เธอก็ไม่ได้กินขนมอื่นๆ ด้วย คุณครูเห็นว่าเธอเป็นแบบนี้อยู่หลายวัน และในที่สุดก็ทนกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ไหว เพราะคุณครูกลัวว่าลั่วอิงที่ไม่กินอะไรเลยอาจจะไม่สบายได้ เธอจึงโทรไปหาถังโจวโจว
ดังนั้น ในช่วงนี้เมื่อลั่วอิงกลับมาถึงบ้าน ถังโจวโจวก็มักจะถามคำถามนี้กับเธอ ต่อมาเมื่อถังโจวโจวได้กระซิบกระซาบกับลั่วอิง เธอจึงได้รู้ว่าที่ลั่วอิงไม่ค่อยกินมื้อกลางวันนั้นเป็นเพราะบริเวณใกล้ๆ กับโรงเรียนมีแมวน้อยสีขาวอยู่ตัวหนึ่ง เธอแอบนำข้าวกลางวันที่เธอได้มาเลี้ยงแมวน้อยทุกวัน
ถังโจวโจวเข้าใจดี เด็กผู้หญิงทุกคนล้วนชอบสัตว์ที่มีขนปุกปุยน่ารัก แต่มันก็ไม่ถูกต้องที่ตัวเองไม่กินข้าว หลังจากที่ถังโจวโจวทราบเรื่อง เธอจึงวานให้ป้าหลิวเตรียมข้าวกล่องเล็กๆ ให้ลั่วอิงถือไปโรงเรียนทุกเช้า เพื่อเลี้ยงแมวน้อยตัวนั้น
แล้วก็เป็นไปตามคาด คุณครูบอกว่าลั่วอิงเริ่มกินข้าวแล้ว แต่ถังโจวโจวก็ยังคงถามคำถามเดิมกับลั่วอิงเช่นนี้ทุกวัน หนึ่งคือเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเธอและลั่วอิง สองคือเพื่อป้องกันไม่ให้ลั่วอิงรู้สึกว่าเมื่อเธอมีลูกเป็นของตัวเองแล้ว เธอจะไม่สนใจลั่วอิงอีก
ถังโจวโจวพาลั่วอิงมานั่งข้างๆ ลั่วเซ่าเชิน “เซ่าเชิน ฉันกลับมาแล้วค่ะ” ลั่วเซ่าเชินไม่ตอบเธอ เธอเองก็ไม่ได้คุยกับเขาอีก เธอเอาแต่กระซิบกระซาบกับลั่วอิงที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ช่วงนี้เจ้าแมวน้อยเป็นยังไงบ้างคะ อากาศหนาวขนาดนี้ ตอนกลางคืนมันนอนที่ไหน” ถังโจวโจวแค่ได้ยินเรื่องแมวมาจากปากของลั่วอิง ลั่วอิงยังตั้งชื่อให้มันอย่างง่ายๆ ว่า ‘เสี่ยวไป๋’ เพราะว่ามันมีขนสีขาวราวกับหิมะ
แน่นอนว่าตอนที่ลั่วอิงเห็นมันครั้งแรก มันเป็นแมวสีเทา ถังโจวโจวไม่กล้าพามันกลับมาที่บ้าน เพราะกลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ชอบ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งท้อง เธอกลัวว่าคนที่บ้านจะไม่อยากให้เลี้ยงแมว เพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น
“แม่โจวโจวขา ตอนกลางวันเสี่ยวไป๋จะมาหาหนูทุกวัน หนูให้มันกินของที่ป้าหลิวเตรียมไว้ให้ มันชอบมากเลยค่ะ แต่ทุกครั้งที่มันกินเสร็จ เสี่ยวไป๋ก็จะเล่นกับหนูอยู่สักพักแล้วมันก็ไป หนูเองก็ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ที่ไหน”
ลั่วอิงอยากจะพาเสี่ยวไป๋กลับมาอยู่ที่บ้าน แต่เธอก็กลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่เห็นด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าเอ่ยปากขอ
ถังโจวโจวทำได้แค่ปลอบใจ “มันอาจจะมีบ้านของมันอยู่ก็ได้ค่ะ หนูไม่ต้องห่วงนะ มันมาหาหนูหลายวันแล้ว แสดงว่ามันต้องมีที่อยู่แน่นอน” ถังโจวโจวลูบศีรษะของลั่วอิง ลั่วเซ่าเชินโมโหมากยิ่งขึ้น เมื่อเห็นว่าพวกเธอพูดคุยกันอย่างสนุกสนานโดยไม่สนใจเขา
“ลั่วอิง มาหาพ่อนี่มา” พอลั่วเซ่าเชินโกรธ เขาก็จงใจหาเรื่องถังโจวโจว เขาอยากจะแย่งลั่วอิงกลับมา จะดูซิว่าพวกเธอจะยังคุยอะไรกันได้อีก
แต่ลั่วอิงกลับไม่เล่นด้วย “คุณพ่อขา หนูคุยกับแม่โจวโจวอยู่ เดี๋ยวหนูไปหานะคะ” ลั่วอิงยังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกมากมายเกี่ยวกับเสี่ยวไป๋จะเล่าให้ถังโจวโจวฟัง เธอยังไม่ว่างสนใจลั่วเซ่าเชินตอนนี้
ถังโจวโจวแอบมองเขาเล็กน้อย แล้วก็เห็นว่าเขาหงุดหงิดมาก เธอจึงแกล้งทำเป็นไม่เห็น ไม่รู้ว่าวันๆ ผู้ชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ขยับนิดขยับหน่อยก็โมโหแล้ว
เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่สนใจ ไฟโกรธในตัวก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก พอดีกันกับที่ป้าหลิวเดินออกมาจากห้องครัว “คุณชาย คุณผู้หญิง คุณหนู ทานข้าวได้แล้วค่ะ” เธอรู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นนั้นผิดปกติไป แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ถังโจวโจวพาลั่วอิงไปที่โต๊ะอาหาร เธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินนั่งแช่อยู่ตรงนั้นและไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย “เซ่าเชิน ทานข้าวค่ะ”
เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินถังโจวโจวเรียกเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่อิดออดและนั่งลงข้างๆ เธอ ป้าหลิวเสิร์ฟอาหารขึ้นโต๊ะ ในขณะที่ถังโจวโจวกินข้าว เธอก็นึกถึงว่าตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว ต้องกินหม้อไฟสิถึงจะถูก จากนั้นเธอก็เห็นว่าป้าหลิวยกหม้อซุปออกมาอีกหม้อ จึงเอ่ยว่า “ป้าหลิวคะ เย็นพรุ่งนี้ทานหม้อไฟกันดีกว่าค่ะ”
ทันทีที่ถังโจวโจวพูดถึงหม้อไฟ น้ำลายของเธอก็เริ่มสอ ในเมื่อลั่วเซ่าเชินไม่อนุญาตให้เธอออกไปกินข้าวข้างนอก ถ้าอย่างนั้นเธอก็ทำกินเองที่บ้าน แล้วเธอก็จะได้ชวนหลินเหยาให้มากินด้วยกัน
“ถ้าคุณผู้หญิงอยากทาน พรุ่งนี้ฉันจะต้มน้ำซุปไว้ค่ะ พอถึงตอนค่ำจะได้เอามาทำเป็นน้ำซุปหม้อไฟค่ะ” ป้าหลิวเองก็คิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี
“ลั่วอิงอยากกินหม้อไฟไหมคะ” ถังโจวโจววางหัวไชเท้าลงในชามของลั่วอิง เธอเห็นลั่วอิงทำปากจู๋ เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบ แต่ถังโจวโจวก็จ้องมองไม่วางตา ท้ายที่สุดลั่วอิงก็รีบคีบหัวไชเท้าใส่ปากของตัวเอง แต่ก็ยังแสดงท่าทางราวกับว่ากำลังกินของมีพิษอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากกลืนหัวไชเท้าลงไปแล้ว ลั่วอิงจึงเปิดปากพูด “อยากค่ะ หนูอยากทาน”
“เซ่าเชิน ฉันชวนเหยาเหยามาทานด้วยได้ไหมคะ” ถังโจวโจวหันไปมองลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า
“นี่ก็บ้านของคุณเหมือนกัน คุณอยากชวนใครก็ชวนเถอะ”
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินตอบตกลงแล้ว หลังจากกินข้าวเสร็จ เธอก็โทรชวนหลินเหยา หลินเหยาตอบตกลงในทันที
วันต่อมา หลังจากที่ถังโจวโจวเลิกงาน เธอรีบเตรียมพร้อมอย่างเร่งด่วน ป้าหลิวต้มซุปกระดูกหมูเอาไว้แล้ว เมื่อเห็นถังโจวโจวเข้ามาในครัวก็พูดย้ำว่า “คุณผู้หญิงออกไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวตรงนี้ฉันจัดการให้”
ถังโจวโจวไม่ยอม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้าหลิว ไหนดูซิว่ามีอะไรที่ฉันพอช่วยได้บ้าง” ถังโจวโจวกวาดตามองไปรอบๆ และพบว่าป้าหลิวเตรียมไว้จวนจะเสร็จแล้ว เธอจึงไม่มีโอกาสได้ช่วย
“คุณผู้หญิงกำลังท้องอยู่นะคะ ฉันเตรียมเอาไว้หมดแล้วล่ะค่ะ เพื่อนของคุณผู้หญิงมาถึงหรือยังคะ คุณผู้หญิงออกไปรับเธอดีกว่าไหมคะ” ป้าหลิวคิดทบทวนแล้ว ถังโจวโจวกำลังท้องอยู่ เธอจะกล้าขอให้ช่วยได้อย่างไร นอกจากนี้ทุกอย่างก็เตรียมเอาไว้จวนจะเสร็จแล้ว รอแค่ยกหม้อออกไป แล้วพวกเธอก็ลงมือรับประทานกันได้เลย
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเธอช่วยอะไรไม่ได้ เธอจึงถอยออกมาจากห้องครัว “ถ้าอย่างนั้นป้าหลิวก็จัดการเถอะค่ะ ฉันขอตัวออกไปก่อน”
“ค่ะ คุณผู้หญิง อีกเดี๋ยวก็ได้ทานแล้วค่ะ” ป้าหลิวขยับมือไม่หยุด
เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าหลินเหยายังไม่มา เธอจึงโทรศัพท์หา ปรากฏว่าหลินเหยาบอกว่าใกล้จะถึงแล้ว ถังโจวโจวจึงไม่ได้เร่งอะไรอีก เธอยืนรออยู่ที่หน้าประตูและชะเง้อมองออกไปข้างนอก
วันนี้เป็นอากาศดูมืดครึ้ม ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งผืนแล้ว ช่วงนี้เป็นเวลาข้าวเย็น ดังนั้นข้างนอกจึงไม่ค่อยมีคน
เมื่อถังโจวโจวเห็นรถคันหนึ่งขับมาทางนี้ เธอก็คิดว่าเป็นหลินเหยา เธอจึงรีบเดินออกไป “เหยาเหยา มาช้าจังเลย!”
ปรากฏว่าเป็นฟังหยวนที่ลงมาจากรถ ถังโจวโจวประหลาดใจ “ฟังหยวน? มาได้ยังไงคะ” เธอไม่ได้ชวนเขานี่ ทำไมจู่ๆ เขาถึงโผล่มาได้
ฟังหยวนลงจากรถ เขาเห็นว่าถังโจวโจวออกมารับเขา แต่เขาก็ทำทีเป็นไม่รู้เรื่อง “โจวโจว ดูเหมือนคุณจะดีใจที่ผมมานะ ผมยังไม่ทันได้ลงจากรถ คุณก็ออกมายืนรอผมแล้ว เห็นคุณทำแบบนี้ผมดีใจมากเลย”
คำพูดของฟังหยวนมักจะคลุมเครืออยู่เสมอ ถังโจวโจวทนไม่ได้ “คุณชายฟังคะ คุณยังไม่ได้บอกเลยว่าคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ฉันว่าฉันไม่ได้ชวนคุณนะ”
ฟังหยวนหมุนกุญแจรถ “โจวโจว เราจะยืนคุยกันอยู่ข้างนอกนี่ใช่ไหม”
ถังโจวโจวได้แต่หลีกทางให้เขาเข้ามา “รีบบอกมานะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไล่คุณเดี๋ยวนี้” ถังโจวโจวพูดอย่างไม่เกรงใจ