ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ - ตอนที่ 138 กอดให้หนำใจ
ลิ้นของลั่วเซ่าเชินค่อยๆ สัมผัสเธออย่างอ้อยอิ่ง ถังโจวโจวพยายามขัดขืนเขาอย่างหนัก แต่กลับกลายเป็นว่าเธอยิ่งเข้าไปพัวพันกับลั่วเซ่าเชินแทน
ในสงครามครั้งนี้ ทำเอาถังโจวโจวเหนื่อยหอบ และต้องยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี ลั่วเซ่าเชินเองก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างหนัก แต่สีหน้าของเขาก็ดูพึงพอใจเป็นอย่างมาก
หลังจากการจูบครั้งนี้ ลั่วเซ่าเชินรู้สึกได้ว่าท่าทีของถังโจวโจวดูอ่อนลงไปมาก ดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องใช้วิธีนี้อีกในอนาคต ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องเขาก็ต้องจูบ ดูสิว่าเธอจะทนอย่างไรไหว
“โจวโจว ทีนี้คุณจะยอมฟังผมได้หรือยัง” ลั่วเซ่าเชินยังไม่ยอมปล่อยถังโจวโจว ใบหน้าของถังโจวโจวแดงระเรื่อ เมื่อเห็นเขาเอาแต่จ้องมองที่ริมฝีปากของเธอ เธอก็รู้สึกว่าถ้าเธอยังพูดอะไรที่ไม่เข้าหูเขาอีก ลั่วเซ่าเชินจะต้องรังแกเธออีกครั้งแน่
ถังโจวโจวทำได้แค่เพียงพยักหน้าอย่างว่าง่าย เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าในที่สุดเธอก็ยอมจำนนอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาก็รู้สึกว่าเส้นทางอันมืดมนของปัญหาไม่รู้จบในครั้งนี้ ในที่สุดก็มองเห็นแสงสว่างเสียที
“โจวโจว ผมไปดื่มมาเมื่อวานนี้ แต่ผมกับฮุ่ยซินไม่ได้มีอะไรกัน เธอมาถึงก่อนหน้าคุณเพียงไม่นาน ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรกับเธอเลย แล้วคุณก็มา…”
“อ๋อ นี่คุณกำลังจะโทษฉันว่าฉันเข้ามารบกวนการสนทนาของพวกคุณ? ค่ะ! ฉันรู้แล้ว”
“โจวโจว นี่คุณจะเอาชนะผมให้ได้เลยใช่ไหม” ลั่วเซ่าเชินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและหมายที่จะปิดปากเธออีกรอบ ดูสิว่าเธอยังจะโต้เถียงเขาอยู่อีกไหม
และดูเหมือนว่าถังโจวโจวจะอ่านความคิดของลั่วเซ่าเชินออก เธอยกมือขึ้นปิดปากและส่ายหน้าใส่ลั่วเซ่าเชิน เดี๋ยวพลังที่เธอเพิ่งจะรวบรวมได้ มันจะหายไปในบัดดล
ลั่วเซ่าเชินไม่ได้เห็นด้านที่น่ารักของเธอมานานแล้ว “รู้ทันแล้วสินะ!”
“คุณปล่อยฉันก่อนได้ไหมคะ” ถังโจวโจวไม่อยากอยู่ใกล้ชิดเขาอย่างนี้แล้ว แต่ลั่วเซ่าเชินกลับขอดื่มด่ำกับช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ก่อน ราวกับว่าเขาต้องการระบายความคิดถึงเธอที่ทำให้เขาต้องนอนคนเดียวมาหลายคืน
“ไม่ปล่อย ผมไม่ได้กอดคุณมาตั้งหลายวัน วันนี้ผมจะกอดให้หนำใจเลย” ลั่วเซ่าเชินกอดเธอแน่นขึ้นอีก
“ลั่วเซ่าเชิน คุณพูดอะไรออกมา มันน่าอายไหมเนี่ย” ถังโจวโจวมองดูชายหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ลั่วเซ่าเชินไม่เคยทำตัวทะเล้นแบบนี้มาก่อน ถังโจวโจวอยากจะลองบิดผิวหนังของเขาเพื่อดูว่าหนากว่าผนังบ้านหรือเปล่า
“ต่อหน้าคุณ ผมไม่อายหรอก” ลั่วเซ่าเชินฝังหน้าลงไปบนไหล่ของถังโจวโจว เมื่อได้สูดกลิ่นหอมจากร่างกายของเธอ ความรู้สึกคุ้นเคยก็เขาชื่นชอบก็หวนกลับมาสู่ใจของเขาอีกครั้ง
ร่างเพรียวบางของถังโจวโจวต้องรองรับน้ำหนักตัวของเขาเอาไว้ ลั่วเซ่าเชินเองก็ใจร้าย ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงมาที่เธอ ถังโจวโจวเองก็ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น เธอจึงใช้แรงที่มียืนทรงตัวไว้ให้มั่นคงที่สุด แต่ดูเหมือนว่าเธอจะประเมินความแข็งแรงของตัวเองสูงเกินไป
“เซ่าเชินคะ คุณจะยืนอิงฉันอย่างนี้ไปถึงเมื่อไร ฉันหนักนะ” เธอเกือบจะยันเอาไว้ไม่อยู่แล้ว เธอแทบอยากจะผลักเขาออก ดูสิว่าเขาจะเอนตัวไปอิงตรงไหนได้อีก
ลั่วเซ่าเชินอยากจะกอดถังโจวโจวให้นานกว่านี้ แต่เขาก็ยอมปล่อยเธอแต่โดยดี ในที่สุดถังโจวโจวก็ได้รับอิสรภาพ เธอทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาทันที
ป้าหลิวเดินออกมาจากห้องครัวในเวลาที่เหมาะสม “คุณผู้หญิงจะรับมื้อเช้าพร้อมกับคุณชายเลยไหมคะ”
“โจวโจว ผมคิดว่าคุณน่าจะยังไม่ได้ทานมื้อเช้า เราไปกินด้วยกันเลยเถอะ” ลั่วเซ่าเชินพาเธอไปที่โต๊ะอาหาร โดยที่ถังโจวโจวยังไม่ทันได้พูดปฏิเสธ
เมื่อเธอเห็นกระติกเก็บความร้อนใบนั้นตั้งอยู่ ลั่วเซ่าเชินก็ตอบสนองได้ว่องไวกว่าเธอ เขาหยิบมันขึ้นมาและส่งให้ป้าหลิวทันที ถังโจวโจวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกอยู่ข้างๆ ว่า “เก็บทำไมล่ะคะ เธออุตส่าห์บอกให้คุณกินตอนที่มันยังร้อนอยู่”
ลั่วเซ่าเชินได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกสะท้าน หากเขากินโจ๊กที่อยู่ในกระติกเก็บความร้อนนั่นจริง เขาเดาว่าถังโจวโจวน่าจะไม่พอใจ และเป็นไปได้ที่เธออาจจะหนีเขาไปอีกครั้ง นอกจากนี้ คำพูดของเธอก็ยังเต็มไปด้วยอารมณ์หึงหวง สมองของลั่วเซ่าเชินประมวลผลอย่างรวดเร็ว เขาสามารถตีความทุกอย่างออกมาได้ในทันที
“โจวโจว ผมก็ต้องกินข้าวที่ป้าหลิวกับคุณเป็นทำเท่านั้นสิ ผมบอกคุณแล้วไงว่าผมกับเธอไม่ได้มีอะไรกัน” ลั่วเซ่าเชินไม่สนว่าเขาจะต้องพูดย้ำอีกกี่ครั้ง ขอแค่ให้ถังโจวโจวเชื่อเขาบ้างก็พอ
ถังโจวโจวยังคงไม่ยอมปล่อยให้เขาลอยตัวไปได้ง่ายๆ เดิมทีเธอตั้งใจจะกลับมาหาลั่วเซ่าเชินเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการหย่าร้างระหว่างเธอกับเขา แต่ปรากฏว่าเธอกลับโดนเขาขัดจังหวะ แผนที่เธออุตส่าห์วางมาดิบดีพลันสูญเปล่าไปหมด แน่นอนว่าถังโจวโจวไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร
ก่อนจะมาถึง ถังโจวโจวเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่า ถ้าลั่วเซ่าเชินทำตัวดีขึ้น เธอก็อาจจะยกโทษให้เขาได้ แต่พอมาถึงเขากลับทำให้เธอเห็น ‘ฉากรักอันหวานซึ้ง’ ของหันฮุ่ยซินกับเขาเข้าพอดี แน่นอนว่าความหงุดหงิดของถังโจวโจวก็พุ่งทะลุปรอทไปเลย
“ฉันไม่อยากรู้ว่าคุณมีอะไรกันหรือเปล่า และฉันก็ไม่สนใจด้วยว่าคุณสองคนจะเป็นอะไรกัน” ถังโจวโจวพูดพลางเหยียดริมฝีปากอย่างไม่แยแส
“กินข้าวกันเถอะ โจวโจว” ลั่วเซ่าเชินแค่อยากเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แต่ถังโจวโจวก็ไม่โอนอ่อนตามที่เขาต้องการ
“เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าคุณกับเธอไม่ได้มีอะไรกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้คุณถึงไม่พูดแล้วล่ะ”
ลั่วเซ่าเชินคิดว่าถังโจวโจวกำลังหาเรื่องทะเลาะกันอย่างไร้เหตุผล แต่เขาก็เข้าใจดีว่าเธอคงจะยังมีอะไรติดค้างอยู่ในใจ “โจวโจว ผมรู้ว่าคุณยังโกรธผมอยู่ แต่คุณจะโกรธจนทำร้ายตัวเองไม่ได้นะ คุณมากินข้าวก่อน เสร็จแล้วผมจะยอมนั่งนิ่งๆ ให้คุณด่าเลย แล้วผมก็จะไม่โต้เถียงคุณกลับสักคำด้วย แบบนี้โอเคไหม”
ถังโจวโจวรู้ว่าเขาพูดจากใจจริง แต่ความรู้สึกโกรธที่ยังอยู่ในใจของเธอทำให้เธอยิ้มไม่ออก เธอจึงทำได้แค่ก้มหน้าก้มตากินมื้อเช้าไปอย่างเงียบๆ
ลั่วเซ่าเชินเองก็ลงมือกินข้าวเช้าที่เหลืออยู่ด้วยรอยยิ้ม เมื่อถังโจวโจวกินเสร็จแล้ว เธอก็ขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับลั่วเซ่าเชินอีก ความรู้สึกอยากคุยมันหมดไปแล้ว พูดไปก็ไม่ได้อะไร
“ฉันจะไปแล้วค่ะ”
“คุณจะไปไหน?!” ลั่วเซ่าเชินถามเสียงแข็งขึ้นมา ตอนนี้เขาทนฟังคำว่า ‘จะไป’ จากเธอไม่ได้อีกแล้ว
ถังโจวโจวสะดุ้งตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม เมื่อเธอเห็นสีหน้าอันน่าสยดสยองของเขาก็รู้สึกหวาดผวา เหตุการณ์ที่เธอหายตัวไปในครั้งนี้ มีอิทธิพลต่อเขาจนแค่เธอพูดคำว่า ‘ไป’ ก็ทำให้เขาต้องลนลานมากขนาดนี้เลยหรือ
แน่นอนว่าถังโจวโจวไม่เข้าใจว่าทำไมลั่วเซ่าเชินถึงมีปฏิกิริยารุนแรงแบบนี้ ในมุมมองของถังโจวโจว ถึงแม้ว่าพวกเขาสองคนจะมีความอบอุ่นหัวใจมอบให้แก่กัน แต่มันก็มักจะมีเงาของเมิ่งชิงซีกับหันฮุ่ยซินมาตามลอกหลอนอยู่เสมอ แม้ว่าถังโจวโจวจะอยากสานสัมพันธ์กับเขาให้มากกว่านี้ แต่เธอก็ไม่อาจเพิกเฉยกับความวุ่นวายของผู้หญิงสองคนนั้นได้
เมิ่งชิงซีน่ะไม่เท่าไร ที่หนักหนากว่าคือหันฮุ่ยซิน เธอเป็นเหมือนเชื้อมะเร็งที่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของถังโจวโจว ที่ยามไม่เห็นเธอ ถังโจวโจวก็สุขกายสบายใจดี แต่พอเธอปรากฏตัวเมื่อไร ก็สามารถทำให้ถังโจวโจวเจ็บเจียนตายได้
ส่วนลั่วเซ่าเชิน หลังจากที่ถังโจวโจวหายหน้าหายตาไปประมาณสิบกว่าวัน ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าถังโจวโจวนั้นสำคัญต่อเขามาก แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้สึกว่าเขาตกหลุมรักถังโจวโจวจนถอนตัวไม่ขึ้น แต่เขาก็ยอมรับว่าถังโจวโจวเป็นคนพิเศษสำหรับเขา
“ไม่ได้ไปไหนนี่คะ คุณบอกว่าจะพาฉันไปหาลั่วอิงไม่ใช่เหรอ ไม่ไปแล้วหรือคะ” ถังโจวโจวเลิกคิ้ว พลางเห็นสีหน้าลั่วเซ่าเชินผ่อนคลายลง เธอรู้สึกว่าเขาเหมือนนกที่ตื่นตระหนก บางอย่างแค่เคลื่อนไหวนิดหน่อยก็ทำเอาสติสตังหลุดลอยไปไกล
“หมายถึง ‘ไป’ เรื่องนี้เองหรอกหรือ โอเค ผมจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า โจวโจว คุณนั่งรอผมก่อนนะ” หลังจากนั้นลั่วเซ่าเชินก็รีบขึ้นไปที่ชั้นบน เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอีก เธอก็รู้สึกแปลกๆ นี่เขาไม่กลัวว่าเธอจะหนีหายไปแล้วเหรอ?
ถังโจวโจวรออยู่เพียงครู่เดียว ร่างของลั่วเซ่าเชินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าบันไดอย่างรวดเร็ว เขาเปลี่ยนชุดใหม่และดูดีกว่าเดิมมาก ผู้คนภายนอกล้วนถูกเขาตบตาด้วยภาพลักษณ์แบบนี้สินะ …เธอเองก็เช่นกัน
ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวเดินทางมาถึงบ้านตระกูลถัง เมื่อพวกเขาเคาะประตู ประตูก็ถูกเปิดออก ทันทีที่คุณแม่ถังได้พบหน้าถังโจวโจว เธอก็โผเข้ากอดลูกสาวเอาไว้ “โจวโจว ลูกอย่าทำอย่างนี้อีกนะ แม่เป็นห่วงลูกมากเลย เกิดเรื่องอะไรทำไมลูกถึงไม่มาหาแม่ล่ะ”
ถังโจวโจวกอดคุณแม่ถังไว้แน่น เธอกลัวว่าคุณแม่ถังจะตื่นเต้นมากเกินไปจนอาจล้มป่วยได้ เธอจึงรีบพูดว่า “แม่ขา หนูก็มาหาแม่แล้วนี่ไง หนูไม่ได้ตั้งใจจะหนีไปไหนสักหน่อย แม่หยุดร้องได้แล้วค่ะ เดี๋ยวใครก็มาเห็นเข้าหรอก”
คุณแม่ถังผละตัวออกมาจากอ้อมแขนของถังโจวโจว เธอใช้มือเช็ดน้ำตาเบาๆ จนใบหน้าไม่มีคราบน้ำตาแล้ว ก่อนจะปากแข็งพูดว่า “แม่ร้องไห้ที่ไหน แม่ไม่ได้อ่อนแออย่างนั้นนะ ลูกคนนี้นี่”
“ค่ะ หนูรู้แล้วว่าแม่น่ะเป็นคนเก่ง” ถังโจวโจวรีบโอบเอวคุณแม่ถังเข้าไปข้างใน ในที่สุดคุณแม่ถังก็หายใจได้ทั่วท้อง วันนี้คุณพ่อถังไม่อยู่ เขาไปทำงานที่โรงพยาบาล ส่วนลั่วอิงก็ตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว
เมื่อลั่วอิงได้ยินเสียงของถังโจวโจว เธอก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วก็รีบโผตัวไปหาถังโจวโจว “แม่โจวโจวกลับมาแล้ว!”
ถังโจวโจวตั้งรับความอบอุ่นที่มาอย่างกะทันหันของลั่วอิงไม่ทัน เธอรู้ว่าลั่วอิงคิดถึงเธอมาก หากว่ากันตามตรง หลายวันมานี้เธอเองก็คิดถึงลั่วอิงเหมือนกัน “ตอนที่แม่โจวโจวไม่อยู่ หนูเป็นเด็กดีไหมคะ”
“ค่ะ ครอบครัวเรามีแค่คุณพ่อนั่นแหละที่ไม่ดี แม่โจวโจวอย่าหนีไปไหนอีกนะคะ ถ้าคุณพ่อทำอะไรผิด เราก็แค่ไล่คุณพ่อออกไป แล้วคุณแม่ก็อยู่กับหนู โอเคไหมคะ” เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินเช่นนั้น เขาก็เหลือบตาไปมองลั่วอิง
ลูกสาวคนนี้เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ พูดมาได้ว่าจะไล่เขาออกจากบ้าน ตอนนี้เขากลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบจริงๆ แล้ว!
คุณแม่ลั่วเพิ่งสังเกตเห็นว่าลั่วเซ่าเชินด้วย “อ้าว เซ่าเชิน เมื่อครู่นี้แม่ไม่ได้สังเกต”
“ไม่เป็นไรครับคุณแม่ แค่โจวโจวกลับมาก็ดีแล้ว” เมื่อเห็นลั่วเซ่าเชินมองดูลูกสาวของเธออย่างอ่อนโยน คุณแม่ถังก็พยักหน้า ลูกเขยของเธอนี่แสนดีจริงๆ เธอไม่รู้ว่าพวกเขาผิดใจอะไรกัน แต่เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนมาด้วยกันอย่างนี้ คงจะคืนดีกันแล้ว
พวกเขาทั้งสี่คนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น คุณแม่ถังยกน้ำชาออกมาให้ดื่ม พลางถามถังโจวโจวว่า “โจวโจว แล้วนี่ลูกไปอยู่ที่ไหนมา”
ลั่วเซ่าเชินเองก็สงสัยในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ส่วนลั่วอิงก็นั่งกะพริบตาปริบๆ ใส่เธอ เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าทุกคนสนใจกันมากขนาดนี้ เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ถ้าลั่วเซ่าเชินรู้ว่าเธอหนีไปพักอยู่ที่บ้านของฟังหยวน เขาคงจะโมโหจนบ้าตายแน่ๆ
เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าถังโจวโจวไม่ยอมพูด ก็คิดว่าอาจจะมีบางอย่างที่เธอพูดออกมาไม่ได้ และน่าจะเป็นเพราะลั่วเซ่าเชินอยู่ตรงนี้ด้วย เดี๋ยวเธอแยกไปถามลูกสาวเป็นการส่วนตัวดีกว่า
“โจวโจว แม่มีเรื่องจะคุยด้วย ลูกไปที่ห้องกับแม่หน่อย ส่วนเซ่าเชิน คุณกับลั่วอิงรออยู่ข้างนอกก่อนนะ” เมื่อคุณแม่ถังกำชับเสร็จ เธอก็ลากถังโจวโจวออกไปจนพ้นจากสายตาของลั่วเซ่าเชิน
“คุณพ่อขา คุณยายกับแม่โจวโจวมีความลับอะไรกันอยู่เหรอคะ ทำไมหนูถึงฟังด้วยไม่ได้”
“ลูกไม่ต้องเสียใจหรอกนะครับ เพราะพ่อเองก็ฟังไม่ได้เหมือนกัน พ่อน่าสงสารมากกว่าอีก”
เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าแม้แต่เด็กอย่างลั่วอิงยังรู้สึกน้อยใจ ส่วนเขาเองก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน เห็นทีเขาจะต้องกอบกู้พลังอำนาจของเขาในฐานะคุณพ่อขึ้นมาใหม่เสียแล้ว
“ลั่วอิง ที่ลูกบอกว่าลูกจะไล่พ่อ นั่นหมายความว่ายังไง นี่พ่อทำงานหาเลี้ยงลูกกับคุณแม่ทุกวัน แล้วลูกกลับทำกับพ่อแบบนี้เหรอ” ลั่วเซ่าเชินคิดว่าถ้าตอนนี้ลูกสาวยังมีความคิดแบบนี้ แล้ววันข้างหน้าเขาจะฝากผีฝากไข้ไว้กับเธอได้อย่างไร
แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ได้ต้องการให้ลั่วอิงเลี้ยงดูตอนแก่ แต่ลั่วอิงกลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแบบนี้ เขาจึงคิดว่าควรจะสอนเธอให้เข้าใจอะไรเสียใหม่ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาคอร์สเรียนพิเศษในช่วงปิดเทอมฤดูหนาวให้เธอลงเรียนแล้ว
ลั่วอิงไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ลั่วเซ่าเชินคิดจะส่งเธอออกไปเรียนพิเศษ เพื่อไม่ให้เธออยู่ขัดคอเขากับถังโจวโจว ถ้าลั่วเซ่าเชินคิดจะทำขึ้นมาจริงๆ อนาคตของลั่วอิงคงจะแสนเศร้าน่าดู
เรียนมาทั้งเทอมกว่าจะได้ปิดเทอมฤดูหนาว แล้วเด็กตัวเล็กแค่นี้จะไปเรียนให้หนักๆ เพื่ออะไร ข้ออ้างทั้งนั้นแหละ