Orc Eiyuu Monogatari - ตอนที่ 6
Ch.6 – [ซิลนักล่อเหยือ]
Translator : Alonenekochan / Author
แฟรี่ที่ตัวเล็กและว่องไวนั้น เหมาะสำหรับเป็นนักสอดแนม
แม้จะมีองค์ความคิดเช่นนั้นอยู่ แต่ความจริงแล้วตรงข้ามเลย พวกเขาเหล่านั้นมักชอบทำแสงเรืองรองออกมาเสมอ ในเวลากลางคืน หรือแม้แต่ป่าทึบ การกระทำเช่นนั้นเป็นที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก เท่านั้นไม่พอ แฟรี่ยังสามารถบินได้ด้วยความเร็วสูงอีก ยิ่งทำให้เป็นที่สะดุดตาเข้าไปใหญ่
ปัญหานี้ ดูเหมือนเจ้าตัวแฟรี่มักจะมองข้ามบ่อยๆ
ซ่อนหัวแต่ไม่ซ่อนก้น (TL: สำนวน แปลว่าพยายามปิดบังเรื่องบางอย่าง เช่นเรื่องไม่ดี หรือข้อตำหนิ แต่กลับปิดได้ไม่มิด เหมือนไก่เวลาที่เอาหัวมุดหลบในพุ่งไม้ แต่เห็นหางโผล่ออกมา)
พวกแฟรี่จะหลบซ่อนตามที่มืดๆ โดนไม่สะกิดใจว่าตัวเองกำลังเปร่งแสงอยู่ ทำให้เจอตัวได้โดยง่ายๆ
โชคยังดี ที่แฟรี่จะไม่โดนศัตรูฆ่าทันทีที่พบ แม้แฟรี่สามารถนำไปใช้เป็นผลิตยาให้ได้ก็ตาม แต่ผู้ที่มีความเชื่อผิดๆ ที่ว่า “หากฆ่าแฟรี่แล้วจะทำให้ธรณีพิโรธเอย ฆ่าแล้วจะตกนรกหมกไหม้เอย” อยู่มาก
อย่างไรก็ตาม แบชนั้นไม่ได้คาดหวังอะไรกับการมอบหมายในซิลทำหน้าที่สอดแนมแต่แรกแล้ว
หากปลอดภัยกลับมาก็ถือว่าดีไป อย่างซิลเองก็คงไมมีทางโดนพวกบักแบร์จับตัวได้อยู่แล้วด้วย หากโดนมนุษย์จับไปก็ไม่ถึงตาย หากโดนจับจริงๆล่ะก็ แบชก็แค่ไล่ตามกลิ่นของซิลไปจนพบเหมือนที่เคยทำบ่อยๆในช่วงสงครามก็สิ้นเรื่องแล้ว
และแล้วซิลก็ไม่กลับมา ตามที่เขาคาดคะเนไว้
「ดูเหมือนจะโดนจับตัวเข้าให้แล้วล่ะนะ」
พวกแบชไล่ตามกลิ่นของซิล จนมาถึงที่แห่งหนึ่ง
ด้านหน้ามีถ้ำแห่งแห่งตั้งอยู่ ทางเข้านั้นมีเถาไม้เลื้อยปิดปังอยู่อย่างแนบเนียน หากไม่บอกว่าเป็นถ้ำล่ะก็ พวกมนุษย์คงไม่มีทางสังเกตุเห็นล่ะ
「นี่มันฝีมือของมนุษย์ ต้องเป็นพวกเดียวกับที่คอยบงการบักแบร์แน่ๆ」
「บีสเทมเมอร์ สินะครับ」
เคล็ดวิชาของพวกเทมเมอร์นั้น สามารถบงการสัตว์อสูรหรือสัตว์ประหลาดได้ แม้ช่วงแรกนั้นจะเป็นทักษะลับที่ใช้กันได้แค่ในเครือสหพันธ์เจ็ดเผ่าพันธุ์ก็ตาม แต่ด้วยสงครามอันยืดเยื้อยาวนานก็ถูกอีกฝ่ายวิเคราะห์ได้ จนสามารถใช้ได้แพร่หลายทั่วไปในปัจจุบัน
การบงการมังกรยักษ์ของนักปราชญ์ของมนุษย์เอง ก็ถือเป็นเรื่องที่ถูกเล่าขานลือนามเช่นกัน
หลังจากสงครามจบลง แต่ละประเทศต่างก็ทำการลดขนาดกองทัพลง ทำให้ทหารจำนวนมากสูญเสียอาชีพหลักของตนไป
จะมีบีสเทมเมอร์เข้ากลุ่มกับพวกโจรซักคนสองคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
「งั้นเราบุกทะลวงกันเถอะค่ะ ช่วยแฟรี่ตนนั้น และจัดการพวกบีสเทมเมอร์ไปพร้อมกับบักแบร์ซะ ใช่ไหมคะ ท่านฮิวจ์ตัน!」
จูดิสเสนอความคิดเห็นของตัวเองออกมา หากเพื่อนถูกจับไป ก็ช่วยออกมาซะสิ เป็นความเห็นที่ถูกต้องตรงไปตรงมา
「ไม่……รอจนกว่าจะมืด น่าจะดีกว่า」
แต่ฮิวจ์ตันกลับปัดข้อเสนอนั้นทิ้ง
「โครงสร้างภายในถ้ำก็ไม่รู้ จำนวนศัตรูก็ไม่ทราบ บุกเข้ามีแต่จะพากันไปตายเปล่า อย่างน้อย สู้รอลอบโจมตีกลางดึกยังจะดีกว่า」
「อะไรกัน……」
สถานที่เป้าหมายนั้นคือถ้ำ ซึ่งดีไม่ดีอยากจะเป็นฐานทัพหลักของศัตรูก็เป็นได้ หากเป็นปกติ ตามทฤษฎีแล้วควรกลับเมืองรอบหนึ่งก่อนเพื่อขอกำลังหนุน นำกำลังคนจากในเมืองประมาณ 20-30 คนมาล้อมถ้ำไว้ และทำการรมควันเพื่อล่อให้ศัตรูออกมา
หากเป็นฮิวจ์ตันในยามปกติแล้ว เขาต้องทำแบบนั้นแน่นอน
แต่ครั้งนี้เอง กลับมีพวกพ้องถูกจับตัวไว้อยู่
แถมยังไม่รู้ด้วยว่าคนร้ายปฎิบัติกับเชลยเช่นไร
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้ว หลังจากล่วงรู้ข้อมูลพวกตนแล้ว คงถูกฆ่าทันทีไม่ผิดแน่
แต่รอบนี้คงต่างออกไป
ซิลเองก็เป็นภูติ ผู้ที่ชอบพเนจรคนเดียว ตราบเท่าที่ไม่ปริปากพูดเอง คงไม่มีทางรู้ว่ามีพวกพ้องอยู่แน่
แถมหล่อนเองก็เป็นนักรบคนหนึ่งที่รอดจากสงครามนั้น ไม่มีทางที่จะปริปากบอกข้อมูลสำคัญออกไปเองอย่างแน่นอน
อย่างมากก็โดนจับตัวยัดใส่ขวด เพื่อนำไปใช้สำหรับเป็นตัวผลิตยาต่อไป
สลับกันแล้ว หากคนคนนั้นเป็นฮิวจ์ตันล่ะก็ เขาจะไม่ทำเช่นนั้นเด็ดขาด หากมีแฟรี่หลงเข้ามาล่ะก็ ต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติเป็นแน่ เขาจะฆ่าซิลซะตรงนั้น ก่อนที่จะสั่งให้อพยพออกจากถ้ำไปซะ
พวกนั้นคงกำลังหลงระเริงอยู่แน่ๆ ยามที่คนเราดีใจนั้นมักมองข้ามสิ่งสำคัญบางอย่างไป เพราะฉะนั้นความคิดที่ว่าควรทิ้งฐานที่ตั้ง อพยพออกมาทั้งทีคงเป็นไปได้ยาก แฟรี่ตนนั้นเองก็น่าจะปลอดภัยหายห่วง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ควรมองโลกในแง่ดีเสมอไป
เกิดซิลปากรั่ว แพล่มข้อมูลต่างๆออกมาล่ะก็……
”หลังจากนี้ เดี๋ยวพวกข้าน้อยต้องบุกมาช่วยในทันทีแน่ๆ ทหารรักษาการของคราซเซลเชียวล่ะ! พวกแกน่ะโดนจับประหารแน่นอน!!”
หากมีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้นมาล่ะก็ เรื่องคงกลับตาลปัตรแน่นอน
พวกโจรพอได้ยินแบบนั้น คงหัวเราะเยาะในทันทีกระมั้ง คงคิดว่าคำขู่ของแฟรี่ตัวน้อยนี่น่าขัน
ไม่ก็ช่างเป็นกล่องยาที่พูดมากเหลือเกิน อะไรเทือกนี้
แต่ก็คงได้แค่วันรุ่งขึ้นเท่านั้นแหละ
คนเราหากได้นอนหลับเต็มตื่นล่ะก็ ตื่นมาคงเรียบเรียงข้อมูล และจำพิรุธได้แน่นอน หากรุ่งเช้าวันพรุ่งนี้มาถึงล่ะก็ ซิลคงยากที่จะรอดชีวิตอยู่ เจ้าพวกนั้นคงหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นแน่ เจ้าพวกนั้นเป็นถึงผู้ที่ทำการก่อคดีลอบโจมตีหลายต่อหลายครั้งอย่างระวังตัว ทำให้ไม่มีใครสาวถึงตัวพวกเขาได้เลยจนถึงเมื่อครู่ คงต้องคิดแบบนั้นแน่นอน
หากพูดตามสัตย์จริงแล้ว ฮิจว์ตันก็อยากให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน หากพวกมันหนีหายไปล่ะก็ เท่ากับเมืองคราซเซลจะกลับมาสงบสุขตามเดิม
แต่ ตอนนั้นเขานั้นอยู่ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา
แม้ซิลจะไม่ใช่ลูกน้องเขาก็ตาม หากคิดถึงเรื่องภายภาคหน้าแล้ว การคัดสินใจทิ้งเชลยต่อหน้าลูกน้องนั้นเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มแก่การทำ
อีกทั้งเขาเองก็ไม่มีความกล้าพอที่จะทิ้งสหายเก่าของแบชที่อยู่ตรงหน้าเขาได้
ทำให้แผนการวางแผนช่วยเหลือตัวประกันกันขึ้นมา
การที่จะสละชีวิตลูกน้องไปอย่างไร้ค่านั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ จึงเปลี่ยนไปใช้แผนลอบจู่โจมกลางดึก ที่มีโอกาสสำเร็จมากกว่าแทน
ต่อให้ซิลเกิดหลุดปากบอกข้อมูลขึ้นมาล่ะก็ พวกโจรเองคงต้องตื่นตะหนกกันแน่
คงคอยเฝ้าระวังรับมือศัตรูที่อาจบุกมาในทันทีอย่างแน่นอน แต่การตื่นตัวตลอดเวลานั้นทำได้ไม่นานนักหรอก รอคอยเวลา บุกจู่โจมยามศัตรูเผลอ หรือตอนหลับเอา ซิลเองก็ยังมีชีวิตอยู่ แถมโอกาสรอดของลูกน้องก็สูงขึ้น
「ท่ายแบช โอเคกับแผนที่ว่าไหมครับ?」
ฮิวจ์ตันหันไปถามความคิดเห็นของแบช
หากเป็นเขาล่ะก็ สามารถบุกเข้าไปได้ด้วยตัวคนเดียว และกวาดล้างศัตรูทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวได้แน่
จริงๆแล้ว พวกฮิวจ์ตันเองก็ไม่จำเป็นต้องบุกเข้าไปด้วยซ้ำ
แล้วทำไมถึงไม่บุกเข้าไปให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวซะเลยล่ะ? คำตอบของเรื่องนี้ก็คือเพราะฮิวจ์ตันเป็นชายที่ระวังอย่างถี่ถ้วนจนถึงขั้นระแวงเลยล่ะ
การเอาตัวไปเสี่ยงกับข้อมูลที่ไม่แน่นอนนั้น ขอผ่านล่ะ
แน่นอนว่า การที่แบชไม่เห็นด้วยกับเขา และบุกไปคนเดียวนั้นเอง ก็เป็นหนึ่งในแผนขอเขาเช่นกัน
「……ข้าก็ไม่ขัดอะไร」
แต่หลังจากแบชเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ตอบกลับมาเช่นนั้น
จูดิสถึงกับส่งเสียงขึ้นมาด้วยความไม่พอใจในคำตอบนั้น
「อึก……แม้แต่แกเองก็จะรอเหมือนกันหรือไง? พรรคพวกของแกถูกจับตัวอยู่นะ! ไม่ใช่ว่าออร์คนั้นเป็นนักรบที่มีความกล้าหาญเผชิญหน้าไม่ว่าสถานการณ์จะเสียเปรียบขนาดไหนหรือไงกัน!?」
「พวกออร์คนั้นไม่ว่าสถานการณ์นั้นก็ต้องทำตามคำสั่ง และออกไปสู้อย่างหาญกล้า หากผู้บัญชาการตัดสินใจว่าเห็นดีงามแล้ว ข้าเองก็ต้องทำตามคำสั่งนั้น」
เรื่องที่ออร์คบุกจู่โจมอย่างไม่ยั้งคิดอะไรเลย เกิดแค่ช่วงต้นๆของสงครามเท่านั้น
ภายหลังได้มีการ หยุดรอให้ศัตรูเข้ามาใกล้ เพื่อซุ่มโจมตีเอย แบ่งหน่วยย่อยลอบจู่โจมตามแต่ละจุดเอย เล็งจัดการผู้บัญชาการของฝ่ายศัตรูก่อนเอย ทำลายคลังแสง หรือตัดเส้นทางส่งเสบียงเอย
ทั้งหมดนั้น เกิดจากการทำตามคำสั่งของผู้บัญชาการทั้งสิ้น
ราวกับเป็นเรื่องประชดประชัน ที่ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา ผู้ที่สอนเรื่องนั้นให้แก่พวกออร์คก็คือพวกมนุษย์นั่นเอง
แม้จะไม่ถึงขนาดทำยุทธพิชัยขั้นสูงอย่างมนุษย์ได้ก็ตาม แต่หากเป็นแผนการรบง่ายๆล่ะก็พวกเขาสามารถทำได้อยู่
มิเช่นนั้นคงไม่เกิดการแบ่งลำดับสายบังคับบัญชาการอย่าง หัวหน้าหน่วยขนาดเล็ก (ชีฟ) หัวหน้าหน่วยขนาดการ (วอร์ชีฟ) หัวหน้าหน่วยใหญ่ (เกรทชีฟ) ขึ้นมาได้แน่
นอกจากนี้ ออร์คเองก็กฎที่ว่า 『ยามไปพำนักอยู่กับหมู่บ้านของเผ่าอื่น ให้ปฎิบัติตามคำสั่งหัวหน้าหมู่บ้านนั้น』อยู่เช่นกัน
หรือก็คือ ตอนนี้แบชนั้นคิด(เอาเอง)ว่า ฮิวจ์ตันคือผู้บัญชาการ และปฎิบัติตามคำสั่งนั้น
「อีกอย่าง ถ้าเรื่องซิลล่ะก็ไม่ต้องห่วง」
「แล้วคำพูดนั้นมีหลักฐานอะไรมายืนยันไหม โอ๊ย เหลือทนแล้ว! ท่านฮิวจ์ตัน กรุณาสั่งการมาเถอะค่ะ พวกดิฉันทั้งห้าคน จะบุกจู่โจมและกวาดล้างพวกที่อยู่ด้านในหมด ให้ดูเองค่ะ」
พอเห็นสายตาทั้งคู่ ของแบชและจูดิสที่มองมาที่ตน ฮิวจ์ตันถึงกับเกาคางตนเอง
「อืม……ตามคำพูดของจูดิส จริงอยู่ที่น่าห่วงเรื่องชีวิตของซิลเหมือนกันนะครับ แม้จะมีคำกล่าวมา ไม่ควรฆ่าแฟรี่ก็ตาม แต่เรื่องนั้นเองก็ไม่แน่เสมอไป พอมีหลักฐานอะไรยืนยันคำพูดของท่านได้ไหมครับ?」
「หากตายที่นี่ล่ะก็ เจ้านั่นไม่รอดตั้งแต่ในสงครามแล้ว」
ฮิวจ์ตันกำลังพิจารณาต่อความหมายของคำพูดสั้นๆนั้น แฟรี่เองก็ตายเมื่อถูกฆ่า
แต่เรื่องจำนวนครั้งที่ซิลโดนจับตัวในสงครามก็น่าหวาดหวั่นไม่แพ้กัน หนำซ้ำยังรอดมาได้อีก หากพูดตามความจริงแล้ว คิดได้อย่างเดียวว่า เพราะดวงดี เท่านั้น
แต่ ฮิวจ์ตันกลับไม่คิดเช่นนั้น
เท่าที่เขารู้ จำนวนครั้งที่ซิลถูกจับตัวได้นั้น มีจำนวนมากเลยทีเดียว หากรวมกับจำนวนที่เขาไม่รู้แล้วล่ะก็ คงมีอีกมากโขเลยล่ะ หากเป็นแฟรี่ทั่วไปล่ะก็ คงตายไปเป็นร้อยครั้งได้แล้วมั้ง
การที่ยังรอดมาได้ถึงขนาดนี้ มันไม่ใช่แค่ดวงดีอย่างเดียวแล้วล่ะ
「อย่างนี่เองสินะครับ『ซิลจอมล่อเหยื่อ』แม้กระผมเองจะไม่เคยเห็นวิธีการ แต่ขอคาดหวังกับเรื่องไว้ก่อนแล้วกัน」
ชื่อเรียกนั้นของซิลเองก็เป็นที่โจษจันไม่แพ้กัน
แม้จะมีคำพูดที่ว่า ฉายาที่สองนั้นจะบ่งบอกถึงผลงานที่สร้างไว้ในสนามรบก็ตาม แต่จะเป็นจริงหรือไม่นั้น ใครเล่าจะล่วงรู้
「เอาล่ะ ทุกนายเตรียมความพร้อมซะ จากนี้เราจะเฝ้าระวังด้านในถ้ำจากรอบๆนี้ด้วยเวทสกัดเสียง ยามพวกมันหลับสนิทเมื่อไรเราจะทำการบุกโจมตีกัน」
รอจังหวะอยู่ตรงนี้ ฮิวจ์ตันได้ตัดสินใจเช่นนั้น
แต่จูดิสกลับไม่สามารถยอมรับเรื่องนั้นได้
「อะไรกัน! เดี๋ยวกันสิคะท่านฮิวจ์ตัน!」
「อ่า มีอะไรอีกล่ะ?」
「อาจจะมีพวกพ้องถูกจับอยู่ก็เป็นได้นะคะ!?」
「เพราะยังงั้น ถึงได้รอจนเพียบพร้อมยังไงล่ะ ไม่มีเวลากลับไปที่เมืองแล้วด้วย เพราะฉะนั้นถึงได้เตรียมการลอบโจมตีตอนกลางคืนด้วยจำนวนคนเท่านี้ไงล่ะ」
「เราควรบุกไปตอนนี้มากกว่านะคะ」
「ไม่ได้ มันอันตรายเกินไป รออยู่นิ่งๆซะ」
พอถูกฮิวจ์ตันพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวใส่ จูดีสก็ได้แต่ทำหน้าหงอ ยอมถอยออกไป
แต่ยังมีทำหน้าไม่พอใจอยู่เช่นเดิม
ไม่ยอมรับฟังคำเห็นของฮิวจ์ตัน แต่กลับให้ความสำคัญต่อคำพูดของแบชมากกว่า ไหนจะเรื่องหากปล่อยแบบนี้ต่อไปล่ะก็ แทนที่ตนจะได้รับหน้า กลับกลายเป็นฮิวจ์ตันแทน สองเรื่องหลักๆเหล่านี้ คงทำให้หล่อนไม่พอใจล่ะนะ ฮิจว์ตันคิดเช่นนั้น
(เป็นภารกิจแรกที่ได้รับมอบหมายซะด้วยสิ ช่วยไม่ได้ที่จะเกิดอารมณ์เช่นนั้น)
แม้จะคิดเช่นนั้นก็ตาม แต่ผู้ออกคำสั่งได้ในตอนนี้มีเพียงตัวเขาเท่านั้น
ในเมื่อตนเองเป็นคนออกปากอาสาจะตามมาด้วยเองแล้ว คงจะโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้กับจูดีสไมไ่ด้
แม้จะเป็นคนริบสิทธิ์สั่งการกลางคันก็ตาม แต่ในเมื่อตนเป็นคนออกคำสั่งแล้ว ตนต้องไขคดีและพาลูกน้องทั้งหมดกลับบ้านอย่างปลอดภัยให้ได้
ฮิวจ์ตันเจตนาเช่นนั้น
「ถ้างั้น ให้คนหนึ่งคอยเฝ้าดูต้นทาง ที่เหลือให้งีบหลับเอาแรง……ท่านแบช เห็นดีด้วยไหมครับ」
「ข้าจะทำตามที่เจ้าว่า」
หลังจากแบชตอบกลับมา เขาก็เอนกายลงไปที่ต้นไม้ใกล้ตัว ก่อนที่จะปิดตาลงในทันที
「งั้น จูดีส เธอคอยดูเป้าหมายให้ดีๆล่ะ หากมีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็ปลุกฉันทันทีนะ」
ปล่อยคนจับตาดูไว้เพียงแค่คนเดียว
กว่าจะถึงเวลาเจ้าพวกโจรนอน ราวอีกประมาณ 5 ชั่วโมงได้
หลังจากนี้ คนที่คอยเฝ้าระวังอาจง่วงขึ้นมา ก็ทิ้งอีกคนไว้คอยดูลาดราวหน้าถ้ำ ให้ทั้งสองคนนั้นคอยเป็นยามเฝ้าต้นทาง ส่วนพวกที่เหลือก็บุกเข้าไปข้างในซะ
คนที่เหลือที่ไว้สองคนนั้น ไว้ทำหน้าที่เผื่อมีกองหนุนของศัตรูกลับมาตอนกลางคืน ไม่ก็หากเกิดเหตุไม่คาดฝันอย่างพวกฮิวจ์ตันถูกทำลายจนหมด ก็ให้ยังทำหน้าที่รีบกลับไปแจ้งรองผู้บัญชาการที่เมืองในทันทีได้
ในยามปกติแล้วล่ะก็ ผู้รับบทบาทหน้าที่นั้นฮิวจ์ตันเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด
ผู้ที่ออกคำสั่งในที่เกิดเหตุอย่างจูดีสก็มีอยู่ ผู้ที่มีความสำคัญที่สุดของอย่างฮิวจ์ตันนั้นควรที่จะอยู่ในที่ปลอดภัย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแบชแล้ว เขาไม่สามารถเลือกตัวเลือกที่ปลอดภัยแบบนั้นได้
「……」
ทว่า ฮิวจ์ตันกลับลืมเรื่องบางอย่างไป
พวกทหารนั้นยังพอว่าไปอย่าง เรื่องตัวจูดีสเองนั้นพึ่งเป็นทหารใหม่แค่ปีเดียวเท่านั้นเอง
อัศวินที่พึ่งเข้าประจำการในช่วงสงบสุข เธอนั้นได้แต่ทำภารกิจในช่วงยุคแห่งความปลอดภัยนี้เท่านั้น
เขาลืมคิดถึงจุดนี้ไป
ทั้งเรื่องพวกลูกน้องเอง ก็อยากช่วยให้อัศวินใหม่รายนี้ประสบความสำเร็จซักที
ไหนจะความไม่พอใจ(ของจูดีส)ที่มีต่อฮิวจ์ตันที่เห็นความสำคัญกับคำพูดของออร์คมากกว่านั่นอีก……。
◆
ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งชิลเองก็กำลังร้องขอชีวิตอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่
「ข้าน้อยแค่บังเอิญผ่านมาแถวนี้จริงๆนะ มาคนเดี่ยวโดดๆเลย ข้าน้อยเห็นว่าถ้ำนี้ดูน่าค้นหาดี เลยแว๊ปเข้ามาผจญภัยเท่านั้นเอง ไม่ทราบจริงๆว่าจะเป็นที่หลบภัยของพวกท่านทั้งหลาย หากเรื่องข้าน้อยมารบกวนพวกท่านก็ต้องขอโทษจากใจจริงเลยล่ะ เพราะฉะนั้นขออย่างเดียว อย่าฆ่ากันเลยนะ……อ๊ะ เอาอย่างนี้เป็นไง ขอข้าน้อยเข้าพวกด้วยเป็นไงล่ะ ข้าน้อยเป็นแฟรี่เขียวนะ สามารถผลิตผงนั้นได้ล่ะ! ทุกคนต่างก็ชอบใช่ไหมล่ะ ผงของแฟรี่น่ะ!」
ซิลที่ถูกจับตัวแทบจะในทันทีหลังจากลอบเข้าไปในถ้ำ พูดเป็นต่อยหอย ระหว่างที่โดนพวกโจรล้อมอยู่
พวกโจรเองก็ทำหน้าลำบากใจ
พอเห็นมีแสงเรืองแปลกๆอยู่ในถ้ำ จึงลองจับดู หลังจากนั้นก็ร้องขอชีวิตแบบนี้มาร่วมชั่วโมงแล้ว
ภาพซิลที่ถูกมัด คลานกระดืบๆราวกับหนอน แม้แต่พวกโจรที่เห็นการร้องขอชีวิตจนชินตาแล้วก็อดที่จะรู้สึกสังเวทไม่ได้
แม้จะไม่เป็นที่ล่วงรู้กันทั่วไป แต่ก่อนที่จะพบกับแบช แฟรี่ที่มีชื่อว่าซิลตนนี้ มีอีกฉายาหนึ่งว่า『ซิลนักร้องขอชีวิต』อยู่
แม้กระทั่ง『โกดันนักกินภูติ』ที่มีชื่อเสียงเรื่องจับแฟรี่มากิน ก็สามารถหนีรอดมาได้ครบ 32 อีกต่างหาก
ไม่ว่าใครหากได้เห็นการร้องขอชีวิตนั่นก็อดสมเพชเวทนาไม่ได้
นี่ถือเป็นหนึ่งในทักษะที่ทำให้ซิลสามารถรอดชีวิตจากสงครามได้
「เอาเถอะ ยังไงพวกข้าก็ไม่ถึงกับลงมือฆ่าแฟรี่หรอกน่า」
「แถมยังได้ผงมาอีก」
「ถ้าฆ่าไปแล้วติดคำสาปขึ้นมาทำล่ะไง」
พวกโจรพูดพลางมองหน้ากัน
เหล่าผู้ชายที่มีผมยาวรุงรังพวกนั้นต่างเป็นมนุษย์ทั้งหมด
ในหมู่มนุษย์เอง ก็มีคำพูดที่ถ่ายทอดมาจากโบราณว่า หากฆ่าแฟรี่จะถูกสาบอยู่
หากคิดถึงเรื่องผงวิเศษรักษาสารพัดโรคที่แฟรี่ผลิตได้แล้ว ทุกคนต่างก็มีความเห็นว่าไม่มีเหตุผลต้องฆ่า
「งั้น ช่วยแก้มัดให้ที ทุกคนก็อยากอาบผงของข้าน้อยใช่ไหมล่ะ? เดี๋ยวข้าน้อยจะบินกระจายผงแห่งความสุขให้ทุกคนอาบเอง!」
「บ้าเปล่า ใครจะแก้ให้」
แต่พวกโจรไม่สามารถแก้มัดให้ซิลได้
แฟรี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ว่องไว ทันที่ที่ถูกแก้มัด คงหนีไปทันทีแน่
ควรเลี้ยงไว้ในกรงหรือไม่ก็ขวด นั่นเป็นเรื่องทั่วไปที่ควรกระทำต่อแฟรี่
「ไม่นะ คือว่า หากแก้มัดให้ล่ะก็ จะสามารถสร้างผงได้เยอะกว่านะ! ออกมาเยอะกว่ามากเลยล่ะ! ในอดีต ตัวข้าน้อยเอง ก็ถูกบ้านเกิดขนานนามแปลกๆว่า『นักกระจายผง』อยู่นะ」
ซิลเองก็ทราบเรื่องที่ว่านั่นดี
เพราะงั้นเธอถึงพยายามอ้อนวอนไม่ให้โดนพันธะนาการมากไปกว่านี้ ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องไร้ค่าก็ตาม
「เฮ้ เกิดอะไรขึ้นรึ」
ด้านในพวกโจรอยู่ มีเสียงดังก้องออกมา
พวกโจรต่างหันไปทางต้นเสียงโดนพลัน
「หัวหน้า!」
มีความยินดีปนอยู่ในน้ำเสียงของพวกโจร
หลังพวกโจรจำนวนหนึ่งได้หลบทางให้ ร่างของชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า ก็ปรากฎขึ้นในสายตาของซิล
ชายที่ถูกเรียกว่าหัวหน้า กำลังคิดอยู่เลยว่าเป็นคนแบบไหน แต่ก็ป่าเถื่อนสมกับเป็นโจรจริงๆแหละ
ท่อนแขนล้ำ ปากใหญ่ นัดตาคมกริบ
สวมกางเกงหนังอย่างหยาบๆ รอบคอมีสร้อยที่ร้อยด้วยหัวกะโหลกอยู่
แต่สิ่งเด่นสง่ามากกว่านั้นก็คือ สีผิว
สีเขียว ที่ปากเองก็มีเขียวงอกออกอย่างสง่าสองซีก
ใช่แล้ว หัวหน้าที่ว่าก็คือออร์คนั่นเอง
「อ๊……อาา!」
ทันทีที่ซิลเห็นออร์คตนนั้น จากความทรงจำที่ในหลืบสมอง เธอรู้สึกว่าคุ้นๆกับคนคนนี้
ถึงจะนึกชื่อไม่ออก แต่ความทรงจำที่เคยเจอกันในสนามรบนั้นไม่ได้จางหายไปด้วย
「หัวหน้า! นั่นหัวหน้าไม่ใช่หรือไงกัน! ไม่ได้เจอกันนานเลย! นี่ข้าน้อยไง! ซิล! แฟรี่ที่ชื่อซิลไง!」
แม้จะนอกเรื่องไปนิด ซิลนั้นไม่ถนัดเรื่องการจำชื่อกับหน้าคนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ในหมู่ออร์คนั้น เธอสามารถแยกได้เพียงแค่แบชตนเดียวเท่านั้น ส่วนตนอื่นจะจำได้แค่คลุมเครือ แน่นอน แม้แต่ออร์คที่อยู่ข้างหน้าตนก็ด้วย
แถมส่วนใหญ่เธอมักจะเรียกพวกออร์ค(ตนอื่น)ว่า 「หัวหน้า」ไม่ก็「ลูกพี่」
「หืม? เจ้าแฟรี่ที่คอยติดสอยห้อยท้ายแบชไม่ใช่หรือไง มาทำอะไรที่นี่กัน?」
และ ซิลเองก็เป็นคนดังเช่นกัน
โดยเฉพาะในหมู่ออร์ค ไม่มีใครไม่รู้จักเธอ แฟรี่ผู้ที่ร่วมรบคู่กับแบชเลยซักคนเดียว
「แหม คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้น่ะหัวหน้า ข้าน้อยน่ะ หลังจากสงครามจบก็ได้ออกเดินทางไปทั่วโลก ดูนู้นดูนี่ที พอมาเห็นถ้ำนี่ ก็ได้กลิ่นสมบัติเข้ามาแต่ไกล เลยเข้ามาดู กลับกลายเป็นกลิ่นสาบของพวกโจรที่ไม่ได้อาบน้ำซะงั้น! หัวหน้า ช่วยข้าน้อยด้วย」
สภาพซิลพยายามคลานกระดึ๊บๆเข้าไปหาเหมือนตัวหนอน
แม้สารรูปจะดูไม่ได้ แต่ออร์คที่ถูกเรียกว่าคาชิร่านั้น ถือเป็นสหายร่วมรบของเธอ
และหนอนไหมตัวนี้เอง ก็ถูกแบชที่เป็นวีรบุรุษนั้นช่วยมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
「เข้าใจแล้วๆ……แก้มัดเจ้านั่นที คนรู้จักน่ะ」
「จะดีเหรอครับ? พวกแฟรี่ขึ้นชื่อเรื่องตลบคะแลงเลยนะ? อาจเอาเรื่องพวกเราไปแพร่งพรายก็ได้……」
หลังจากหันไปมองพวกโจรที่ทำท่าอิดออดแล้ว ออร์คตนนั้นก็ได้ปั้นหน้าชั่วร้ายขึ้นมา
เขาได้เข้ามากระซิบกับซิลด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
「เฮ้ย เรื่องพวกข้าที่อยู่ที่นี่ถือเป็นความลับ ห้ามบอกใครเด็ดขาด เข้าใจไหม?」
「แน่นอนเลย! จนถึงตอนนี้ข้าน้อยเคยแพร่งพร่ายความลับตอนไหนกัน!? ปากที่แข็งนี้เคยคลายความลับซักครั้งไหม!? ไม่เลย! ไม่อย่างงั้นนายท่านแบชเองได้ตายในสงคราม แล้วกลายเป็นรูปปั้นตั้งอยู่ในอาณาจักร์ออร์คนานแล้ว!」
เป็นความจริงที่ซิลไม่เคยแพร่งพลายเรื่องความลับเรื่องซักครั้งเดียว
แต่เรื่องที่นอกเหนือจาก”ความลับ”ล่ะก็อย่าให้นับเลย แถมเธอเป็นคนตัดสินใจเอาเองอีกต่างหากว่าอันไหนถือเป็นความลับหรืออันไหนไม่ใช่
เพราะฉะนั้น ถึงไม่เคยคาย ”ความลับ” เลยซักครั้ง
「ดีมาก แก้มัดเจ้านี่ซะ」
「……ครับ」
พวกโจรนั้นแก้มัดให้ซิลตามคำสั่งของคาจิระด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
ซิลที่ถูกแก้มัดแล้วนั้น ก็โถมบินขึ้นไปบนอากาศโดยพลัน ก่อนที่จะบินวนเวียนไปมาหน้าคาชิระ
「แหมーช่วยได้มากเลยล่ะ สมกับเป็นหัวหน้า! ใจกว้างใหญ่เหมือนดั่งตรงนั้นเปะเลย! ว่าแต่หัวหน้า ทำไมทำท่าเหมือนเป็นหัวหน้ารวมกลุ่มกับพวกมนุษย์แบบนี้กันล่ะ?」
เธอเริ่มทำการเก็บรวบรวมข้อมูล
แม้จะถูกปล่อยตัวเป็นอิสระแล้วก็ตาม แต่เธอก็ไม่ลืมเรื่องงานที่ถูกมอบหมายมา
「หึ ไม่มีอะไรมากมายอะไรหรอก ก็แค่เจ้าเนเมซิสนั่น ดันสงบศึกกับพวกมนุษย์ไงล่ะ พวกออร์คนั้นหากให้ทิ้งเรื่องต่อสู้ไปแล้วจะเหลืออะไรอีกล่ะ จะให้ทำใจยอมมันหรือไง! ข้าเลยหนีออกมา ระหว่างทางดันเจอเข้ากับพวกนี้ แถมมีเป้าหมายเดียวกันอีก」
พอออร์คมอบไปรอบๆ พวกโจรก็ส่งยิ้มให้
「ถึงข้าจะเป็นมนุษย์ และหมอนี่เป็นออร์ค แม้จะต่างเผ่าพันธุ์แต่อุดมการณ์เหมือนกันยังไงล่ะ」
「หืม! งั้นพวกที่อยู่ที่นี่ ก็เป็นกลุ่มคนที่หวังจะให้เกิดสงครามงั้นสินะ! ต้องการฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าสินะ!? กลุ่มก้อนของพวกนักทำลายล้างงั้นสินะ!?」
「ใช่แล้ว! ……แต่ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ มันก็เป็นไปได้ไม่สวยขนาดนั้นหรอก ตอนนี้เองทำได้แค่แอบหลบๆซ่อนๆไม่ให้พวกออร์คหรือมนุษย์เจอตัว แล้วค่อยซ่องสุมกำลังพล พอกำลังรบเพียงพอแล้ว พวกข้าก็ค่อยเริ่มดำเนินตามแผนการที่วางไว้ยังไงล่ะ!」
「โอ้ว! สมกับเป็นหัวหน้าล่ะー!」
ซิลเสแสร้งทำท่าตกใจเป็นใหญ่เป็นโต ก่อนคิดในใจว่า「เรื่องที่อยากรู้ ก็ถามไปหมดแล้ว ได้เวลาเผ่นกลับแล้วสินะ」พลางบินฉวัดเฉวียงไปรอบๆ
แต่ เธอก็พบว่า ด้านในเงามืดนั้น มีดวงตาที่สะท้อนแสงของสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่งอยู่
「มะ! มีอะไรอยู่ตรงนั้นด้วยอ่ะ!」
「จะตกใจไปทำไม ลืมไปแล้วหรือไง? ข้าน่ะเป็นบีสเทมเมอร์นะ?」
พอได้ยินเช่นนั้น ซิลนึกถึงเทคนิคลับที่ใช้กลับในหมู่พวกอสูร
เป็นวิชาที่น่าพิศวง ต่างจากเวทมนตร์เล็กน้อย อาศัยพลังแห่งความมืด ไม่จำเป็นต้องเป็นนักเวทก็ใช้ได้ เป็นวิชาที่ใช้บงการศัตรู โดยทำให้สติของศัตรูขุ่นมัว ใช่แล้ว……เช่นพวกปีศาจที่มีสติสัมปชัญญะต่ำ
「กำลังควบคุมบักแบร์อยู่เหรอ!」
ในตอนนี้เอง ในสมองน้อยๆของซิลนั้นได้รู้ตัวจริงของออร์คที่อยู่ด้านในตน
ออร์คตนนี้มีชื่อจริงว่าโบกส์ เป็นหนึ่งในหัวหน้ากองทัพขนาดใหญ่(เกรทชิฟ)ทั้งแปด ที่เหลือรอดจากสงครามครั้งนั้น
บีสเทมเมอร์โบกส์ พวกบักแบร์ที่เขาบังการนั้น จัดเทศกาลละเลงเลือดพวกมนุษย์มาหลายพันศพแล้ว
แน่นอน อาวุธของเขานั้นไม่ใช่มีเพียงแค่พวกบักแบร์เท่านั้น
เขาเองกีมีความสามารถพื้นฐานของนักรบเผ่าออร์คอยู่เช่นกัน กระบอกเหล็กที่เขาแกว่งท่ามกลางสนามรบ ได้เปลี่ยนศัตรูให้เป็นเนื้อสับนับหลายร้อยนาย
เป็นหนึ่งในนักรบผ่านศึกคนหนึ่ง ที่อยู่ในสมรภูมิมากว่า 40 ปี
「ถึงพวกบักแบร์ที่ฉันเลี้ยงไว้เอง ก็เหลือน้อยลงทุกทีแล้วก็เถอะนะ……」
โบกส์พูดเช่นนั้นพลาง หันไปมองพวกบักแบร์ที่อยู่มุมถ้ำด้วยแววตาอ่อนโยน
ในช่วงสงคราม บักแบร์ของโบกส์ มีจำนวนเกินกว่าร้อยตัว
เขาถือเป็นออร์คที่บงการบักแบร์ได้เยอะสุด
แต่ในช่วงท้ายๆของสงคราม บักแบร์ของเขานั้นถูกบุกทำลายอย่างย่อยยับ จนในที่สุดจำนวนของบักแบร์ก็เหลือเพียงแค่เลขหลักเดียวเท่านั้น
ปัจจุบัน บักแบร์ที่เห็นอยู่ในถ้ำนี่ นับได้ราวสิบกว่าตัว
ตัวที่มีกล้ามเนื้อล่ำๆ ที่มองก็รู้ว่าเคยผ่านสงครามมานั้น มีประมาณ 3-4 ตัว
ที่เหลือคงพึ่งจับมาฝึกได้ไม่นานสินะ เมื่อเทียบกับตัวด้านต้นแล้ว ร่างกายดูอ่อนแอแบบแยกได้เลย หากพูดถึงบักแบร์ของโบกส์แล้วล่ะก็ แข็งแกร่งยิ่งกว่าโอก้า ไวว่องปานลิซาร์ดแมน ถือเป็นหนึ่งในไพ่ตายของออร์คก็ว่าได้
「แต่เอาเถอะ หลังจากนี้ค่อยๆฝึกเพิ่มเอาก็ได้ หลังจากนั้น ข้าว่าจะสอนวิชาฝึกสัตว์ให้เจ้าพวกนี้ แล้วสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งขึ้นมาใหม่อีกครั้ง」
หากดูให้ดีๆล่ะก็ จะเห็นได้ว่า บักแบร์ในฝูงนั้น มีพวกตัวเล็กๆอยู่เช่นกัน แม้จะใหญ่กว่าซิลก็ตาม
พวกบักแบร์นั้นยังเป็นทารกอยู่ บักแบร์ใช้เวลาประมาณครึ่งปี ถึงจะเจริญไปสู่วัยผู้ใหญ่
ก่อนอื่นเลยต้องคอยดูแลเจ้าพวกนี้ไปก่อน
「หลังจากรุ่งอรุณนั้นมาถึง ข้าจักเป็นราชาออร์คตนใหม่ ผู้นำพาความวุ่นวายมายังโลกใบนี้」
พวกโจรนั้นต่างตบมือให้กับความทะเยอทะยานของโบรก์ ลุยเลย หัวหน้า ได้ยินเสียงประมาณนั้น
แต่จากมุมมองของซิลแล้ว พวกโจรเองก็ไม่ได้มีความกระตือรือล้นถึงขนาดนั้น
พวกเขาแค่คงอยากใช้ชีวิตสงบสุขไปวันๆมากกว่า
「กรรร……」
จู่ๆบักแบร์ที่อยู้ตรงนั้นก็ทำเสียงขู่คำรามขึ้นมา
พอได้ยินเสียงนั้น พวกโจรต่างควักอาวุธมาเตรียมพร้อมกันอย่างพร้อมเพียง
「เกิดอะไรขึ้นหรือครับ!?」
「มีผู้บุกรุก! พวกแกไปกันได้แล้ว!」
พอโบกส์ตะโกนเช่นนั้น เขาก็ควักคฑาเหล็กขึ้นมา แล้วก็วิ่งไปยังที่แห่งหนึ่ง
พวกบักแบร์และพวกโจรเองต่างก็วิ่งตามเขาไป เพราะต่างคนต่างมีประสบการณ์ต่อสู้มาพอตัว จึงสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน แสงไฟภายในถ้ำก็ได้ถูกดับลง
เหลือเพียงแสงเรืองรองจากซิลอ่อนๆเท่านั้น ที่ส่องสว่างอยู่ในถ้ำ
ในเมื่อถูกทิ้งไว้คนเดียวแบบนี้ ก็ได้โอกาสหนีล่ะ
แต่เธอเองก็ติดใจเรื่องคำว่าผู้บุกรุกที่พวกนั้นพูดออกมา
และดูเหมือนจะไม่ใช่ เรื่องที่แบชเสี่ยงบุกเข้ามาด้วย
「โธ่โว๊ย! มาจากทางไหนกันแน่!」
「เฮ้ยมีผู้หญิงติดมาด้วยวะ! เสร็จข้า!」
「ใครก็ได้จุดไฟ……อ๊ากกกก!」
「ใครโดนโจมตี! เฮ้!」
「ไม่รู้เหมือนกันครับ มืดขนาดนี้มัน! อ๊ากกก!」
「เพราะงั้นฉันถึงสั่งให้จุดไฟยังไง!」
หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเสียงต่อสู้ขึ้น แต่มีเพียงเสียงทึบๆ กับเสียงกรี๊ดร้องเท่านั้น ไม่มีเสียงเฉือดเฉือนให้ได้ยินเลยซักนิด
ใครกันแน่นะที่สู้อยู่ ที่แน่ๆ ไม่ใช่แบชอย่างแน่นอน หากเป็นแบชล่ะก็ เสียงที่ได้ยินต้องเอิกเกริกมากกว่านี้
ซิลที่สงสัยในเรื่องนั้น จึงได้ตัดสินใจอยู่ดูราดราวต่อไป
ในสถานรบเองก็เคยมีสถานการ์ณแบบนี้เกิดขึ้นเช่นกัน
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ การตัดสินใจอยู่กับที่ แทนที่จะทะเล่อทะล่าออกไปเลยนั้นถือเป็นเรื่องถูกต้อง อยู่หลายครั้งเช่นกัน
「เอาล่ะ」
ซิลบินโฉบไปทางต้นเสียงที่ว่า
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การหาข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แม้เธอจะมองไม่เห็นในความมืดก็ตาม แต่คงได้ข้อมูลอะไรสำคัญๆซักอย่างติดไปได้ล่ะนะ
พอว่าจะทำอย่างนั้น จู่ๆการต่อสู้ก็จบลง คบไฟถูกจุดขึ้นมาในที่เกิดเหตุ
แสงไฟจากคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้น ส่องให้เห็นพวกทหารที่มีแต่แผลเต็มตัว ตรงกลางวงนั้น มีจูดิสที่เลือดอาบหน้า ถูกมัดกลิ้งกระเสือกกระสนอยู่
「……เกิดอะไรขึ้นเนี้ย」
「โอ้ ซิลเองรึ……ก็อย่างที่เห็น ดูเหมือนพวกอัศวินประจำพื้นที่ จะบุกเข้ามาปราบปรามพวกข้าน่ะ」
「อ๋อ เหรอ」
จูดิสมองไปทางซิล
「แย่ล่ะ」ซิลอุทานออกมาพลางรีบซ่อนตัว เพราะคิดว่าความลับเรื่องแอบเข้ามาสอบแนมอาจจะหลุดออกมาจากหล่อนก็ได้
แต่ จูดิสแค่แสดงท่าทางตกใจให้เห็นแค่ชั่วครู่ ก่อนที่จะมองด้วยตาจงเกลียดจงชัง
พอเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปแบบนั้น เล่นเอาเซิลปรี๊ดขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ถึงอย่างนั้น ผู้หญิงคนนั้นเองก็ตัวเมียที่แบชหมายตา ยังไงก็จะปล่อยให้ถูกฆ่าไม่ได้
「เคี๊ยะๆ หัวหน้า ผู้หญิงคนนี้ยกให้ข้าได้ไหม?」
「บ้าเปล่า ของส่วนรวมเฟ้ย ใช่ไหมพวกพี่น้อง」
「ยืดครองไว้คนเดียวมันไม่ดีนะเฟ้ย」
「งั้น เอาผู้หญิงไปขังในคุกซะ ส่วนพวกผู้ชายก็ฆ่าแล้วเอาไปทิ้งข้างนอก」
มองเห็นความหวาดกลัวได้ในสีหน้าของจูดิส
「คะ……ฆ่ากันเลยสิ……」
ถึงแม้ปากจะอย่าง แต่ก็ท่าก็แสดงท่าทางหวาดกลัวออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ดวงตาสั่นไหว ปากสั่นจนได้ยินเสียงคางกระทบกันเลย มีเสียงสะอึกเล็ดลอดมาจากลำคอ ทำท่าจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ
(โอ๊ะ หากเป็นแบบนี้ล่ะก็ดีเลย)
ซิลคิดว่าสถานการณ์กำลังเป็นไปได้สวย
อัศวินหญิงที่กำลังจนตรอก หากสามารถช่วยออกจากสถานการณ์นี้ได้ละก็ ค่าความชอบต่อแบชคงพุ่งทะยานแน่ เผลอๆสามารถกุมหัวใจของอัศวินหญิงเลยก็เป็นได้
「ดะ เดี๋ยวก่อนๆ จะฆ่าตอนนี้เลยไม่ได้นะ อุตสาห์แอบได้พ้นจนถึงตอนนี้แล้ว หากพวกอัศวินเจอศพพวกตัวเองล่ะก็มีหวังได้โหมบุกจู่โจมโดยพร้อมเพียงแน่!」
อะไรของเจ้านี่วะ สายตาทุกคนที่ต้องการสื่อแบบนั้นหันไปมองที่ซิลอย่างพร้อมเพียง
แต่ซิลไม่ใช่พวกหงอถึงขนาดนั้น เพราะพวกแฟรี่มักอ่านบรรยากาศไม่เป็นอย่างไงล่ะ
「เอางี้เป็นไง!ค่อยจัดการสำเร็จโทษเจ้าพวกนี้ตอนพรุ่งนี้เช้ากัน!จัดฉากว่าเป็นฝีมือของบักแบร์ โดยการเอาศพไปทิ้งไว้แถวป่าเปิด ชะโลมเลือด แล้วทิ้งซากบักแบร์ไว้สองสามตัว เท่านี้ก็ดูเหมือนพวกทหารได้สู้กับบักแบร์จนสุดความสามารถ แล้วก็แพ้! พวกมนุษย์ไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น ต้องหลอกได้แน่นอน! แผนการที่อุตสาห์กำลังเข้าได้เข้าเข็ม จะยอมให้มาจบแค่ตรงนี้เท่านั้นเหรอ? อย่าปล่อยให้โอกาสหายไปสิ! ข้าน้อยเชื่อว่าคนเก่งอย่างพวกท่านต้องเข้าใจเรื่องนี้แน่ๆ! แล้วอีกอย่าง ที่นี่มืดออก รอสว่างๆ แล้วค่อยจัดการดีกว่าน่า พวกท่านไม่อยากเห็นหน้าพวกมันระหว่างฆ่าหรือไง ก็เวลามองพวกนี้ระหว่างฆ่ามันสนุกจะตายไม่ใช่หรือไงกัน!?」
คำพูดน้ำไหลไฟดับของซิลนั้น ทำให้จิตใจของพวกโจรไขว้เขวได้
จะฆ่าเมื่อไรก็ได้มั้ง?บ้าง
หากข้าเอาจริงล่ะก็ แปปๆก็จบล่ะ? บ้าง
คำพูดของซิลเหมือนมีมนตร์สะกดอยู่อย่างไรอย่างนั้น ในบางพื้นที จะมีผู้ขนานนามซิลว่า『ซิลนักยุยง』อยู่ หากถูกแฟรี่ตนนี้ยุยงล่ะก็ ไม่ว่าใครก็อดคล้อยตามไม่ได้
「ก็คงจะอย่างนั้น เอาล่ะ พวงเอ็งทั้งหลาย ลากเจ้าพวกนี้เข้ากรงขังซะ……หุหุ อัศวินหญิงเอ๋ย เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าขึ้นสวรรค์ต่อหน้าพวกลูกน้องให้เอง」
สุดท้ายโบกส์ก็ตัดสินใจคล้อยตาม
เขาจับผมของอัศวินหญิง ลากเข้าไปในถ้ำ
สายตาของจูดีสที่ตกอยู่ในความสิ้นหวัง จ้องเขม็งไปยังซิลราวกับมองคนทรยศ
(นายท่าน เวทีเองก็ถูกจัดเตรียมไว้สมบูรณ์แล้วด้วย โอกาสแบบนั้นจะปล่อยให้หลุดรอดไม่ได้เลยล่ะ ที่เหลือก็แค่รอจังหวะดีๆ โผล่ออกไปช่วยเท่านั้นเอง!)
ซิลไม่ได้สนใจสายตาของจูดิสที่มองตน
◇
หลังจากที่แบชตื่น เขาก็เห็นฮิวจ์ตันกำลังเอามือกุมหัวตัวเองอยู่
「เอาจริงดิ……ไม่สิ……ต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ๆ……」
ไม่มีร่องรอยของจูดิสและทหารคนอื่นอยู่
「……พวกที่เหลือไปไหน?」
พอได้ยินแบชถาม ฮิวจ์ตันก็ส่ายหัวให้ด้วยใบหน้าสำนึกผิด
「ช่างน่าอับอายนัก ดูเหมือนพวกเขาจะร่ายเวททำให้พวกเราหลับ แล้วก็บุกเข้าไปกันครับ……」
เวทมนตร์ทำให้หลับ
เวทมนตร์ที่ทำให้อีกฝ่ายหลับลึกในระยะช่วงเวลาสั้นๆ
「ออกคำสั่งให้บุกไปรึ?」
「ไม่ได้ออกครับ พวกเขาฝ่าฝืนกันเอง」
「…………พวกมนุษย์เป็นพวกชอบฝ่าฝืนคำสั่งงั้นหรือ?」
「หากเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบใจล่ะก็…ใช่ครับ」
แบชถึงกับคัลเจอร์ช๊อคเลย
ในสังคมออร์ค หากผู้ใครที่ไม่ปฎิบัติตามคำสั่ง จะถูกฆ่าทิ้งตรงนั้นทันที ไม่ก็ถูกขับไล่ออกจากประเทศ
เพราะฉะนั้น สำหรับพวกออร์คแล้ว คำสั่งไม่ต่างจากประกาศิต เป็นสิ่งที่ต้องปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด
「แล้วหากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมา พวกมนุษย์จะทำยังไงกันต่อรึ?」
「โดยพื้นฐานแล้วจะสั่งสอนกับตัดเงินเดือน……มีการสั่งพักงาน หรือให้ถอนยศอัศวินตามแต่สถานการณ์ครับ」
「ถือว่าเป็นโทษไม่ร้ายแรงสินะ」
「ก็ตอนนี้เป็นยุคสงบสุข……แถมผู้บัญชาการที่ไร้ความสามารถก็มีกันเยอะ อย่างคำให้บ้าๆให้ไปตายเปล่าในสนามรบแบบนั้น ก็มีผู้ฝ่าฝืนอยู่……ช่างน่าอาย ที่ผมเองก็อยู่ในจุดที่ไม่สามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้」
เรื่องฮิวจ์ตันจะไร้ความสามารถหรือไม่นั้น ช่างมันไปก่อน
สิ่งที่แบชคลายความกังวลได้คือเรื่อง การฝ่าฝืนคำสั่งนั้นไม่ใช่โทษหนักหนาอะไรต่างหาก
แถมที่สำคัญตอนนี้ ได้กลิ่นเลือดลอยมาจากทางถ้ำแล้ว
จูดิสที่บุกเข้าไป ตัวเมียที่ตนหมายปองจะเอามาเป็นเจ้าสาวนั้น อาจตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้
「แล้วจะเอาไงต่อ?」
「การที่ร่ายเวทใส่พวกเราก่อนบุกเข้าไป แุถมยังไม่กลับมานั้น คงถูกทำลายย่อยยับทั้งกองแล้วเราควรกลับเมือง ขอกำลังหนุนก่อนรอบหนึ่ง น่าจะเป็นแผนการที่ดีที่สุด……」
「นี่ใช่เวลาจะมาทำอะไรเอื่อยเฉยที่ไหนกัน?」
แบชจ้องเขม็งไปยังฮิวตัน
จะถอยไม่ได้เด็ดขาด
「คนสั่งการตอนนี้คือนาย ไม่ว่าสั่งอะไรมาข้าจะทำตาม」
แม้ออร์คจะปฎิบัติตามคำสั่งผู้สั่งการอย่างเด็ดขาดก็ตาม
แต่ยังสามารถออกความเห็นให้แก่ผู้บัญชาการได้ ถึงจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำก็เถอะ แต่แบชก็ได้แสดงความเห็นของตนออกมา
「ขอบอกไว้อย่างว่า ออร์คนั้นไม่ใช่พวกขี้ขลาด ไม่ว่าคำสั่งแบบใด ข้าก็จะลุยอย่างกล้าหาญเสมอ」
ฮิวจ์ตันหันกลับไปมองแบชใหม่อีกหน
ผิวสีเขียว เขี้ยวที่โผล่ออกมาสองซีก กล้ามเนื้อที่กำย่ำ ออร์คตัวเตี้ย ที่นอกจากนั้นไม่ต่างอะไรจากออร์คทั่วไป แต่เป็นชายที่ไม่เขาไม่อาจลืมเลือนได้ ชายผู้นี้คอยไล่ล่าฮิวจ์ตันมาตลอดในช่วงสงคราม
หากเป็นฮิวจ์ตันในยามปกติล่ะก็ เขาคงทิ้งจูดิสไปตั้งแต่แรกแล้ว
ทำตัวเองแท้ๆ เป็นโทษที่เหมาะสำหรับพวกฝ่าฝืนคำสั่งแล้วล่ะ ไม่มีความจำเป็นอะไร ที่ต้องไปเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยพวกโง่ๆพวกนั้น
แม้จะถูกครหาว่าเป็นพวกขี้ขลาด เขาก็แค่ทำเป็นเมินต่อเสียงพวกนั้นไป
แต่ ผู้ที่อยู่ต่อหน้าเขานั้น คือแบช ชายผู้ที่ฮิวจ์ตันหวาดกลัวที่สุด ชายที่ฮิวจ์ตันให้กันยอมรับมากกว่าใคร
ฮิวจ์ตันภูมิใจในการกระทำของเขาในช่วงสงครามเสมอ การที่เขาหนีนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะตนขี้ขลาด แต่เป็นการหนีเพื่อรอคอยชัยชนะต่างหากล่ะ และก็จริงอย่างที่เขาว่า ฮิวจ์ตันมีชีวิตรอดจนสงครามสิ้นสุด ส่วนพวกออร์คนั้นแพ้ต่อสงคราม การที่สามารถสลัดพ้นจากการไล่ล่าของออร์คฮีโร่ผู้นี้ได้ เขาไม่อยากคิดว่าเป็นเพราะโชคช่วยเพียงอย่างเดียว
「……เข้าใจแล้วครับ จากนี้เราจะทำการบุกเข้าไปในถ้ำกัน ช่วยเหลือเชลย แล้วฆ่าพวกโจรให้หมด」
『ออร์คฮีโร่』แสยะยิ้มโชว์เขี้ยวยาวๆนั้นให้เห็น