ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ - ตอนที่ 133 ยายผู้หญิงซื่อบื้อ
เมื่อเมิ่งชิงซีได้รับข่าวดีจากคุณแม่ลั่ว เธอก็ไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอเอาไว้ได้ ฉินอวิ๋นเห็นว่าเมิ่งชิงซีอารมณ์ดี เธอจึงถามด้วยความประหลาดใจว่า “ชิงซี ไปได้ข่าวดีอะไรมา ทำไมถึงดีใจมากขนาดนี้”
เมิ่งชิงซีนั่งลงข้างๆ ฉินอวิ๋น “แม่คะ หนูมีข่าวดีจะบอก ถังโจวโจวทะเลาะกับเซ่าเชิน ตอนนี้เธอหนีออกจากบ้านไปแล้ว ในที่สุดโอกาสของหนูก็มาถึงแล้วค่ะแม่”
ฉินอวิ๋นคิดว่าลูกสาวของเธอไร้เดียงสามากเกินไป หากเธอไม่ได้ช่วยชิงซีปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อนไว้ได้ทัน ลั่วเซ่าเชินก็คงจะมาเอาเรื่องเธอแล้ว แล้วถ้าเมิ่งไหวเซินรู้ว่าชิงซีเคยก่อเรื่องแบบนั้น เขาเองก็คงไม่ปล่อยลูกสาวไปง่ายๆ เช่นกัน
ตอนนี้ฉินอวิ๋นเห็นว่าลูกสาวของเธออารมณ์ดีอย่างมาก ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปรามเธอ “ชิงซี ครั้งก่อนลูกบอกแม่ว่าเซ่าเชินสงสัยลูกไม่ใช่เหรอ ลูกไม่ต้องกลับไปยุ่งกับเขาหรอก แม่จะหาผู้ชายที่ดีกว่าให้ลูกเอง ดีไหม”
แม้ฉินอวิ๋นจะรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่เขาไม่ได้ชอบลูกสาวของเธอ ถ้าชิงซียังจะดื้อดึงแบบนี้ ตัวเองนั่นแหละจะเป็นฝ่ายที่เจ็บตัว นิสัยของชิงซีไม่เหมือนกับเธอ ในตอนนั้นเพราะเธอเป็นคนที่อดทนเก่ง ท้ายที่สุดเธอจึงสามารถเป็นคนที่ได้นั่งบนบัลลังก์คุณผู้หญิงเมิ่งมาจนถึงทุกวันนี้
“แม่คะ หนูเคยบอกแม่แล้วไง หนูต้องการแค่ลั่วเซ่าเชินคนเดียวเท่านั้น ผู้ชายคนอื่นหนูไม่เอา ทำไมหนูถึงต้องเสียเซ่าเชินให้กับคนอย่างถังโจวโจวด้วย!” เมิ่งชิงซีเดินกระทืบเท้าขึ้นไปข้างบน เธอไม่อยากคุยกับฉินอวิ๋นแล้ว เธอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวออกจากบ้านไปหาลั่วเซ่าเชิน
ฉินอวิ๋นเห็นว่าเธอพูดไม่เข้าหูลูกสาวแค่คำเดียว เมิ่งชิงซีก็เดินกระฟัดกระเฟียดออกไปแล้ว ลูกสาวเธอไม่ได้ฉุกคิดเลยสักนิดว่าที่เธอพูดก็เพราะหวังดี ลูกคนนี้นี่เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ
ฉินอวิ๋นนึกเสียใจจนแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ฉินอวิ๋นไม่สนใจแล้วว่าเธอกำลังเสียใจอยู่หรือไม่ ฉินอวิ๋นเพียงมองดูชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ ก็รีบปาดน้ำตาและกดรับสายทันที ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปคุยข้างในห้อง
“ว่ายังไง ได้เรื่องแล้วเหรอ”
เสียงจากปลายสายคือเสียงของผู้ชายคนหนึ่งที่ฟังดูอ่อนวัยกว่า ฉินอวิ๋นลดเสียงลง เธอกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินเข้า ฝ่ายนั้นต้องการให้ฉินอวิ๋นออกไปพบ เมื่อนัดแนะสถานที่กันเรียบร้อยแล้ว เธอก็วางสายไป
ฉินอวิ๋นกลับไปที่ห้อง เมื่อเธอได้ยินเสียงเมิ่งชิงซีลงไปที่ชั้นล่าง เธอก็รู้ว่าลูกสาวของเธอออกไปแล้ว ในเมื่อเธอไม่สามารถห้ามเมิ่งชิงซีได้ ก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ฉินอวิ๋นเปลี่ยนเป็นเสื้อโค้ทสีดำและสวมหมวกสีดำ จากนั้นเธอก็ออกไปข้างนอก
เมื่อฉินอวิ๋นมาถึงร้านกาแฟตามที่นัดหมายไว้ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อโค้ทสีกากีนั่งอยู่ในมุมลับตาคน ฉินอวิ๋นเดินตรงเข้าไปหา “คุณฉินหรือเปล่าครับ”
ชายหนุ่มคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาถาม ท่าทางเขาดูธรรมดามาก นี่ถ้าฉินอวิ๋นไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาก็อาจเป็นแค่คนไม่น่าจดจำที่แสนธรรมดาคนหนึ่ง
“ของล่ะ?” ฉินอวิ๋นไม่พูดอ้อมค้อม แล้วเธอก็ยิ่งไม่อยากให้ใครจำได้ ถ้าเมิ่งไหวเซินรู้เข้า ตำแหน่งของเธอและลูกสาวจะตกอยู่ในอันตรายได้
ชายหนุ่มคนนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาส่งซองเอกสารให้ฉินอวิ๋น ฉินอวิ๋นหยิบกระดาษออกมาดู และเมื่อเธอพบว่ามันเป็นสิ่งที่เธอต้องการ เธอก็ยื่นการ์ดให้เขาใบหนึ่ง “นี่คือเงินส่วนที่เหลือ ทั้งหมดอยู่ในบัตรใบนี้ ไม่มีรหัสผ่าน”
“หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอีกนะครับ” ทันทีที่ชายหนุ่มคนนั้นดื่มน้ำจนหมดแก้วในอึกเดียว เขาก็เดินออกจากร้านไป ฉินอวิ๋นนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่เดิม เมื่อเธอดื่มจนหมดแก้ว เธอก็หยิบซองเอกสารและเดินออกไปจากร้านกาแฟอย่างเป็นปกติ
เมื่อเธอกลับเข้าไปในรถ ฉินอวิ๋นก็ฉีกซองเอกสารออก ภายในนั้นเขียนบรรยายถึงเรื่องราวของถังโจวโจวตั้งแต่เล็กจนโตไว้อย่างละเอียด หลังจากที่ฉินอวิ๋นได้อ่านดูแล้ว เธอก็มั่นใจในการคาดเดาของเธอมากขึ้น
ถังโจวโจวไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลถังจริงๆ ด้วย เธอเป็นเด็กที่ถูกรับมาเลี้ยงจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า เพียงแต่ ณ ตอนนั้นถังโจวโจวยังเด็กมาก เธอจึงจำอะไรไม่ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น สองสามีภรรยาของตระกูลถังก็ปฏิบัติกับเธอเสมือนลูกแท้ๆ ดังนั้นถังโจวโจวจึงไม่สงสัยอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม ข่าวนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับฉินอวิ๋นเลย แม้ว่าในข้อมูลจะไม่ได้ระบุเอาไว้ แต่วันที่ถังโจวโจวเข้าสู่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า ก็เป็นช่วงที่เสิ่นหลานอีเพิ่งจะเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำเพียงไม่กี่วัน ซึ่งนั่นทำให้ฉินอวิ๋นอดคิดไม่ได้ว่าถังโจวโจวมีอะไรเกี่ยวข้องกับเสิ่นหลานอีหรือเปล่า เพราะว่าหน้าตาของพวกเธอสองคนละม้ายคล้ายคลึงกันมาก
เมื่อเธอพลิกไปจนถึงหน้าสุดท้าย ฉินอวิ๋นก็ได้พบข้อมูลบางอย่าง ในที่สุดเธอก็แน่ใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างถังโจวโจวและเสิ่นหลานอีแล้ว ฉินอวิ๋นแอบตัดสินใจอย่างเงียบๆ เธอจะปล่อยถังโจวโจวเอาไว้ไม่ได้แล้ว เพื่อลูกสาวของเธอ แล้วก็เพื่อตัวเธอเองด้วย
ฉินอวิ๋นไม่ได้ขับรถกลับบ้าน เมิ่งชิงซีออกไปข้างนอก เมิ่งไหวเซินก็ไม่อยู่บ้าน เธอกลับไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำ ดังนั้นเมื่อตอนที่ออกมา ฉินอวิ๋นจึงได้นัดเพื่อนออกมาเสริมสวย และตอนนี้มันก็ถึงเวลานัดหมายแล้ว
เมิ่งชิงซีมาถึงลั่วกรุ๊ปด้วยความกระตือรือร้น เธอรีบตรงขึ้นไปที่สำนักงานของลั่วเซ่าเชิน พนักงานต้อนรับด้านล่างจำเมิ่งชิงซีได้ เธอหมายที่จะแจ้งให้ชั้นบนทราบก่อน จากนั้นเธอถึงจะปล่อยให้เมิ่งชิงซีเข้าไป
แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน เมิ่งชิงซีไม่เปิดโอกาสให้ใครได้รั้งตัวเลย เธอตรงเข้าไปขึ้นลิฟต์ จากนั้นลูซี่ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากพนักงานต้อนรับด้านล่างว่าอีกไม่กี่นาทีเมิ่งชิงซีก็จะขึ้นไปถึงหน้าห้องสำนักงานเลขาฯ แล้ว
ลูซี่ออกมาต้อนรับเธอด้วยรอยยิ้ม “คุณเมิ่งคะ ลมอะไรหอบมาคะวันนี้?”
คำพูดของลูซี่ไม่ได้ทำให้เมิ่งชิงซีหงุดหงิดอะไรเพราะเธอกำลังรู้สึกสบายอกสบายใจอย่างมาก แล้วเมิ่งชิงซีก็ไม่สนเรื่องหยุมหยิมเกี่ยวกับความไม่ลงรอยระหว่างเธอกับลูซี่ในตอนนี้เลย “คุณลูซี่ ฉันมาพบเซ่าเชินค่ะ”
ลูซี่มองดูท่าทางที่ทั้งเย่อหยิ่งและก้าวร้าวของเมิ่งชิงซีด้วยความเบื่อหน่าย ผู้หญิงคนนี้ยังสติดีอยู่หรือเปล่า วันๆ ไม่ทำการทำงาน เอาแต่วิ่งแจ้นมาที่บริษัทได้ไม่รู้จักเบื่อ ท่านผอ. เองก็ไม่อยากพบเธอ แต่เธอกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซะอย่างนั้น แต่ด้วยหน้าที่การงาน ลูซี่ไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาได้
“ขอโทษด้วยนะคะ คุณเมิ่ง ท่านผอ. ติดประชุมอยู่ค่ะ” ลูซี่แค่ต้องการจะกำจัดเมิ่งชิงซีให้หายไปจากตรงนี้เร็วที่สุด เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าลูซี่ยกเอาเรื่องการประชุมขึ้นมาขัดขวางเธอ เธอก็โมโหขึ้นมาทันที
“ลูซี่ นี่คุณกำลังโกหกตาใสอยู่นะคะ ฉันไม่เคยเห็นบริษัทไหนจัดการประชุมตอนนี้เลย”
เมิ่งชิงซีมองดูเวลาที่ปรากฏอยู่บนหน้าปัด แม้ตอนนี้จะยังไม่ถึงเวลาอาหารเที่ยง แต่เมิ่งชิงซีก็ไม่เชื่อว่าตอนนี้ลั่วเซ่าเชินกำลังประชุมอยู่ เธอรู้สึกว่าลูซี่ไม่รู้จักพิจารณาว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ
ตอนนี้ถังโจวโจวก็หนีลั่วเซ่าเชินไปแล้ว เธออาจจะได้เป็นคุณผู้หญิงลั่วในเร็ววันนี้ก็เป็นได้ ถ้ามันเป็นอย่างที่เธอคิด เธอตัดสินใจแล้วว่าสิ่งแรกที่เธอจะทำหลังจากแต่งงานกับลั่วเซ่าเชินแล้ว คือเธอจะไล่ลูซี่ออก
หากลูซี่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ก็คงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เมิ่งชิงซีจะได้เป็นคุณผู้หญิงแห่งตระกูลลั่วเลย ต่อให้เธอได้เข้าไปอาศัยอยู่ในตระกูลลั่วจริง ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านผอ. จะยอมให้เธอทำอะไรที่เกี่ยวกับบริษัทได้ตามใจชอบ ลูซี่ไม่กลัวเธอเลยสักนิด
ลูซี่อุตส่าห์หวังดี ช่วงนี้ท่านผอ. อารมณ์ไม่ดี ถ้าเมิ่งชิงซีจะเข้าไปตอนนี้ก็เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ ในเมื่อเธอไม่เชื่อ ลูซี่ก็จนปัญญา “ฉันผิดเองค่ะ คุณเมิ่ง ถ้าคุณยืนยันว่าจะเข้าไป ก็เชิญเลยค่ะ!”
ลูซี่ผายมือออกไปด้านหน้า แสดงท่าทีเชื้อเชิญ เมิ่งชิงซีเชิดหน้าขึ้นด้วยความหยิ่งผยอง “ลูซี่ ไม่น่าเชื่อว่าคุณเองก็พอจะมีสมองอยู่บ้างนะคะ” ลูซี่แอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ยายผู้หญิงซื่อบื้อ เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ลูซี่ส่ายหน้า ก่อนจะกลับไปประจำตำแหน่ง
เมิ่งชิงซียังรู้จักที่จะเคาะประตู หลังจากที่เสียงเคาะดังขึ้นสามครั้ง กระแสเสียงเย็นยะเยือกของลั่วเซ่าเชินก็ดังออกมาจากในห้อง “เชิญ”
จู่ๆ เมิ่งชิงซีก็รู้สึกเย็นวาบ เธอเดาว่าวันนี้อากาศน่าจะเย็นเกินไป ดังนั้นเธอจึงมีความรู้สึกแบบนี้ เมิ่งชิงซีทำความเข้าใจกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผลักประตูเข้าไป
เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าลั่วเซ่าเชินกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ เธอก็นึกด่าลูซี่อยู่ในใจ ‘ผู้หญิงคนนั้นโกหกตาใสจริงๆ ด้วย เซ่าเชินนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศแท้ๆ ดันมาหลอกฉันว่าเซ่าเชินติดประชุมอยู่ ฉันไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ แน่’
ลั่วเซ่าเชินนึกว่าลูซี่เอาเอกสารเข้ามาส่ง แต่หลังจากที่รออยู่นาน เขาก็ไม่ได้ยินเสียงของลูซี่สักที เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็เห็นเมิ่งชิงซียืนอยู่ เขาขมวดคิ้วมุ่นทันที “คุณเข้ามาได้ยังไง”
เขาเคยสั่งไว้ไม่ใช่หรือว่าห้ามให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาเด็ดขาด ดูเหมือนว่าลูกน้องของเขาจะทำให้เขาต้องขุ่นเคืองแล้ว แม้แต่คำพูดของเขาก็ยังไม่เชื่อฟังกันเลย ลั่วเซ่าเชินกังวลเพียงว่าจนวันนี้เขาก็ยังตามหาถังโจวโจวไม่เจอ การที่ได้พบเมิ่งชิงซีในเวลาแบบนี้ มันยิ่งทำให้เขารำคาญใจมากขึ้น
เมิ่งชิงซียังหน้าหนาค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ กับลั่วเซ่าเชิน “เซ่าเชิน ฉันคิดถึงคุณค่ะ! ฉันก็เลยแวะมาหา ฉันขอทานข้าวกลางวันกับคุณได้ไหมคะ”
เมิ่งชิงซีรู้สึกว่าเสียงของเธอนุ่มนวลมาก แต่เมื่อมันเข้าไปอยู่ในหูของลั่วเซ่าเชิน เขากลับรู้สึกว่ามันถูกปรุงแต่งมากเกินไป ไม่น่าฟังเอาเสียเลย
เมื่อก่อนอย่างน้อยเมิ่งชิงซีก็ยังรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง เวลาที่ลั่วเซ่าเชินทำไม่ดีกับเธอแค่นิดๆ หน่อยๆ เธอก็จะร้องไห้หรือไม่ก็หนีหายไปเลย ตอนนั้นลั่วเซ่าเชินอารมณ์ดีมาก แต่ตอนนี้ประสิทธิภาพในการเอาชนะของเมิ่งชิงซีได้สูงขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าเขาจะหยาบคายกับเธอเท่าไร แต่เธอก็ไม่สะทกสะท้านเลย ดูเหมือนว่าเธอจะก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว!
“เมิ่งชิงซี เป็นเพราะผมเห็นแก่หน้าของทั้งสองตระกูล ดังนั้น ผมจึงอดทนกับคุณอย่างมาก คุณอย่าได้ตั้งตัวเองเป็นบ่อนทำลายความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองตระกูลเลย ส่วนเรื่องของถังโจวโจว ผมก็ยังไม่ได้ไปตามคิดบัญชีกับคุณ แต่คุณกลับมาหาผมถึงที่”
เมิ่งชิงซีใบ้กินไปชั่วขณะ เธอนึกว่าเรื่องของถังโจวโจวผ่านไปแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าลั่วเซ่าเชินจะยังคงคาดโทษเธออยู่เช่นเดิม แต่เมิ่งชิงซีตัดสินใจแล้ว เป็นตายร้ายดีอย่างไรเธอก็จะไม่ยอมรับ “เซ่าเชิน คุณกำลังพูดถึงอะไรคะ ฉันไม่เข้าใจ เกิดอะไรขึ้นกับโจวโจวเหรอ”
“เมิ่งชิงซี คุณอย่ามาตีหน้าซื่อ คุณทำอะไรลงไปก็รู้ดีอยู่แก่ใจ” ลั่วเซ่าเชินไม่เคยไว้หน้าเมิ่งชิงซีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งช่วงนี้มีเรื่องของถังโจวโจวด้วย เขาก็ยิ่งหมดความอดทนกับเมิ่งชิงซีถึงขีดสุด
“เซ่าเชิน ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ฉันตั้งใจมาหาคุณนะคะ ทำไมคุณถึงพูดกับฉันแบบนี้” เมิ่งชิงซีน้ำตาร่วงเผาะ ท่าทีอ่อนหวานของเธอไม่สามารถทำให้หัวใจที่เย็นชาของลั่วเซ่าเชินหวั่นไหวได้เลย
“คุณเมิ่งครับ เชิญกลับ! ถ้าคุณยังไม่กลับ ผมจะให้คนมาลากตัวคุณออกไป คุณคงยังไม่ลืมรสชาตินั้นหรอกใช่ไหม?”
สีหน้าของลั่วเซ่าเชินยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ เมิ่งชิงซีตัวแข็งทื่อ แต่เธอก็ยังคงแข็งใจพูดว่า “เซ่าเชินคะ ฉันรู้ว่าคุณอารมณ์ไม่ดีเพราะโจวโจวหนีออกจากบ้าน ฉันเข้าใจดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ แล้วครั้งหน้าฉันจะมาหาใหม่”
เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเมิ่งชิงซีออกไปแล้ว เขาก็ต่อสายโทรศัพท์ภายในเรียกให้ลูซี่เข้ามาในห้องทำงานทันที ลูซี่รู้ดีว่าท่านผอ. เรียกหาเธอทำไม เธอหยิบแฟ้มเอกสารจำนวนหนึ่งและเดินเข้าไปในห้องของท่านผอ.
“ผอ. คะ นี่เอกสารที่ท่านผอ. ต้องเซ็นค่ะ” เมื่อลูซี่วางแฟ้มเอกสารลง เธอก็ยืนรอรับฟังคำตักเตือนอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของลั่วเซ่าเชิน
ลั่วเซ่าเชินเห็นเธอยืนสงบนิ่ง ราวกับว่าไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด “ลูซี่ คุณรู้ตัวใช่ไหมว่าคุณทำอะไรผิด”
“ทราบค่ะ ท่านผอ. ครั้งหน้าฉันจะไม่ปล่อยให้คุณเมิ่งเข้ามาอีก” ลูซี่เข้าใจดีว่าทำไมท่านผอ. ถึงโกรธ เขาเคยสั่งเอาไว้ว่าห้ามให้เมิ่งชิงซีเข้าไปในห้องทำงานของเขาเด็ดขาด แต่เธอกลับทำตามคำสั่งไม่ได้
เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอยอมรับความจริงอย่างง่ายดาย เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก “ผมจะไม่ตำหนิคุณ แต่ผมจะหักโบนัสของคุณ คุณไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
“ไม่มีค่ะ”