Orc Eiyuu Monogatari - ตอนที่ 5
Ch.5 – ตามรอย
Translator : Alonenekochan / Author
ฝันเห็นความฝัน
เป็นความฝันช่วงที่แบชพึ่งได้เข้าร่วมในสนามรบได้ไม่นานนัก
ในวันนั้นเอง แบสกำลังซุ่มอยู่ในพงหญ้า เตรียมพร้อมลอบโจมตีพวกมนุษย์
「นี่ พวกเอ็งน่ะ คิดว่าจะเอาผู้หญิงแบบไหนมาเป็นเจ้าสาวกัน?」
บลูเฟทกล่าวถามเช่นนั้นขึ้นมา ระหว่างที่กำลังซุ่มอยู่ในพงหญ้า
ที่ต้นคอของเขา มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่อยู่ เป็นรอยแผลที่ได้รับจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ หากส่วนหัวกับตัวแยกขาดจากกันเมื่อไรคงได้แต่ไปเกิดใหม่ก็ตาม ต้องขอบคุณกล้ามเนื้อกับผิวหนังที่แข็งแกร่งคงทนของออร์ค ทำให้พอที่จะหยุดยั้งความเสียหายไว้ตรงแค่ส่วนหลอดเลือดใหญ่ที่คอไว้ได้ (TL: พูดง่ายๆคือถูกฟันเข้าไปครึ่งคอแล้ว)
ถึงออร์คจะขึ้นชื่อเรื่องความทรหดซักเพียงใด แต่หากปล่อยไว้เช่นนี้โดยไม่ได้รับการรักษาล่ะก็มีแต่ตายสถานเดียว
แต่บลูเฟทกลับต่อสู้ต่อโดยไม่แยแสต่อบาดแผลนั้น จนสามารถสังหารผู้ที่ทำร้ายเขาได้ และรอดชีวิตในที่สุด
เรื่องการต่อสู้ของเขานั้นถูกเล่าขานครั้งแล้วครั้งเล่า
ชายผู้ที่มีองอาจหาญกล้าสมกับเป็นออร์ค
「แน่นอนว่าต้องเป็นผู้หญิงแกร่งล่ะนะ」
บิกเดน ชายร่างใหญ่แม้เทียบกับออร์คในรุ่นเดียวกัน ตอบกลับมา
ออร์คที่เป็นทหารใหม่นั้น มักจะทุ่มเทในสนามรบเป็นอย่างมาก ความแข็งแกร่งมักแปรผันไปตามความใหญ่ของร่างกาย ยิ่งร่างกายใหญ่โตเพียงใด ยิ่งต่อสู้โดยเมินเฉยต่อบาดแผลเล็กน้อยได้นานขึ้น และยังสามารถใช้อาวุธหนักขนาดใหญ่ได้อีกต่างหาก
ภาพเขาที่ถือกระบองขนาดใหญ่สองข้างอาละวาดไปมาในสนามรบนั้น ถือได้ว่าเป็นดาวดวงใหม่ที่คาดหวังได้ในหมู่ออร์ค
รอดจากสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วนโดยไร้ซึ่งบาดแผล ว่ากันว่า เขาคือคนที่ถูกคาดหวังมากที่สุดในรุ่นเลยทีเดียวเชียว
「ข้าเองก็ขอเป็นหญิงแกร่งเช่นกัน หากเป็นมนุษย์ล่ะเป็นอัศวินหญิงได้ยิ่งดี เหมือนอย่างเจ้าสาวของหัวหน้ากองทัพนักรบ(เกรท วอริเออร์)นั่นน่ะ」
ดันโซ่ย ออร์คที่มีรอยไฟคลอกขนาดใหญ่บนตัว นิ้วนางและก้อยที่มือขวาขาดหายไป กล่าวออกมา
รอยแผลพวกนั้นเกิดจากการเวทเพลิงของพวกนักเวทจู่โจมใส่
หากใกล้ๆไม่มีบ่อน้ำอยู่ล่ะก็ คงได้ถูกไฟครอกตายไปทั้งอย่างนั้นแล้ว
หลังจากนั้น เขาได้ลักลอบติดถุงใส่น้ำไว้ที่หลังโล่ตลอดมา ในหมู่นักรบรุ่นเดียวกับแบชแล้ว เขาเป็นคนที่มีความคิดรอบคอบที่สุด ทั้งคิดแผนรับมือโดยอ้างอิงจากเผ่าของศัตรู พกโล่และระเบิดขวดติดตัว มีการปรับเปลี่ยนพลิกแพลงตามสถานการณ์เสมอ เพราะการกระทำของเขา ทำให้คนในหน่วยรอดตายมานักแล้ว
「เข้าใจเลยล่ะ เจ้าสาวของหัวหน้ากองทัพนักรบ(เกรท วอริเออร์) นั่นน่ะ แม้จะคลอดลูกมาตั้งสามคนแล้ว ยังมีท่าทางขัดขืนต่อหัวหน้ากองทัพนักรบ(เกรท วอริเออร์)อยู่เลย เพราะงั้นเลยโดนจัดหนังสดต่อหน้าลูกน้อง……อู๊ย พูดแล้วมีอารมณ์ขึ้นมาเลย」
บูทาส เรดออร์คผู้มีแผลไฟไหม้รูปกากบาทบนใบหน้า หัวหน้าของหน่วยแบสกล่าวเห็นด้วยกับคำพูดของดันโซ่ย
ท่อนแขนที่ใหญ่กว่าออร์คทั่วไปเท่าตัวนั้น บ่งบอกได้ถึงพละกำลังที่มหาศาล
เขาที่เกิดจากคนแคระผู้หญิงนั้น เป็นพลธนูที่ใช้ธนูทดกำลังในการล่าเหยื่อ
ธนูทดกำลังที่สร้างขึ้นมาสำหรับรองรับแรงของออร์คนั้นมีอานุภาพรุนแรงจนน่าใจหาย หากยิงโดนล่ะก็ สามารถตรึงม้าบนต้นไม้ได้ สามารถสอยไวเวิร์นที่บินอยู่บนฟ้าให้ตกลงมาได้อย่างสบายๆ
แม้จะหัวดีสมกับเป็นหัวหน้าหน่วยก็ตาม แต่เนื่องจากเจ้าตัวเป็นเรดออร์คที่ถือเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษ ด้วยความคิดที่คิดว่าตนเองพิเศษกว่าใคร ทำให้คำพูดและการกระทำของเขานั้นไม่ค่อยดีนัก
「เพื่อสามารถมีเจ้าสาวได้ ต้องพยายามสร้างผลงานให้มากกว่านี้ล่ะ……」
ในบรรดาหมู่ออร์คในหน่วยแล้ว แบชถือเป็นคนที่มีฝีมือดาบที่ดีที่สุด แต่ในตอนนั้นเขายังไม่ได้เก่งกาจอะไรเป็นพิเศษ แถมตัวเตี้ยกว่าทุกคนในหน่วย เป็นออร์คสีเขียวเหมือนปกติทั่วไปเท่านั้น
แม้จะไม่ถึงไร้ประโยชน์ แต่ตัวตนนั้นช่างจืดจาง
「นี่มัน」
「มากันแล้วสินะ」
「ใกล้จะมาถึงแล้ว……ทุกตน หุบปากกันได้แล้ว」
ด้วยคำสั่งของบูทาส ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบ
ในไม่ช้า ก็ได้ยินเสียงกีบม้ากระทบพื้น แม้ฝ่ายนู้นจะพยายามซ่อนเสียงให้เบาที่สุดเท่าที่ทำได้ก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถหลุดรอดจากประสาทหูที่เฉียบคมของพวกออร์คได้
พวกแบช ซุ่มรอจนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจของม้า หลังจากนั้น……
「ลุยยยย!」
เริ่มทำการบุกจู่โจม
จำนวนข้าศึกประกอบด้วย ทหารม้า 5 นาย พลเดินเท้าอีก 30 นาย จัดเป็นกองทัพขนาดกลาง
ทางฝั่งออร์คมีเพียง 5 ตนเท่านั้น
ในทางปฎิบัติแล้วถือเป็นจำนวนที่เสียเปรียบ แต่สำหรับนักรบออร์คดั่งพวกแบชแล้ว ไม่มีคำว่าถอยอยู่ในสมอง การต่อสู้จึงได้เปิดฉากขึ้นมา
……บิกเดนได้สิ้นชีพลงในการต่อสู้ครั้งนั้น (TL:โถ่พ่อดาวรุ่งพุ่งแรง ไปซะแล้ว)
◇
พอตื่นขั้นมา แบชก็พบว่าตนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคยตา
(ที่นี่มัน ที่ไหนกัน……?)
พอลุกพรวดขึ้น ความทรงจำเมื่อวานก็หวนกลับมา
ดูเหมือนว่า เขาจะได้เข้าร่วมสืบข้อเท็จจริงคดีลอบจู่โจมตามทางสันจร ร่วมกับพวกจูดิส
แต่ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงพลบค่ำแล้ว เขาถึงถูกแนะนำห้องส่วนตัวให้ ก่อนที่พักที่ห้องนั้น
(เมืองคราซเซล สินะ)
เขาถอนหายใจออกมา ในขนาดเดียวกันนั้นเอง เขาก็ทบทวนเนื้อหาที่ฝันถึง
(ดูเหมือน จะเคยมีเรื่องพูดคุยแบบนี้อยู่สินะ……)
ตัวการที่ทำให้เขาฝันเห็นเรื่องในระหว่างรบ คงเป็นเพราะจูดิสที่พบเมื่อวานกระมัง
หญิงสาวที่จู่ๆปรากฎกายออกมา รูปร่างหน้าตาดีเยี่ยม คงเพราะได้แกว่งดาบอยู่เสมอสินะ หุ่นถึงได้เป๊ะเชะเช่นนั้น น้ำเสียงก็ฟังแล้วระรื่นหู อยากเก็บไว้ฟังตลอดเวลา
แถมยังมีอาชีพเป็น อัศวินอีก หากพูดถึงอัศวินหญิงแล้วล่ะก็ อาชีพเป้าหมายนั้นเป็นที่นิยมของพวกออร์คเลยล่ะ
ทิฐิสูง ไม่ยอมแพ้จนถึงที่สุด แม้ถูกจับได้ก็ยังแสดงเจตจำนนต่อต้านให้เห็น ภาพการกระทำชำเราผู้หญิงที่มีทิฐิสูงแบบนี้ กระตุ้นอารมณ์พวกออร์คดีนักแล
คำพูดที่ว่า “หากจะหาเจ้าสาวล่ะก็ จงเลือกอัศวินหญิง ไม่ก็เจ้าหญิงซะ” หนึ่งในสหายร่วมรบเคยกล่าวเช่นนั้นไว้
สำหรับเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นถึงเจ้าหญิง หรืออัศวินก็ได้ ขอแค่ทำให้เขาได้สละซิง อีกฝ่ายจะฐานะแบบไหนก็ไม่สน
แต่ จูดีสนั้นถือเป็นผู้หญิงในอุดมคติของออร์คเลยก็ว่าได้ แค่จินตนาการว่าถ้าสละซิงกับเด็กคนนั้นได้ล่ะก็ แค่คิดก็บางส่วนก็แข็งแรงขึ้นมาแล้ว
(จู่ๆได้พบอัศวินสาวที่สวยแบบนั้นเลยเนี้ย ข้าเองก็โชคดีเหมือนกัน)
「อ๊ะ นายท่าน หวัดดีตอนเช้าเน้อ」
แบชพอรู้สึกตัว ก็เห็นเซลที่นั่งดูแลปีกของตัวเองอยู่โต๊ะนั้น มองมาที่เขาพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
「ครึกครืนแต่เช้าเลยนะ กำลังจินตนาการเรื่องอย่างว่ากับผู้หญิงคนนั้นอยู่สิท่า~?」
「ก็นะ」
「แหมー、แต่พอเห็นไอ้นั้นที่ตั้งโด่งของนายท่านครั้งแรกแล้ว จะว่าไงดีー สุดยอดไปเลยแฮะ」
「งั้นหรือ?」
พอได้ยินแบบนั้น แบชถึงกลับเกิดความภาคภูมิใจขึ้นมา
สำหรับออร์คแล้ว การได้ถูกเห็นน้องชายที่ลุกชูชัน ไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายแต่ประการใด กลับกันแล้วเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความกระตืนรืนล้น ภาพลักษณ์ที่สมชายชาตรีของตน อีกทั้งการถูกชมเรื่องขนาด ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอันดับสองของวกออร์คเลยล่ะ
แน่นอนว่าอันดับแรก คือการถูกชมถึงเรื่องความแข็งแกร่ง
「ยัยอัศวินสาวที่ชื่อจูดิสนั้น ต้องเป็นสาวบริสุทธิ์ชัวร์! หากโดนเจ้านี้ทะลวงเข้าไปล่ะก็ คงได้กรี๊ดร้องเป็นแน่」
แม้ซิลจะแกล้งพูดหยอกล้อก็ตาม แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเองจะอายอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน
แม้จะหันหน้ามามองทางแบช ยิ้มที่มุมปากอยู่ก็เถอะ แต่ดวงตาของเธอนั้นส่ายไปมาๆ
「แต่ว่า จะเอาผู้หญิงคนนั้นจริงๆเหรอ?」
「ไม่ดีตรงไหนหรือ?」
「คือแบบว่า ทั้งๆเป็นแค่อัศวินมือใหม่แท้ๆ กลับทำตัวอวดดี สายที่มองนายท่านที่ถูกจับตัวตอนนั้นอีก! แม้ข้าน้อยจะเป็นคนใจกว้าง แต่พอเห็นแบบนั้นเข้าก็หงุดหงิดขึ้นมาเหมือนกันนะ」
「แบบนั้นยิ่งดีเลย แสดงถึงใจที่เด็ดเดี่ยวดี」
「นายท่านนี่ชอบสาวแกร่งงั้นเหรอ?」
「อ่า รวมถึงออร์คทุกตนเลยล่ะ」
แม้เจ้าตัวจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็พึ่งเคยได้พบ และได้มีโอกาสพูดคุยกันสั้นๆ กับผู้หญิงแบบนั้นเมื่อวานเป็นครั้งแรกเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ เคยแต่เข้าสู้โดยไม่มีแม้แต่จะพูดคุย
อีกทั้ง เรื่องที่ว่า ผู้หญิงที่เป็นสาวแกร่งนั้นแจ่มสุด ก็เป็นแค่ข้อมูลที่ได้ยินมาจากพรรคพวกเท่านั้นเอง ไม่ว่าใครหน้าไหนต่างก็พูดว่า『สาวแกร่งแจ่มสุด』เพราะงั้นเขาก็เลยคล้อยตามนั้น
「อืมม แบบนี้เองสินะ」
เซลตอบกลับแบบไม่ใส่ใจซักเท่าไร พลางเก็บรวบรวมเศษผงที่ตกจากร่างกายของตน ใส่ในขวดใบเล็กๆ
ละอองผงจากพวกภูตินั้นมีพลังที่น่าพิศวงซ่อนอยู่ หากนำไปโรยตรงบริเวณบาดแผลล่ะก็ สามรถเยียวยาบาดแผลได้ หากดื่มล่ะก็ สามารถฟื้นฟูแรงกายได้ หากทานต่อเนื่องเป็นประจำสามารถรักษาโรคภัยได้ ใช้เสริมความงามก็ได้
เรียกได้ว่าเป็นยาครอบจักรวาล
ถึอเป็นสินค้าหลักอย่างหนึ่งของพวกแฟรี่ และในขนาดเดียวกัน ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พวกมนุษย์ที่ค่อนข้างอ่อนแอหมายที่จะครอบครองแฟรี่ให้ได้ ในอาณาจักรแฟรี่เอง มีการส่งออกผงที่ว่านี้อย่างเต็มกำลัง เนื่องจากเป็นที่ต้องการของเผ่าพันธุ์อื่น
แต่เนื่องจากแฟรี่มีขนาดตัวที่เล็ก จึงไม่สามารถผลิตเป็นจำนวนมากได้ อีกทั้งยิ่งทิ้งไว้นานเท่าไรประสิทธิภาพก็ยิ่งหายลงไปเท่านั้น เรื่องที่มนุษย์หมายที่จะลักลอบจับแฟรี่จึงเป็นเรื่องจริงที่ไม่สามารถปฎิเสธได้
「นี่ค่ะนายท่าน」
「จะดีเหรอ?」
「แทนคำของคุณน่ะ!อ๊ะแต่ว่า ถ้าจะใช้ล่ะก็ ช่วยใช้ในที่ที่ไกลหูไกลตาข้าน้อยได้ยิ่งเป็นพระคุณล่ะ」
ซิลหน้าแดงก่ำ ระหว่างส่งขวดให้แบช
ปกติแล้ว แฟรี่นั้นจะไม่ชอบใจเวลาส่งผงนี้ให้กับคนอื่นนัก
สาเหตุก็คือ สำหรับพวกภูตแล้วผงที่ว่านี้ไม่ต่างอะไรกับของเสียที่ขับถ่ายออกมา แม้พวกภูตน้อยเหล่านี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ว่องไวเพียงใด แต่หากมาเห็นตอน เอาของเสียของตนมาทาแผลบ้าง มาดื่มบ้าง ก็ต้องช็อคเป็นธรรมดา
โดยเฉพาะพวกแฟรี่ส่วนหนึ่งในอาณาจักร ที่ไม่ได้ร่วมสงคราม จะไม่รู้เรื่องว่า ของเสียของตนนั้น ถูกเอาไปใช้งานอย่างไร
ดูเหมือนพวกมนุษย์จะเอาอุจจาระของพวกเราไปปลูกต้นไม้ด้วยล่ะ? ฮ่าๆ งี่เง่าชะมัดー!แฟรี่ทั่วไปก็จะพูดประมาณนี้
แต่ซิลเองก็เป็นทหาร(แฟรี่)ที่ผ่านสงครามมาเช่นกัน
ถึงเรื่องน่าอายมันจะน่าอายอยู่ดีก็เถอะ แต่เธอก็สามารถแยกแยะเรื่องเหล่านี้ได้
「เข้าใจล่ะ」
แบชหยักหน้าพลางรับขวดมา
「ช่วยได้มากเลย รอดตายเพราะเจ้านี่มาหลายหนแล้ว」
ในช่วยที่แบชยังเป็นทหารใหม่ๆนั้น เขาได้รับบาดแผลรุนแรงจากสงครามมาหลายหน แต่เพราะผงภูตนี้ทำให้เขายืดชีวิตออกมาได้
แม้ช่วงปลายสงคราม แบชจะแทบไม่ได้รับบาดเจ็บเลยก็ตาม แต่พละกำลังของเขาใช่ว่าจะไม่มีวันหมด การต่อสู้ติดกันเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้พักแล้วนั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยล่ะ
ครั้งนี้คงไม่มีโอกาสใช้ล่ะนะ
แต่มีไว้ก็ช่วยทำให้อุ่นใจได้ มีดีกว่าไม่มี แบชทราบถึงข้อเท็จจริงนั้น
「ถ้างั้น นายท่านรีบแต่งตัวดีกว่า……」
ในระหว่างที่ซิลพูดยังไม่ทันจบดีนั้นเอง
「เฮ้ย ท่านฮิวจ์ตันสั่งให้ฉันนำทางพวกแก……」
จู่ๆประตูห้องก็ถูกเปิด พร้อมหน้าจูดิสที่ลอบมองเข้ามาในห้อง
และแล้วสายตาหล่อนก็เห็นร่างกายกำยำที่ไร้ซึ่งอาภรปกปิด รวมถึงเจ้าสิ่งที่กำลังแข็งขันอยู่ตรงระหว่างขาด้วย
「……」
หน้าของเธอนั้นซีดเซียว แม้กระทั่งลมหายใจก็ยังหยุดนิ่ง
ความรู้สึกของท่าทางที่ปรากฎออกมานั้น แบชรู้เป็นอย่างดี
อารมณ์โกรธ
ดูเหมือนจูดิสนั้นโกรธเขามากจนไม่สามารถเค้นคำด่าได้ ส่วนสาเหตุนัั้นเขาเองก็ไม่ทราบ
แม้เมื่อคืนเพื่อที่จะนอนในห้องเขาเลยถอดเกราะออก จนร่างกายเปลือยเปล่า หรือว่าเรื่องนี้จะเป็นชนวนในการจุดเพลิงโทสะของจูดิสขึ้นมางั้นหรือ…
「……เป็นอะไรไป?」
「รีบๆเตรียมตัวเข้าซะ……เดี๋ยวฉัน จะออกไป รอข้างนอก」
「เข้าใจล่ะ」
หากเขาทำเรื่องเสียมารยาทต่อเธอไปล่ะก็ เขาเองก็คิดจะขอโทษอยู่เหมือนกัน แต่แบชนั้นเป็นออร์ค เขาไม่ได้มีวัฒนธรรมเรื่องการขอโทษโดยไม่รู้เหตุผล
「ยัยนั่นโกรธเรื่องอะไรกันแน่……」
「ก็ดูไม่สบอารมณ์มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว……คงอารมณ์ค้างอยู่ล่ะมั้งนะ?」
「แต่ท่าทางที่เห็นในวันนี้ ต่างจากเมื่อวานอยู่นะ……」
「นั่นสินะ……」
มีอะไรบางอย่างแปลกไป แต่ไม่สามารถอธิบายเรื่องนั้นจากปากได้ แม้แบชจะเป็นคนที่คบหาสมาคมกับคนอื่นเก่งก็ตาม แต่เขาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องมนุษย์ละเอียดอะไร
「ยังก็เถอะ หากให้รอล่ะก็มีหวังปี๊ดขี้นอีกแน่ รีบๆเตรียมตัวกันเถอะ แล้วไปตกอัศวินหญิงนั่นกัน!」
「อ่า!」
หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น ทั้งสองก็ออกจากห้องไป
◇
ป่าฟากทิศตะวันตกของเมืองคราซเซล
ที่ระแวกนั้นมีถนนตัดผ่านอยู่เส้นหนึ่ง เป็นถนนที่สร้างขึ้นเพื่อขนส่งเสบียงสิ่งของต่างๆในช่วงระหว่างสงคราม ชื่อของถนนถูกเรียกตามชื่อของนายพลบริกูสผู้สร้างถนนเส้นนี้ขึ้นมา หากเดินตามถนนเส้นนี้ที่ถอดยาวไปทางทิศตะวันตกเรื่อยๆแล้วนั้น จะพบกับทางแยกออกเป็นสองเส้น เส้นหนึ่งเชื่อมยาวไปจนถึงประเภทของเหล่าเอลฟ์ ส่วนอีกเส้นจะนำทางไปสูอาณาจักรของเหล่าออร์ค
แม้จะเรียกว่าถนนก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงทางแคบๆที่พอให้รถม้าผ่านได้แบบฉิวเฉียดเท่านั้น
เนื่องจากแทบไม่มีผู้ใดใช้สำหรับสัญจรไปยังอาณาจักรของเหล่าออร์ค และถ้าอยากไปยังประเทศของเอลฟ์ล่ะก็ ยังมีเส้นทางที่ปลอดภัยกว่านี้อยู่อีก ทำให้แทบไม่มีจำนวนผู้ใช้งานถนนเส้นนี้เท่าไรนัก
ส่วนสาเหตุที่แบชไม่ใช้ถนนเส้นนี้ในการสัญจรนั้น ก็เพราะปกติพวกออร์คนั้นจะไม่เดินทางตามถนนต่างหาก
สำหรับพวกเขาที่ไม่มีทางหลงในป่า บวกกับแทบไม่มีอุปสรรค์เกี่ยวกับภูมิเทศ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ถนน
และที่ถนนบริกูสนี้เอง ได้เกิดคดีนึงขึ้นมา
รถ(ม้า)ส่งสินค้าถูกพวกบักแบร์เข้าจู่โจม คนขับที่เป็นพ่อค้าถูกฆ่าตาย ถึงมันจะเป็นคดีที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ทั้วไปก็เถอะ
แม้สงครามจะจบลง ก็ใช่ว่าสัตว์ร้ายที่จู่โจมผู้คนจะหายไปซะหน่อย
สัตว์อสูรที่มีสติปัญญาต่ำคงเดินผ่านระแวกนั้น และทำร้ายคนที่กำลังผ่านเส้นทางนั้นพอดี
เพียงแต่ ช่วงนี้เกิดคดีแบบนั้นขึ้นบ่อยมาก
ถึงทางฝั่งฮิวจ์ตันผู้ที่เป็นหัวหน้าอัศวินของคราซเซลเองจะได้ยืนคำร้องปราบปรามบักแบร์แก่พวกนักล่าแล้วก็ตาม
การที่คดีเกิดขึ้นต่อเนื่องกันแบบนี้ สาเหตุคงเกิดจากสัตว์อสูรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนเกิดไป
จึงเหมาะที่จะได้เวลากวาดล้างให้หมด
พวกนักล่าเองก็ได้ทำการกวาดล้างบักแบร์ฝูงใหญ่ไปจำนวนหนึ่ง
แม้จะไม่ได้กวาดล้างบักแบร์ให้หมดสิ้นทุกตัวในป่าก็ตาม แต่การกวาดล้างแค่พวกฝูงใหญ่ๆให้หมดนั้นก็ส่งผลเกินพอแล้ว
เท่านี้ก็ใกล้จะปิดคดีได้อีกหนึ่งแล้ว
แม้คดีถูกลอบจู่โจมใช่ว่าจะหมดไป แต่จำนวนก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดแน่
แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น
แม้จะทำการล้างบางไปยกใหญ่ก็ตาม คดีเดิมก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มีอะไรบางแปลกๆอยู่
ฮิวจ์ตันที่คิดเช่นนั้น จึงมอบมายให้อัศวินฝึกใหม่อย่างจูดีสทำการสืบสวนเรื่องนี้
ถึงจะเรียกว่าฝึกใหม่ แต่ก็เข้าประจำการมาได้หนึ่งปีแล้ว เป็นช่วงเวลาที่เหมาะให้รับผิดชอบงานอย่างใดอย่างหนึ่งพอดี
จูดิสได้ทำเริ่มทำการสืบคดีอย่างขะมักเขม้น
เธอค่อนข้างเป็นเลิศในด้านนี้ แม้จะมีความลังเลกับภารกิจแรกที่ได้รับ แต่หล่อนก็สามารถรวบรวมข้อมูลที่น่าติดใจได้จำนวนหนึ่ง อย่างแรกเลยคือ ที่ป่าฟากตะวันออกนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ จะมีบักแบร์อยู่อาศัยเป็นจำนวนมากขนาดนั้น
พอเอามาเทียบกับรายงานข้อมูลการปราบปรามของพวกนักผจญภัยแล้ว ทำให้รู้ว่าบักแบร์พวกนั้นไม่ใช่สัตว์เจ้าถิ่นที่ตั้งรกรากอยู่ในป่านั้นมาก่อน
อีกเรื่องก็คือ สัมภาระของพ่อค้าที่ถูกจู่โจมนั้นมีบางอย่างหายไป แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อยถึงขนาดถ้าไม่ตรวจเทียบกับใบรายการสินค้าของบริษัทแล้วจะแทบไม่รู้เลยว่ามีของหายไป
แม้จะมีคำอนุมานว่า อาจเป็นฝีมือของพวกบักแบร์ไม่ก็พวกสัตว์ป่าที่มีความอยากรู้อยากเห็นอยู่ก็ตาม แต่จำนวนครั้งที่เกิดกลับถี่ผิดปกติ
จากจุดร่วมทั้งสองจุดนั้น ทำให้ฮิวจ์ตันลงความเห็นว่า สิ่งนี้น่าจะเกิดจากฝีมือของมนุษย์
มีใครบางคน ลอบจู่โจมโดยอาศัยฝีมือของพวกบักแบร์ แล้วหยิบฉวยของเล็กของน้อยไปด้วย
แต่ก็ยังไม่สามารถระบุตัวคนร้ายได้เลยซักนิดเดียว
เกิดคดีถูกลอบโจมตีขึ้น แต่รอยเท้าที่พบ ไม่ว่าตรวจสอบยังไงก็มีเพียงแค่ของพวกบักแบร์เท่านั้น
ถึงพวกบักแบร์จะไม่แตะต้องพวกกองคาราวานที่มีคนคุ้มกันก็ตาม แต่พอหลังจบสงครามได้สามปี ได้มีพ่อค้ารุ่นใหม่เกิดขึ้นมากมาย ใช่ว่าทุกคนจะมีคนคุ้มกันตามมาด้วย
แม้จะสอบถามจากพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ข้อมูลที่ได้ก็ไม่ต่างจากเดิม
เนื่องจากเป็นเรื่องที่เดิมพันกับชีวิตคน ทำให้เธอไม่สามารถที่จะใช้แผนหลอกล่อเพื่อให้คนร้ายจู่โจมได้
และตรงนี้เอง จูดิสก็มาถึงทางตัน
ข้อมูลที่ขาดหายไป ความจริงที่แอบซ่อนอยู่ คนร้ายที่หาร่องรอยไม่ได้……มีแต่จุดที่ไม่รู้เต็มไปหมด ส่งผลทำให้เธอนั้นกระวนกระวายใจ
แถมยังเป็นภารแรกที่ได้รับมอบหมายอีก ยิ่งทำให้เธอยิ่งผลีผลามเข้าไปใหญ่
ขนาดที่จูดิสกำลังจนตรอกอยู่นั้น ก็ได้เกิดคดีขึ้นอีกครั้ง
ระหว่างที่กำลังลาดตระเวนตามทางเดิน ก็ได้พบรถม้าที่ร่องรอยถูกจู่โจม
แม้ในตอนนั้นจะไม่พบเจอผู้ลงมือกระทำก็ตาม
แต่ขณะที่สำรวจที่เกิดเหตุอย่างละเอียดแล้ว กลับพบรอยเท้าของออร์ค พอตามรอยเท้านั่นไปก็พบว่า รอยเท้าได้มุ่งหน้าไปยังเมืองคราซเซล จากการสอบถามข้อมูลผู้พบเห็น ก็ได้ข้อมูลมาว่ามีออร์คเข้าไปในเมือง จนท้ายที่สุดก็ได้ข้อมูลจากพยานปากว่ามีแม่ค้าถูกออร์คจู่โจมใส่ในป่า
จูดิสที่ได้ข้อมูลนั้นมา ก็เริ่มทำการสืบสาวเรื่องราวต่อไปอีก
จนแน่ใจได้ว่าออร์คที่จู่โจมแม่ค้าตนนั้นพักอยู่ที่ที่พักแห่งหนึ่ง
แต่หากถ้าเธอสืบค้นให้มากกว่านี้ล่ะก็ จะสะกิดใจขึ้นมาได้ว่าออร์คตนนั้นไม่ใช่ผู้ที่ทำการจู่โจมแต่อย่างไร……แต่จูดิสนั้นกำลังร้อนรนอยู่
ในที่สุดเบาะแสที่ตามหามานาน จะได้มาอยู่ในมือ ทำให้เธอพูดขึ้นอย่างหยิ่งยโสว่า「บ้าบออะไรเช่นนี้ ไม่รู้สึกตัวเลยว่าคนร้ายคดีลอบจู่โจมตามถนนนั่นจะอยู่ในเมืองนี้ เส้นผมบังภูเขาจริงๆ ! เอาล่ะ ใช้โอกาสนี้กวาดล้างกลุ่มโจรที่อาศัยอยู่ในเมืองทีเดียวไปเลยละกัน」
หลังจากนี้ เธอก็ได้นำกำลังทหารมุ่งไปยังที่พักนั้น――ก่อนที่จะเกิดเรื่องจับคนร้ายผิดตัว(แบช)ขึ้นมา
「สภาพก็ตามที่เห็น ท่านแบช มีคิดอะไรบ้างไหมครับ?」
แบชนั้นกำลังตรวจสอบอยู่ที่ในเกิดเหตุ รถม้าพัง เนื่องจากผ่านไปหลายวันแล้ว ทำให้ศพม้าที่อยู่ข้างๆมีแมลงวันตอม
ที่แห่งนั้นมีรอยท้ายหลงเหลืออยู่
เป็นรอยเท้าสามแบบ ของพ่อค้า ของแบช และสุดท้าย รอยเท้าของบักแบร์จำนวนมาก
「……เป็นการจู่โจมของพวกบักแบร์ล่ะ」
แบชมองที่เกิดเหตุผ่านๆ ก่อนที่สรุปออกมา
ในช่วงสงคราม ก็มีคดีแบบนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ แม้ส่วนใหญ่จะเกิดจากทหารของศัตรู แต่จากพวกสัตว์ป่าหรือสัตว์อสูรเองก็มีเกิดขึ้นบ้างเช่นกัน เนื่องจากพวกออร์คนั้่นเป็นนักรบกันเยอะ ส่วนใหญ่จึงสามารถไล่กลับไปได้ แต่บางครั้งหากเจอฝูงสัตว์ใหญ่ๆจู่โจมก็เสียท่าจากความประมาทได้เหมือนกัน
ภาพที่เห็นนั้นไม่ต่างอะไรจากที่เห็นในครั้งก่อนเลยซักนิด
「หึ สุดท้ายก็เป็นได้แค่ออร์คล่ะนะ เป็นไงล่ะ?」
「อืม……」
จูดิสทำเสียงขึ้นจมูก พูดเสียงถากถางใส่ แบชเองก็เป็นนักรบ เขาไม่ถนัดเรื่องตรวจสอบอะไรแบบนี้ซักเท่าไรนัก เพราะงั้นจึงได้แต่ยอมรับอย่างเงียบๆ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็อยากแสดงด้านดีๆให้เธอเห็นซักอย่างอยู่เหมือนกัน
「นั่นสินะ ก่อนอื่น นอกจากของพวกแม่ค้าแล้ว ไม่มีรอยเท้าอะไรหลงเหลืออยู่เลย สินค้าเองก็ไม่มีอะไรให้ฉกฉวยเท่าไรนัก หากพูดถึงกรณีเกิดจากการอำพรางจากทหารศัตรูเองก็เป็นไปได้ต่ำ เนื่องจากไม่มีของมีค่าอะไร…… โดยเฉพาะของกินกับน้ำนั้นมักจะโดนเพ่งเล็งเป็นอย่างแรก แม้แต่ในช่วงสงคราม ก็สรุปได้อย่างเดียวว่าเป็นฝีมือของบักแบร์ล่ะ」
「แล้วมันเกี่ยวอะไร?」
แบชพยายามเค้นสมองอันน้อยนิดของเขา
ช่วงที่เขาใช้สมองขนาดนี้ คงมีแค่ตอนที่ถูกพวกกองทหารของคนแคระฝังทั้งเป็นอยู่ในถ้ำอาเรียวช่าเท่านั้นแหละ
ในตอนนั้น เขาดึงเอาข้อมูลที่มีทั้งหมดแก้ไขปัญหา จนสามรถรอดพ้นมาได้
「……หากเป็นฝีมือของมนุษย์ล่ะก็ ต้องมีเป้าหมายอะไรบางอย่างแน่」
「ก็บอกแล้วไงว่า เป้าหมายที่ว่านั้นก็เพื่อปกปิดไม่ให้รู้ว่า เรื่องการลอบโจมตีนั้นเป็นฝีมือของมนุษย์ยังไงล่ะ หากสามารถปกปิดเรื่องนั้นได้ล่ะก็ จะไม่ถูกตามจับ สามารถทำความผิดต่อไปได้อีกยังไง ให้ตายซิ เพราะอย่างงี้ฉันถึงเกลียดพวกออร์คสมองทึบน่ะ……」
「อืมม……」
แบชส่งสายตาไปให้แฟรรี่ผู้เป็นคู่หู
การรับฟังความคิดเห็นของแฟรี่ที่เป็นผู้คอยสอดส่องข้อมูลในช่วงเวลาแบบนี้นั้น เป็นหน้าที่ปกติทั่วไปของนักรบออร์ค
ซิลที่บินมองรอบๆที่เกิดเหตุ พลางตีลังกาครุ่นคิดในอากาศ พอสังเกตุเห็นสายตาที่แบชส่งมาให้ก็ส่ายหัวเบาๆ
「เอาเถอะ จากรูปการณ์พูดได้อย่างเดียวว่าเป็นการจู่โจมของพวกบักแบร์ล่ะนะ」(ซิล)
「แน่นอนอยู่แล้ว พวกฉันเองก็ตามสืบมาตั้งนานแล้วยังไม่ได้ความอะไรเลย นับประสาอะไรกับพวกแกที่ทำแค่สำรวจไปรอบๆ ไม่มีทางรู้ได้แน่ล่ะ」
จูดิสแอ่นอกภูมิใจด้วยท่าทางหยิ่งผยอง ทั่งๆที่เป็นเรื่องที่ไม่น่าภูมิใจอะไรซักนิด
หากขนาดซิลยังไม่รู้ แล้วนับประสาอะไรกับเขากันล่ะ
「งั้น เริ่มตามรอยเลยไหม」
「นั่นสินะ ไปจุดต่อไปกันเถอะ」
「จุดต่อไป? พูดเรื่องอะไรกัน」
จูดิสที่ทำท่ายืดอก มองไปที่ทั้งสอง ทั้งอย่างนั้น
「ถามว่าอะไร ก็เรื่องตามรอยพวกบักแบร์ยังไงล่ะ」
พอได้ยินที่ซิลตอบกลับมา จูดิสถึงกลับมีคำหมายคำถามลอยขึ้นบนหัว
「ตามรอย? พูดเรื่องบ้าอะไรอยู่ นั่นบักแบร์จอมเจ้าเล่ห์เลยนะ ไม่ใช่แพนด้าโง่ๆ ที่จะตามรอยได้ง่ายๆ」
บักแบร์นั้นไม่สามารถตามรอยได้
เรื่องนั้นเป็นสามัญสำนึกปกติของพวกมนุษย์ พวกมันนั้นสามารถกลบรอยเท้า แม้แต่อุจจาระเองก็ยังกลับไปทิ้งที่รัง ระหว่างทางที่กลับรังนั้น จะเคลื่อนที่ผ่านแม่น้ำ หรือตามต้นไม้ เพื่อกลบร่องรอยที่ทิ้งไว้
การที่พวกนักล่าสามารถกำจัดบักแบร์ได้ เพราะใช้น้ำหอมพิเศษในการล่อพวกมันเข้ามา
น้ำหอมนั้นทำมาจากเลือดของบักแบร์ หากนำสิ่งนั้นมารมให้เกิดควันล่ะก็ สามารถดึงดูดพวกบักแบร์ที่เข้าใจผิดคิดว่าถูกบุกรุกพื้นที่ ให้เข้ารวมตัวกันได้
จะได้ผลก็ต่อเมื่อสถานที่นั้นเป็นอาณาเขตของพวกบักแบร์ล่ะนะ
「……เอ๊ะ? พวกมนุษย์คิดกันแบบนั้นเรอะ?」
ก็ตามที่ว่า เรื่องนั้นเป็นเพียงแค่สามัญสำนึกปกติของพวกมนุษย์
หาได้รวมถึงเผ่าพันธุ์อื่นไม่
「พวกแฟรี่ทำได้รึไง?」
「ไม่หรอกๆๆ จริงอยู่ที่พวกแฟรี่ไม่ทำเรื่องป่าเถื่อนอย่างการตามรอยอะไรนั้น หากพูดถึงเรื่องไล่ตามบักแบร์ล่ะก็ อาจจะมีพวกไล่ตามเพราะความน่าสนใจส่วนตัว เนื่องจากเป็นสัตว์อสูรที่ไม่มีในประเทศแฟรี่อยู่ก็เป็นได้……」
บักแบร์นั้น แต่แรกเริ่มแล้วเป็นสัตว์อสูรที่ไม่มีอยู่ในประเทศของพวกมนุษย์
มันพึ่งปรากฎตัวออกมาหลังจากสงครามจบลงเท่านั้น
เหตุใดบักแบร์ถึงย้ายถิ่นฐานกัน? ทั้งๆที่มันเป็นสัตว์ที่หวงอาณาขนาดนั้น?
จะถามอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพราะพวกมนุษย์น่ะแค่ยึดครองพื้นที่ของเผ่าหนึ่งมายังไงล่ะ เพียงแค่พื้นที่นั้นบังเอิญมีพวกบักแบร์อาศัยอยู่ คำถาม แล้วแต่เดิมบักแบร์นั้นมีถิ่นกำเนิดอยู่ในอาณาเขตของเผ่าพันธุุ์ใดกันล่ะ
「หากจะไล่ตามพวกบักแบร์ล่ะก็ ต้องเป็นพวกออร์คล่ะ ทำกันมาหลายร้อยปีแล้ว」
ใช่แล้ว คำตอบก็คือ อาณาจักรของออร์คยังไงล่ะ
◇
สัตว์อสูรนั้นเป็นสัตว์ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย
ถึงจะทำการกวาดล้างไปก็ตาม แต่หากปล่อยทิ้งไว้ช่วงเวลาหนึ่งก็สามารถเกิดขึ้นเองได้ใหม่ บางครั้งบางคราวพวกมันก็ชอบบุกทำลายไร่นาไม่ก็พวกปศุสัตว์
หากปล่อยไว้ให้มีจำนวนมากขึ้นล่ะก็ พวกมันก็จะหันมาจู่โจมมนุษย์เช่นกัน
จุดต่างของสัตว์ป่าทั่วไปกับสัตว์อสูรนั้น ส่วนใหญ่แทบไม่ต่างกันมาก……จะมีความต่างเพียงแค่จุดเดียวก็คือ พวกสัตว์อสูรนั้นหากครบรอบช่วงระยะเวลาหนึ่งจะสามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้นั้นเอง
โดยเฉพาะ เรื่องที่แบ่งแยกสัตว์ป่ากับสัตว์อสูรมักจะแยกจากนิสัยที่ชอบจู่โจมมนุษย์เสียมากกว่า
เสริมให้อีกนิดว่า พวกมนุษย์สัตว์ ออร์ค หรือพวกเผ่ามาร นั้น แม้ในปัจจุบันจะถูกจัดเป็นเผ่า “มนุษย์” แต่ก่อนสงครามนั้น ดูเหมือนจะถูกจัดเป็น “สัตว์อสูร” ไม่ก็ “ปีศาจ” แม้ในบันทึกเก่าๆของมนุษย์เองก็ยังเขียนแทนพวกเขาด้วยคำเรียกเช่นนั้น
แม้บักแบร์จะถูกจัดเป็นสัตว์อสูรชนิดหนึ่งก็ตาม แต่สำหรับออร์คแล้ว มองมันไม่ต่างจากสัตว์ป่าธรรมดาทั่วไป
แม้รสชาติจะไม่อร่อย แต่เนื่องจากตัวใหญ่ แถมมีจำนวนมาก สามารถนำมาทานได้
ด้วยสาเหตุนั้น ทำให้พวกออร์คมักจะล่าพวกบักแบร์กันอยู่บ่อยๆ ช่วงเวลาออกล่าส่วนใหญ่จะเป็นเช้ามืด เพื่อใช้เป็นอาหารเช้า
ในช่วงสงครามเอง แบชก็ออกล่าบักแบร์อยู่บ่อยๆเช่นกัน
「……」
แบชไล่ตามรอยเท้าของพวกบักแบร์อย่างเงียบๆ
ถึงจะเป็นการล่าที่ไม่ได้ทำมานาน แต่เขากลับทำได้อย่างคล่องแคล่ว
บักแบร์แม้จะเป็นสัตว์ที่เจ้าเล่ห์ แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ทิ้งร่องรอบไว้เลย
โดยเฉพาะน้ำลายที่หยดติดตามต้นไม้ต่างๆนั้น เป็นตัวช่วยหลักในการไล่ล่าพวกมันเลยล่ะ
ออร์คนั้นจมูกดี โดยเฉพาะต่อกลิ่นสาบของสัตว์นั้นจะไวเป็นพิเศษ แม้กลิ่นนั้นจะมีความหลากหลายจนแม้แต่พวกนักล่าของมนุษย์จะไม่สามารถรับรู้ได้ พวกเขากลับสามารถแยกกลิ่นต่างๆออกได้
ว่ากันว่า ถ้านับแต่เรื่อง ความไวต่อกลิ่นของสัตว์แล้วล่ะก็ ประสาทดมกลิ่นของพวกเขานั้นเหนือกว่าพวกมนุษย์สัตว์เสียอีก
สรุปออกมาง่ายๆก็คือ หากขาดจมูกของพวกออร์ค คงยากที่จะตามรอยของพวกบักแบร์ได้แน่
พวกมันนั้นจะไม่ยอมเหลือรอยเท้าของตนจนถึงขั้นขี้ระแวงเลยทีเดียว ต่อให้เจอ รอยเท้าพวกนั้นส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเชื่อถือได้ นักแกะรอยส่วนใหญ่ มักโดนหลอกล่อให้ออกห่างจากรังของพวกมันด้วยรอยเท้าพวกนั้น
「ก็รู้อยู่หรอกว่าประสาทรับกลิ่นของพวกออร์คนั้น ไวต่อกลิ่นสาปของพวกสัตว์ แต่ไม่นึกเลยว่าจะถึงขั้นนี้……」
ฮิวจ์ตันหลังจากเห็นแบชที่กำลังสะกดรอยตามพวกบักแบร์อย่างเงียบๆ ก็พูดขึ้นมาด้วยความชื่นชม
「ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีนี่ เรื่องที่โดนหลอกล่อจากกลิ่นได้ง่ายๆนั่นน่ะ」
「นั่น……สินะครับ……」
ฮิวจ์ตันยิ้มขมๆต่อคำตอบกลับของแบช
แม้ประสาทรับกลิ่นของพวกออร์คจะดีเลิศ แต่ก็แค่เรื่องหยาบๆ
ถึงแม้จะได้กลิ่น แต่ก็สามารถบอกรายละเอียดปลีกย่อยได้
พวกมนุษย์นั้นใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ในการล่อออร์คออกมา ก่อนที่จะทำการสั่งหารหมู่
ผู้ที่ออกกลอุบายนี้ แน่นอนว่าเป็นฮิวจ์ตันเอง
ฮิวจ์ตันยังเคยใช้วิธีนี้ ล่อให้แบชติดกับดับ เพื่อหมายที่จะสังหารเขาให้ได้อยู่เหมือนกัน
「ดูเหมือนว่า หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็สามารถไล่ตามไปได้ถึงรังของพวกบักแบร์ที่เป็นตัวการได้ล่ะ」
แบชนั้นอยู่หัวแถว ด้านหลังมีคนตามมาติดๆ ทั้งหมดเจ็ดคน
นอกจาก ฮิวจ์ตันและจูดิสแล้ว ยังมีทหารตามมาอีกห้าคน พวกทหารเหล่านั้น คือลูกน้องของฮิวตัน
เป็นลูกน้องที่เคยรับใช้ฮิวจ์ตันตั้งแต่สมัยสงคราม……แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหมดรู้จักแบชแทบทั้งสิ้น
แต่ถ้าอย่างนั้น พวกเขาเองก็เป็นเพียงทหารธรรมดาทั่วไป ไม่ได้มีความสนใจในเรื่องของศัตรู จึงไม่ได้รู้เรื่องออร์คละเอียดอะไรถึงขนาดฮิวจ์ตัน
หาพูดถึงคำว่า『ออร์คฮีโร่』 แล้วเขาไม่ได้รู้ว่าถึงขนาดที่ว่า ตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
รู้แค่ว่า เป็นออร์คอันตรายที่เที่ยวอาละวาดในสนามรบเพียงเท่านั้น
ถึงก่อนออกเดินทาง จะได้พูดกำชับมาว่า 「ถึงจะเป็นออร์ค แต่ก็เป็นผู้ที่มีสถานะสูง ไม่จำเป็นต้องระแวงอะไรหรอก」ก็ตาม ก็ไม่ช่วยทำให้ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อแบชเปลี่ยนไปอยู่ดี
พวกเขานั้นคอยเตรียมพร้อมรับการถูกลอบจู่โจมจากรอบๆอยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็คอยเฝ้าระวังแบชที่อยู่ด้านหน้าตนไปด้วย
แน่นอนว่า พวกเขาเองก็มีเรื่องกังขา ว่าทำไมฮิวจ์ตันถึงได้ให้ความไว้วางใจแก้ออร์คตนนี้นัก
「ท่านฮิวจ์ตันจู่ๆเป็นอะไรไปกันนะ……ทั้งๆที่ปกติเป็นคนที่เกลียดชังออร์คเสียขนาดนั้น」
「ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน」
「……หรือว่า ช่วงสงครามครั้งก่อน จะมีเรื่องอะไรบางอย่างกับออร์คตนนั้นอยู่ก็เป็นได้」
พวกทหารพูดคุยซุบซิบกันเบาๆ พยายามหาทางอธิบายท่าทางของฮิวจ์ตัน
「หรือว่าจะโดนไอ้นั่นเข้าให้ พวกเวทชาร์มอะไรเทิอกนี้น่ะ?」
「จะไปรู้เรอะ ก็จริงล่ะนะ ที่ท่านฮิวจ์ตันนักสังหารสุกรผู้นั้นถึงกับให้ความไว้วางใจถึงขนาดนั้น เจ้าออร์คนั่นมันเป็นใครกันแน่」
「พวกแฮปปี้กับลิซาดแมนเองก็ยังมีคน(?)ดีๆอยู่เลย พวกออร์คจะบ้างคงไม่ต่างกันล่ะมั้ง」
「เรื่องนั้นมันก็ถูกล่ะนะ……เอาเถอะ เจ้าออร์คนั่นคงเป็นตัวตนที่พิเศษจริงๆนั้นล่ะ」
พวกทหารได้สรุปจากการติดเองเออเองแต่เพียงเท่านั้น ยกเว้นคนคนหนึ่ง
จูดิสนั่นเอง
「……หึ」
ท่ามกลางพวกทหารมีท่าทีเริ่มผ่อนคลายลง มีเพียงเธอเท่านั้นที่ยังมองตาขวางไปทางแบชอยู่
「!」
จู่ๆ แบชก็หันมองกลับมา
จูดีสจึงรีบตั้งท่าที่จะหลบสายตาด้วยความลุกลี้ลุกล้น แต่พอฉุดคิดได้ว่า การที่ตนเองหลบแบชหน้าทั้งๆที่ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีอะไร ก็เหมือนกับตนยอมรับความพ่ายแพ้ เธอจึงจ้องแบชอยู่อย่างนั้น
แบชหันไปเจอสายตาแข็งกร้าวของจูดิส จ้องสวนมา
สายตาของทั้งสองปะทะกันอยู่คู่หนึ่ง
คนหลบสายตาก่อนคนนั้นแพ้ จูดิสที่คิดเช่นนั้นอยู่ จึงเพ่งสายตาจับจ้องแบชอย่างไม่ลดละ
หากแสดงความขี้ขลาดให้เห็นล่ะก็ ออร์คตนนี้คงได้ใจเป็นแน่แท้
「หึ」
แต่เหมือนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเธอ แบชเลยเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อนด้วยความรู้สึกเอือมระอา
「ห๊ะ!」
จูดิสเองก็เข้าใจถึงท่าทีนั้นได้
เธอกำลังถูกหยามอยู่ เหมือนกับเจ้านั่นอยากจะสื่อออกมาว่า “แกไม่มีค่าอะไร ที่ข้าต้องสู้ด้วย”
(หยามกันได้นะ……!)
แน่นอนว่า แบชไม่ได้ต้องการสื่อถือแบบนั้น
จากเลกเชอร์ของซิล ข้อที่ 4 และ 5 ให้ทำการ『ส่งสายตาที่เร้าร้อน』と『ยิ่มอย่างมีเลสนัย』ซะ
มนุษย์ผู้หญิงน่ะ อ่อนไหวต่อสายผู้ชายที่มองตนเอง พูดให้ชัดๆก็คือ พวกเธอนั้นอ่อนไหวกับพวกผู้ชายที่มีความน่าค้นหานั่นเอง
ต่อผู้ชายที่มีรอยยิ้มแฝงความหมายล้ำลึกเองก็เช่นกัน
พวกมนุษย์เพศหญิงน่ะ มีแต่จุดอ่อนเต็มไปหมด
แต่…… จุดอ่อนเหล่านั้นไม่สามารถใช้กับจูดิสได้หรอก
「ท่านแบช มีอะไรหรือเปล่าครับ?」
「ไม่มีอะไร……ใกล้จะถึงที่หมายแล้ว」
จากคำพูดของแบช ฮิวจ์ตันได้เพ่งสมาธิมากขึ้น พลางยกมือขึ้นข้างขึ้น
ต่อสัญญาลักษณ์นั้น พวกทหารทั้งหมดได้หยุดพร้อมเพรียงกัน เสียงเสียดสีที่ดังมาตลอดได้ จู่ๆได้หยุดเงียบลงทันที
พวกทหารลูกน้องของฮิวจ์ตัน แต่ละคนสวมเกราะเต็มตัวทั้งสิ้น ทั้งหมดตั้งแถวยืนตรงเรียงกันโดยไม่มีเสียงเล็ดรอดแม้แต่นิดเดียว เนื่องจากทุกคนเป็นทหารผ่านศึกทั้งสิ้น ในสนามรบนั้นหากก่อให้เกิดเสียงขึ้นอาจตายได้ทุกเมื่อ
「ถ้างั้น จูดิส ใช้เวทเก็บเสียงซะ」
「……รับทราบค่ะ」
จากคำสั่งของฮิวจ์ตัน จูดิสได้หยิบไม้เท้าที่เหน็บไว้ตรงสะโพกออกมาอย่างเงียบๆ
ในระหว่างพึมพำร่ายคาถาอะไรบางอย่าง เธอลงมือร่าย 『เวทมนตร์เก็บเสียง』ใส่ทหารทีละคน
ช่วงตอนที่ร่ายเวทมนตร์สนับสนุนให้นั้น จำเป็นต้องสัมผัสตัวอีกฝ่าย
พอถึงคิวของแบช เธอทำท่าลังเลอยู่ครู่นึง แม้จะไม่ชอบใจแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้บังคับบัญชาการแล้ว เธอไม่สามารถแสดงออกมาตรงๆให้เห็นได้ ถึงผลลัพธ์จะออกมาไม่ค่อยดี แต่งานนี้เป็นภารกิจแรกที่ได้รับมอบหมายของเธอ จะทำให้มันพังเพียงเพราะความรู้สึกส่วนตัวไม่ได้เด็ดขาด
จูดิสยืนมือไปจับบริเวณไหล่ที่เปลือยเปล่าของแบช ด้วยท่าทางรังเกียจ
「โอ้วว」
ขณะนั้นเอง แบชก็ได้ส่งเสียงแปลกๆขึ้นมา
ต่อเสียงที่จู่ๆออกมากระทันหัน ทำให้จูดิสตกใจกลัวจนตัวสั่น
「มะ มีอะไร?」
「อ่า โทษที มือเย็นดีนะ」
แบชรีบตอบกลบเกลื่อนท่าทีของตน แน่นอนว่า เขากำลังตื้นตันจากการโดนมือนุ่มๆของผู้หญิงจับเป็นครั้งแรก ความรู้สึกที่อยากจะกอดผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของตนทันทีนั้นเลย ได้ก่อขึ้นในร่างกายของเขา
แต่เขากลับสยบอารมณ์นั้นลงได้
หากเขาทำเช่นนั้นจะถูกพวกมนุษย์ผู้หญิงรังเกียจ ซิลได้สอนเรื่องนี้มาก่อนหน้านี้
โดยเฉพาะพวผู้หญิงที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว
เขาเห็นมาแล้วในช่วงสงคราม แค่หัวหน้ากองทัพนักรบ(เกรท วอริเออร์) กอดผู้หญิงที่ตนลากพากลับมาด้วย ผู้หญิงคนนั้นก็อาละวาดขัดขืนยกใหญ่แล้ว
ในตอนนั้น แค่กอดด้วยความหยอกล้อเท่านั้น ไม่ได้หมายจ้องจะสืบพันธุ์แต่อย่างไร แม้บรรดาพวกออร์ครอบๆจะมองพลางส่งเสียงหัวเราะขบขำก็ตาม แต่ในสายตามนุษย์แล้วคงไม่ได้เห็นเป็นแบบนั้นแน่นอน
หากทำท่าทางแบบนี้ในตอนนี้แล้วล่ะก็ คงถูกตีตราว่า ใช้กำลังข่มขู่บังคับฝืนใจเป็นแน่
แบชกำลังพยายามระงับลมหายใจที่ปั่นป่วนของตนเองอยู่
เลกเชอร์ ⑥
『ผู้ชายที่หายใจแรงนั้นไม่น่ามอง』
พวกออร์คนั้นหากเป็นเรื่องที่ทำให้ตนตื่นเต้นอย่าง การต่อสู้ กับ ผู้หญิงแล้ว จะหายใจแรง สิ่งนั้นเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับผู้หญิงของมนุษย์ มันแสดงให้เห็นถึงความป่าเถื่อน
พอกดท่าทางนั้นได้ เขาก็สังเกตุเห็นว่าร่างกายของเขานั้นมีแสงครึมๆ ประกายออกมา นั่นเป็นหลักฐานว่า เวทมนตร์ได้ทำงานแล้ว
「ก่อนอื่น เริ่มทำการสืบหาข้อมูลกันเถอะครับ」
ระหว่างที่ฮิวจ์ตันเสนอแผนการ ซิวก็ผิวปากขึ้น
「เรื่องสอดแนมปล่อยเป็นหน้าที่ข้าน้อยเถอะ! เดี๋ยวข้าน้อยจะลองบินผ่านเข้าไปทางปากปล่องภูเขาไฟบัฟฟาดู!」
หลังซิลพูดเสร็จ เธอก็บินเข้าไปในป่าลึกดัง ”ฟื้ว” โดยไม่รอคำตอบ
โดยทิ้งคำพูด「แล้วจะกลับมาก่อนตะวันตกดินน้าー」เอาไว้
「……เอาเถอะ หากปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านซิลล่ะก็ คงไม่เกิดปัญหาอะไรล่ะนะ」
ฮิวจ์ตันรู้เรื่องนั้นของซิลดี
แฟรี่ตนนั้น ไม่ว่าจะทัพศัตรูจะหลบซ่อนได้แนบเนียนเพียงใด หล่อนก็สามารถหาพบได้แทบจะในทันที
เธอจะแอบเข้าไปเข้าไปด้านในทัพของศัตรู ก่อนที่จะเรียกแบชมาบดขยี้ทิ้ง
เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอดแนม และลอบเข้าฐานศัตรู
ฮิวจ์ตันจดจำเรื่องพวกนั้นได้ดี
「นั่น……สินะ……」
「ก่อนอื่น รอที่นี่จนกว่าท่านซิลจะกลับมากันเถอะครับ」
「อ่า」
ระหว่างที่แบชพยักหน้าตอบนั้น เขากลับทำหน้าปั่นยากให้เห็น
แบชนั้นรู้เรื่องนี้ดี
ซิลสามารถหาศัตรูเจออย่างแน่นอน
แต่ หลังจากนั้นไม่เกินครึ่งนาที ก็ยืนยันได้เลยว่าจะถูกศัตรูพบ และถูกจับตัวได้……
――และแล้ว ซิลก็ไม่ได้กลับมาตามที่แบชคาดการณ์ไว้