ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ - ตอนที่ 157 ความสงสัย
เมิ่งชิงซีเห็นว่าคุณแม่ลั่วมีคุณพ่อลั่วคอยดูแลอยู่แล้ว หากเธอยังอยู่ที่นี่ต่อไปก็จะเป็นการรบกวนการพักผ่อนของคุณแม่ลั่วเสียเปล่าๆ อีกอย่างลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ซึ่งนั่นทำให้เมิ่งชิงซีรู้สึกว่าเธอไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ
เมิ่งชิงซีกลับมาถึงบ้านในตอนบ่าย เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน ฉินอวิ๋นก็มองมาที่เธอก่อนแล้ว เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นฉินอวิ๋น เธอก็ยังรู้สึกโกรธอยู่ ซ้ำร้ายข่าวที่เธอไปเผยแพร่มาในวันนี้ มันกลับทำอะไรถังโจวโจวไม่ได้ เมิ่งชิงซีรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
ฉินอวิ๋นรู้สึกเสียใจที่ลูกสาวไม่พูดอะไรกับเธอเลยสักคำ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ ลูกคนนี้ ผู้ชายแค่คนเดียว จะอะไรกันนักกันหนา?
ฉินอวิ๋นถามตัวเอง เธอมักจะคิดถึงเมิ่งชิงซีก่อนทุกครั้ง ใส่ใจเมิ่งชิงซีในทุกๆ เรื่อง แต่เมิ่งชิงซีล่ะ แค่เธอปิดบังไม่ยอมบอกเรื่องของถังโจวโจวแค่นี้ กลับอาจหาญถึงขั้นมีปากมีเสียงด้วย แล้วตอนนี้ก็ยังไม่ยอมเป็นฝ่ายทักทายเธอก่อนอีก
ทันใดนั้นฉินอวิ๋นก็รู้สึกว่าเธอจะพยายามทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร เธอจะทำไปเพื่อใครกัน
แต่ฉินอวิ๋นก็ยังไม่อยากจะตำหนิเมิ่งชิงซี เมื่อเธอเห็นว่าเมิ่งชิงซีจะเดินขึ้นไปชั้นบน เธอก็รีบเรียกไว้ก่อน “ชิงซี ลูกยังโกรธแม่อยู่หรือเปล่า”
เมิ่งชิงซีหยุดเดินแต่ไม่ได้หันหน้ากลับมา ฉินอวิ๋นลุกขึ้นและเดินเข้าไปประชิดที่ด้านหลังของเมิ่งชิงซี เธอเอ่ยซ้ำอีกครั้งว่า “ชิงซี แม่หวังดีกับลูกนะ แล้ววันหนึ่งลูกจะรู้เอง”
“แม่เอาแต่บอกว่าแม่หวังดีกับหนู แต่หนูไม่เคยเห็นมันเลย หนูแค่อยากเห็นผลของมันในตอนนี้ หนูไม่อยากรอแล้ว” เมิ่งชิงซีวิ่งขึ้นบันไดไปเสียงดัง ตึงๆๆ ส่วนฉินอวิ๋นก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังของเธอไปพลางถอนหายใจ
หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล ลั่วเซ่าเชินก็ตรงไปที่บ้านของตระกูลถังในทันที เมื่อเขามาถึง ถังโจวโจวกับคุณแม่ถังก็กำลังพูดคุยกันอยู่ บรรยากาศการพูดคุยของพวกเธอสองคนไม่มีอะไรผิดปกติ
ลั่วเซ่าเชินคิดว่าแม่ลูกคู่นี้น่าจะคุยกันเรียบร้อยแล้ว แบบนี้เขาก็สบายใจขึ้น หลังจากกินมื้อกลางวันที่บ้านตระกูลถังแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็ไปทำงาน ส่วนถังโจวโจวก็ยังอยู่ที่บ้านของตระกูลถังต่อ
คุณพ่อถังได้ยินมาว่าถังโจวโจวรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว และเมื่อเห็นว่าถังโจวโจวยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้น ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาพวกเขาจะกังวลมากเกินไป
หลังจากที่ถังโจวโจวใช้เวลาตลอดบ่ายที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ถัง ลั่วเซ่าเชินก็พาลั่วอิงมากินมื้อเย็นด้วยกัน ก่อนจะกลับไปที่บ้านหลังเล็กของพวกเขา
ปกติเมิ่งชิงซีจะลงมาจากชั้นบนเมื่อถึงเวลาอาหาร ฉินอวิ๋นได้สั่งให้แม่บ้านหวังเตรียมของโปรดของเมิ่งชิงซีไว้แล้ว เมื่อเมิ่งไหวเซินกลับมา พวกเขาก็จะได้กินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพอดี
แต่เมื่อเมิ่งไหวเซินกลับมาแล้ว เมิ่งชิงซีก็ยังไม่ลงมาจากชั้นบน เมิ่งไหวเซินมองไปยังตำแหน่งที่ว่างเปล่า “อวิ๋นเอ๋อร์ ชิงซีล่ะ ลูกไม่อยู่บ้านเหรอ”
“อ๋อ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปเรียกเธอลงมาทานข้าวเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” ฉินอวิ๋นลุกขึ้นในทันที และเดินขึ้นไปชั้นบน หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เดินมาหยุดที่หน้าห้องของเมิ่งชิงซี ก่อนจะเคาะประตูเรียก “ชิงซี ลงไปกินข้าวได้แล้ว คุณพ่อรออยู่ข้างล่างแล้วนะ”
ไม่มีเสียงตอบออกมาจากในห้อง แต่ฉินอวิ๋นรู้ว่าเมิ่งชิงซีอยู่ข้างใน แต่เธอแค่ไม่อยากจะตอบก็เท่านั้น ฉินอวิ๋นพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ชิงซี แม่รู้ว่าลูกยังโกรธอยู่ แต่ลูกต้องเชื่อแม่นะว่าสิ่งที่แม่ทำลงไปทั้งหมดนั่นก็เพื่อลูก ลูกออกมากินข้าวก่อนเถอะ”
ถึงกระนั้นก็ยังคงไม่มีเสียงตอบรับอยู่ดี ฉินอวิ๋นลองบิดลูกบิดดู แต่มันก็เปิดไม่ออก เธอจึงเคาะประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย “ชิงซี ลูกอยู่หรือเปล่า เปิดประตูให้แม่หน่อย”
ท่ามกลางแรงกระหน่ำเคาะประตูของฉินอวิ๋น ในที่สุดประตูก็ถูกเปิดออก เมิ่งชิงซีที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงและอยู่ในชุดลำลอง มองดูฉินอวิ๋นด้วยสายตารำคาญใจ “หนูไม่อยากกินข้าว ไม่ต้องมาเรียกหนูได้ไหม”
เมิ่งชิงซีหมายจะปิดประตูในทันทีที่พูดจบ แต่ฉินอวิ๋นรีบจับบานประตูเอาไว้ เมิ่งชิงซีมองฉินอวิ๋นอย่างเบื่อหน่ายอีกครั้ง
“แม่มีอะไรอีกหรือคะ”
ฉินอวิ๋นเห็นว่าลูกสาวของเธอทำตัวห่างเหินกับเธอมาก ราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้า ราวกับว่าเธอไม่ใช่แม่ของเธอ “ชิงซี ลูกจะโกรธแม่ก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้คุณพ่อกำลังรอกินข้าวอยู่ข้างล่าง ลูกคงจะไม่อยากทำให้คุณพ่อรอเก้อใช่ไหม”
เมิ่งชิงซีฉุกคิด “หนูขอไปเปลี่ยนชุดก่อนค่ะ เดี๋ยวตามลงไป”
ฉินอวิ๋นรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเมิ่งชิงซีพูดแบบนั้น “โอเคจ้ะ เดี๋ยวแม่ลงไปก่อน ลูกก็รีบตามลงมานะ พ่อกับแม่รออยู่”
ฉินอวิ๋นลงมาชั้นล่าง เมิ่งไหวเซินเห็นเธอลงมาคนเดียว ที่ด้านหลังของเธอไม่มีเมิ่งชิงซี “ชิงซีเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ”
“เปล่าค่ะ ดูเหมือนลูกจะเพิ่งตื่น เดี๋ยวพอลูกเปลี่ยนชุดเสร็จ ลูกก็ลงมาแล้วค่ะ” ฉินอวิ๋นไม่อยากให้เมิ่งไหวเซินรู้ว่าเมิ่งชิงซีทะเลาะกับเธออยู่ในตอนนี้ และที่สำคัญกว่านั้น เธอไม่อยากให้เมิ่งไหวเซินรู้ภูมิหลังของถังโจวโจว เธอกลัวว่าเขาจะคิดไปถึงเรื่องอื่น
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเมิ่งชิงซีก็ลงมา เมิ่งไหวเซินไม่ได้รู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกเธอสองคนนั้นแตกต่างไปจากปกติ “มาแล้วเหรอ ชิงซี มาทานข้าวเร็วลูก”
เมิ่งชิงซีนั่งลงข้างๆ เมิ่งไหวเซิน “หนูปล่อยให้พ่อรอนานเลย” หลังจากพูดจบ เธอก็ไม่ได้พูดอะไรกับฉินอวิ๋นต่อ ฉินอวิ๋นกลัวว่าเมิ่งไหวเซินจะพบความผิดปกติ “ชิงซี ทานข้าวเถอะลูก”
เมิ่งไหวเซินมองดูเมิ่งชิงซีด้วยรอยยิ้ม “ชิงซี วันนี้ลูกไปไหนมา ทำไมพ่อถึงรู้สึกว่าลูกอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย”
เมิ่งชิงซีมองไปที่ฉินอวิ๋น แล้วเธอก็พบว่าแม่ของเธอกำลังมองมาที่เธออย่างตึงเครียด จู่ๆ เธอก็มีความคิดร้ายกาจผุดขึ้นมาในสมอง ถ้าเธอเล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อฟัง คุณแม่จะเป็นอย่างไรนะ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น เมิ่งชิงซีไม่สามารถยับยั้งความคิดของเธอไว้ได้ เธอพูดออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา “วันนี้หนูไปเยี่ยมคุณป้าลั่วมาค่ะ จากนั้นหนูก็อยู่ที่บ้านตลอดเลย”
เมิ่งชิงซีใช้ตะเกียบเขี่ยข้าวที่อยู่ในชาม พลางสังเกตปฏิกิริยาของเมิ่งไหวเซินอยู่เงียบๆ ขณะที่ฉินอวิ๋นก็เผลอกุมมือแน่นเมื่อได้ยินสิ่งที่เมิ่งชิงซีพูด
เมิ่งไหวเซินถามต่อ “แล้วช่วงนี้คุณป้าลั่วเป็นยังไงบ้างล่ะ” เมิ่งไหวเซินแค่อยากหาเรื่องคุยกับเมิ่งชิงซีเท่านั้น เขาไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใด ส่วนเมิ่งชิงซีเมื่อเห็นว่าเมิ่งไหวเซินถามต่อ เธอก็ลื่นไหลไปตามน้ำ
“พอคุณป้าลั่วทราบข่าวว่าถังโจวโจวไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตระกูลถัง คุณป้าก็ทะเลาะกับเซ่าเชินใหญ่โตจนล้มป่วยไปเลย ตอนนี้เธอนอนอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ” เมิ่งชิงซีเพียงแค่อธิบายอย่างง่ายๆ แต่ฉินอวิ๋นกลับโกรธมาก
“ชิงซี ลูกกำลังพูดเหลวไหลอะไรอยู่”
“หนูพูดเหลวไหลที่ไหนกัน เรื่องจริงทั้งนั้นค่ะ” เมิ่งชิงซีชักสีหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจ
เมิ่งไหวเซินรีบถามในทันทีที่ได้ยินว่าพานอวี้ฮุ่ยป่วย “คุณป้าลั่วป่วยอีกแล้วเหรอ ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่คงจะต้องหาเวลาไปเยี่ยมบ้างแล้วล่ะ”
เมิ่งไหวเซินขบคิดอยู่เงียบๆ ถังโจวโจวนี่ใช่เด็กผู้หญิงที่เขามักจะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาทุกครั้งที่เจอหรือเปล่า เธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตระกูลถัง? แล้วเธอเป็นลูกของใคร จู่ๆ เมิ่งไหวเซินก็เกิดความคิดที่เหลวไหล เขารีบลบความคิดนั้นออกไปจากสมองโดยเร็ว ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้!
“ถังโจวโจวนี่…ใช่ภรรยาของเซ่าเชินหรือเปล่า”
เมิ่งชิงซีไม่อยากได้ยินความจริงที่ว่าลั่วเซ่าเชินมีภรรยาอยู่แล้วจากปากของคนอื่น แต่เธอก็หลีกเลี่ยงมันไม่ได้ “ค่ะ พ่อจำเธอไม่ได้หรือคะ พ่อกับเธอเคยเจอกันในงานเลี้ยงสองสามครั้งแล้ว”
ทันทีที่ฉินอวิ๋นได้ยินว่าเมิ่งไหวเซินเคยพบถังโจวโจวแล้ว เธอก็ให้ความสนใจกับท่าทีของเขา เธออยากจะรู้ว่าอากัปกิริยาของเมิ่งไหวเซินจะเป็นอย่างไร
แต่เมิ่งไหวเซินก็เพียงแค่พยักหน้า “อืม จำได้สิ ว่าแต่คุณป้าลั่วของลูกรู้ได้ยังไงว่าเธอไม่ใช่ลูกของตระกูลถัง”
เมิ่งไหวเซินสงสัยในจุดนี้มาก แล้วเมิ่งชิงซีจะบังเอิญถึงขนาดได้ไปเจอเรื่องใหญ่ของตระกูลลั่วเข้าอย่างนั้นเลยหรือ
“ชิงซี แล้วตอนที่ลูกกลับมา คุณป้าลั่วของลูกเป็นยังไงบ้าง” ฉินอวิ๋นกลัวว่าถ้ายังคุยกันเรื่องนี้ต่อไป เมิ่งชิงซีจะต้องบอกเมิ่งไหวเซินถึงข้อมูลที่ได้ไปจากเธอเป็นแน่ เธอจึงรีบชิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว
แต่เมิ่งชิงซีกลับตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเธอ “หนูเป็นคนบอกคุณป้าลั่วเองค่ะ หนูได้ข้อมูลนี้มาจากแม่ หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแม่ถึงรู้เรื่องนี้ได้”
ทันทีที่ฉินอวิ๋นได้ยินเมิ่งชิงซีเปิดโปงเรื่องทั้งหมดออกมา เธอก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่สีหน้าของเธอก็ยังคงดูสงบนิ่งอยู่ “ชิงซี ลูกพูดอะไรของลูกน่ะ แม่จะไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง นี่ลูกนอนมากไปจนเบลอไปหมดแล้วใช่ไหม”
เมิ่งไหวเซินรู้สึกว่าวันนี้ฉินอวิ๋นผิดปกติไป “อวิ๋นเอ๋อร์ นี่มันเรื่องอะไรกัน คุณตรวจสอบประวัติของถังโจวโจวทำไม”
“เปล่านะคะ ไหวเซิน ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย ฉันแค่รู้มาโดยบังเอิญ” ฉินอวิ๋นพยายามคิดหาข้อแก้ตัว แต่น่าเสียดายที่เมิ่งไหวเซินเริ่มสงสัยขึ้นมาจริงๆ แล้ว
“รู้มาโดยบังเอิญ? บนโลกใบนี้ไม่น่าจะมีเรื่องบังเอิญถึงขนาดนี้หรอกมั้ง”
เมิ่งไหวเซินรู้สึกว่าเหตุผลนี้ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด ฉินอวิ๋นคิดว่าเขาเป็นคนปัญญาอ่อนหรืออย่างไร เมิ่งไหวเซินจึงต้องหันไปมองเมิ่งชิงซีแทน
“ชิงซี บอกพ่อมา ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน”
เมิ่งชิงซีรีบเล่าทันทีว่าเธอรู้ได้อย่างไรว่าฉินอวิ๋นกำลังตรวจสอบข้อมูลของถังโจวโจวได้อยู่ แต่เธอก็เลี่ยงที่จะบอกเหตุผลว่าทำไมเธอถึงต้องบอกคุณแม่ลั่วไป ก่อนจะผลักสาเหตุที่ทำให้คุณแม่ลั่วเป็นลมไปที่ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจว
หลังจากที่เมิ่งไหวเซินได้ยินดังนั้น เขาก็นิ่งเงียบไปนาน ก่อนที่เขาจะหันไปมองฉินอวิ๋นด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “อวิ๋นเอ๋อร์ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมจู่ๆ คุณถึงต้องตามสืบประวัติของถังโจวโจวแบบนี้”
ในสายตาของเมิ่งไหวเซิน ฉินอวิ๋นนั้นเป็นคนที่ทั้งอ่อนโยนและใจดี แม้ว่าสภาพแวดล้อมภายในครอบครัวของเธอจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ได้มีผลกับอุปนิสัยของฉินอวิ๋นเลย เธอเป็นคนที่เข้มงวดกับตัวเองอย่างมากมาโดยตลอด และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ในความคิดของเมิ่งไหวเซิน ฉินอวิ๋นเป็นคนที่มีเมตตามาก
แต่ตอนนี้ภาพลักษณ์ของฉินอวิ๋นในความคิดของเขาได้ถูกทำลายลงไปหมดแล้ว เธอตรวจสอบประวัติของถังโจวโจวเพื่ออะไรกัน จู่ๆ เมิ่งไหวเซินก็รู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจฉินอวิ๋นเลยสักนิด
เมื่อฉินอวิ๋นเห็นว่าแววตาของเมิ่งไหวเซินค่อยๆ เปลี่ยนไป เธอก็รู้แล้วว่าเขาสงสัยในตัวเธอ และเมื่อเธอมองเห็นมุมปากของเมิ่งชิงซีที่ยกยิ้มขึ้น ฉินอวิ๋นก็อยากจะตบหน้าลูกสาวของเธอจริงๆ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนี้ก็คือเธอต้องรีบทำให้เมิ่งไหวเซินเลิกสงสัยในตัวเธอโดยเร็วที่สุด
“ไหวเซิน คุณเชื่อฉันนะคะ ฉันไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายอะไร เพียงเพราะชิงซีชอบเซ่าเชินมาก และเธอก็ไม่เคยฟังคำแนะนำของฉันเลย เธอไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ดังนั้น ฉันจึงต้องช่วยลูกหารายละเอียดของถังโจวโจว เพราะกลัวว่าชิงซีจะถูกระรานในภายหลังเอาได้”
เมื่อฉินอวิ๋นพูดออกมาแบบนี้ เมิ่งไหวเซินก็พอจะโน้มเอียงไปตามความคิดของเธอได้บ้าง ถ้าเธอบอกว่าทำเพื่อเมิ่งชิงซี เมิ่งไหวเซินก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ ฉินอวิ๋นมีลูกสาวอยู่แค่คนเดียว เธอก็ต้องรักของเธอมากที่สุดอยู่แล้ว
แต่เมิ่งไหวเซินก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แม้ว่าเธออยากจะช่วยเมิ่งชิงซี แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบประวัติของถังโจวโจวอย่างละเอียดเลยนี่ แต่เมื่อคิดดูอีกที เมิ่งไหวเซินก็คิดว่าผู้หญิงกับผู้ชายมีมุมมองที่แตกต่างกัน บางทีพวกเธออาจจะไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ลั่วเซ่าเชิน แต่มุ่งประเด็นไปที่ถังโจวโจวแทน
“อวิ๋นเอ๋อร์ ถึงแม้ว่าคุณจะหวังดีกับชิงซี แต่คุณก็ทำแบบนี้ไม่ได้” จากนั้นเมิ่งไหวเซินก็หันหน้าไปอีกทาง “ชิงซี พ่อเคยบอกลูกแล้วไง แม้ว่าเซ่าเชินจะดีพร้อมกว่าใคร แต่ตอนนี้เขามีครอบครัวแล้ว ลูกจะตามตื๊อเขาอยู่อีกทำไม ในเมื่อสุดท้ายลูกก็ต้องมาเป็นทุกข์อย่างนี้”
เมิ่งไหวเซินเองก็รู้สึกไม่ดีที่เห็นว่าลูกสาวของเขาไม่สมหวัง เขามีลูกสาวอยู่แค่คนเดียว แน่นอนว่าเขาก็คิดและทำทุกอย่างเพื่อเธอ แต่เมิ่งชิงซีกลับเอาแต่พูดว่า ‘ต้องการแค่ลั่วเซ่าเชินเท่านั้น’ คนที่เป็นพ่อของเธออย่างเขา เมิ่งไหวเซิน ก็ยังไม่สามารถฉุดรั้งเธอเอาไว้ได้