Otherworldly evil monarch จอมโฉดแห่งโลกหน้า มือสังหารมือพระกาฬ - ตอนที่ 197
จวินโม่เซี่ยนอนหลับยาวทั้งวัน
พลังจำนวนมากที่เขาได้ใช้ไปก่อนหน้านี้นั้นทำให้ร่างกาของเขาตึกเครียดมาก และเขาผลักดันมันไปเกินกว่าขีดจำกัดของเขา ความจริง มือสังหารไม่เคยผลักดันตัวเองให้เลยยขีดจำกัดเช่นนี้มาก่อน
จวินโม่เซี่ยฝืนใช้พลังของเขาเพื่อจำลองเจดีย์หงษ์จวินจนกระทั่งเขาสามารถส่งสัตว์เชวียนสองตัวนั้นให้ไปทำงานของเขาได้ หลังจากนั้นเขาจะผ่อนคลายลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่าเขากลัวว่าจะมีบางคนมาสอดแนมเขาอยู่ เขาจึงยังไม่ลดระดับการป้องกันลง และหากไม่ใช่เพราะการฝึกฝนร่างกายที่เขาได้เข้ามาสิ่งสู้นี้ นายน้อยจวินอาจจะล้มลงไปกองบนพื้นก่อนที่เขาจะถึงที่พักสกุลจวิน
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เขาไปถึงยังที่พักสกุลจวิน นายน้อยจวินใช้มันไปจนหมดสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ผลักดันตัวเองไปจนถึงขีดจำกัด ถึงขนาดที่เขาไม่สามารถจะยกนิ้วขึ้น สิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้คือ องครักษ์ยกเขาขึ้นมาและนำเขาไปส่งที่เตียง หลังจานั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว …
เคอน้อยเป็นกังวลอย่างมากตลอดทั้งคืน จนนางไม่สามารถแม้แต่จะหลับตา จนถึงเช้า จวินวูอี้เข้ามาที่ลานบ้านกับนาง และรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น และกังวลว่าหลานชายของเขาจะมีส่วนในเรื่องที่เป็นอันตรายถึงชีวิต จวินวูอี้ใช้เวลาทั้งวันนั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อนของเขาในลานบ้านของจวินโม่เซี่ย ใบหน้าของเขาสะท้อนถึงความกังวลในใจของเขาได้อย่างชัดเจน
จวินโม่เซี่ยได้พูดอะไรบางอย่างก่อนที่เขาจะสลบไป แต่คำพูดของเขาหมายถึงอะไร ?
“ คฤหัสน์ฉีฮั่น… พวกเขาจะยังไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเรา ”
เหตุใดคฤหัสน์ฉีฮั่นถึงไม่เป็นปัญหาตอนนี้ละ ? ทุกอย่างปกติดีไหม ? เขาหายไปในตอนที่ได้รู้ถึงปัญหาของคฤหัสน์ฉีฮั่น ทำไมกัน ? ด้วยชื่อเสียงของคฤหัสน์ฉีฮั่นนี่คงไม่ได้เป็นเรื่องตลกหรืออะไรทำนองนั้นใช่ไหม ? มันคงเป็นเรื่องไร้สาระท่ามกลางท่าทีที่สง่างามซึ่งพวกเขาได้ทำลงไปใช่ไหม ?
หากพูดกันตามจริง แม้ว่าจวินวูอี้จะตัดสินใจที่จะปกป้องหญิงหม้ายของหลานชายของเขาต่อการรุกรานของคฤหัสน์ฉีฮั่นด้วยความภูมิใจและสง่า เขาก็ยังคงกลัวความอันตรายและความยุ่งยากที่รออยู่เบื้องหน้า ในความเป็นจริง จวินวูอี้ไม่ได้กลัวคฤหัสน์ฉีฮั่น แต่กลัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา ลีจื้อเทียน ชายผู้แข็งแกร่งเป็นอันดับสอง เขารู้ดีว่าสกุลจวินนั้นไม่สามารถก่อสงครามและต่อสู้กับชายผู้นั้นได้ !
การต่อสู้กับเมืองพายุหิมะขาวและนายท่านฮั่นเฟิงฉีในตอนนี้ ทำให้สกุลจวินกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะสร้างศัตรูที่มีความแข็งแกร่งและอิทธิพลระดับนั้นได้ !
ก่อนหน้านี้ เมื่อข่าวลือว่ามีการประกฏตัวของแกนเชวียนขั้นเก้ามาถึงหูของของเขา ในตอนแรกจวินวูอี้คิดจะใส่หน้ากากและออกไปคว้าเอาโอกาสนั้น หากเขาสามารถที่จะชนะเอาแกนเชวียนมาได้เพราะโชคช่วย มันจะเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถพัฒนาขั้นการเพาะปลูกไปถึงขั้นเทพเชวียนด้วยการช่วยเหลือจากแกนเชวียน และแม้ว่าเขาอาจจะยังเทียบกับลีจื้อเทียนไม่ได้ มันก็ยังทำให้สกุลจวินมีโอกาสที่ดีที่จะมีจุดยืนที่แข็งแกร่ง !
หลังจากที่ความคิดแรกเริ่มนี้เกิดขึ้นในหัวของเขา จวินวูอี้จึงพยายามตั้งสติและคิดทบทวนให้ดีก่อนที่จะทำอะไรลงไป และพบว่าความแข็งแกร่งของผู้ที่ต้องการแกนเชวียนนั้นเกินกว่าที่เขาจะสามารถต่อกรได้ และหากเขาโชคร้ายในการแสวงหาของสิ่งนี้ สกุลจวินคงไม่สามารถที่จะอดทนต่อการสูญเสียได้อีกแล้ว !
และในเช้าวันถัดมา หลานชายของเขาก็พูดออกมา …
“ คฤหัสน์ฉือฮั่น พวกเขาจะยังไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเรา ”
ประโยคนี้ทำให้จวินวูอี้หวาดกลัวและดีใจ จวินวูอี้ไม่ได้สงสัยในข้อมูลนี้ เพราะเขารู้ว่าความสามารถที่ประหลาดบางอย่างของหลานชายของเขานั้นทำให้เขาประหลาดใจมากมายมายแล้ว และทำให้เขาได้รับความสนุกเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะไม่ได้สงสัย แต่เขาก็อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้
หลานชายของข้าจัดการมันได้อย่างไร ? อีกฝ่ายนั้นมีลีจื้อเทียนหนุนหลังอยู่ !
มันเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ยิ่งนัก !
กวนเซียงฮั่นก็มายังลานบ้านของจวินโม่เซี่ยเป็นบางครั้ง หลังจากที่นางได้ยินคำพูดของจวินโม่เซี่ยจากจวินวูอี้ แต่ก็ไม่ได้รบกวนน้องเขยของนางเนื่องจากนางเห็นถึงความเหน็ดเหนื่อยของเขา แต่นางก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้
นางสามารถสัมผัสได้ว่า จวินโม่เซี่ยนั้นแบกรับความตึงเครียดไว้มากมายเพื่อปกป้องนางจากอันตราย และแม้ว่านางจะไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าเหตุใดจวินโม่เซี่ยถึงมั่นใจอย่างมากในเรื่องนั้น แต่สำหรับเหตุผลคือไม่รู้อะไร นางถึงได้เลือกที่จะเชื่อใจจวินโม่เซี่ย
นางไม่สามารถลืมคำพูดที่ออกมาจากปากของจวินโม่เซี่ยได้
“ … หากพลังอำนาจของสกุลจวินไม่สามารปกป้องนางได้ ดังนั้นก่อนที่สกุลจวินจะล่มสลาย ข้าจะสังหารนางด้วยตัวเอง ! …. ข้าจะไม่ปล่อยให้นางต้องแต่งงานเข้าไปยังคฤหัสน์ฉีฮั่น ! ”
คำพูดที่โหดร้ายและเลือดเย็นนี้ได้เติมเต็มให้หัวใจของนางรู้สึกมีความสุขและปลอดภัย เท่าที่นางเป็นห่วงนั้น ไม่ใช่เพราะคำพูดนั้นเลือดเย็นและโหดร้าย แต่ชายผู้นั้นเลือกที่จะปกป้องนางขนาดที่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อเกียรติยศของนาง !
กวนเซียงฮั่นยืนอยู่ที่บานบ้านอย่างเงียบๆ เพ่งมองไปยังหมอกควันที่อยู่ตรงเส้นของฟ้า พยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันที่ผ่านมา ความคิดและภาความจรงจำพุ่งทลักเข้ามาสู่หัวของนาง ทำให้นางสับสน และมันค่อนข้างยากที่จะคิดว่านางได้คิดมาถึงจุดนี้ ….
แสงตะเกียงถูกจุดขึ้นในตอนที่จวินโม่เซี่ยตื่นขึ้นมา
“ สุดท้ายเจ้าก็ตื่น ”
จวินวูอี้ไม่แม้แต่จะรีรอและเข้าไปยังห้องของหลานชายในตอนที่เขาได้ยินเสียงของการเคลื่อไหวบนเตียง
“ น้าสาม ท่านมาทำอะไรที่นี่ ? ข้าหลับไปนานแค่ใหน ? ”
จวินโม่เซี่ยังคงหลับตาอยู่ และคราญครางก่อนที่สุดท้ายแล้วเขาก็ลืมตาและลึกขึ้น จากนั้น เขาพยักหน้าเนื่องจากความเจ็บปวดจากเมื่อคืนได้หายไปแล้ว และแทนที่ด้วยความอบอุ่นและรูสึกสบาย ราวกับว่าร่างของเขานั้นแช่อยู่ในน้ำอุ่น เขารู้สึกสบายอย่างประหลาด ในขณะที่เส้นลมปราณของเขา แข็งแกร่ง มีพลัง และ สงบมากขึ้น
นี่คือความรู้สึกที่แตกต่างอย่างมากหากเทียบกับประสบการณ์ที่ผ่านมา แม้ว่าร่างกายของเขาจะทนทานมากขึ้น แต่ปกติแล้วเมื่อมือสังหารจวินผลักดันตัวเองไปถึงขีดจำกัดเพื่อให้งานลุล่วงไป เขาจะต้องอดทนต่ออาการปวดหัวอยู่เป็นวัน เนื่องจากร่างกายของเขาต้องการเวลาหลายวันในการฟื้นฟูความอ่อนล้า อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ ผนของมันนั้นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง !
แม้ว่าเขาจะใช้ปราณเชวียนด้วยกระบวนการที่โหดร้ายและส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าอย่างมาก แต่การเชื่อมต่อระหว่างพลังในร่างกายของเขาและเจดีย์หงษ์จวินนั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเกินกว่าที่เขาได้คาดเอาไว้ และสำหรับบางเหตุผลนั้น เจดีย์หงษ์จวินนั้นไม่เพียงแต่รักษาอาการเหนื่อยล้าของร่างกายของเขาเท่านั้น แต่ยังทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาด และลึกลับอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าเขาได้เข้าไปใกล้ชั้นที่สองของเจดีย์อย่างมากแล้ว หัวใจของจวินโม่เซี่ยรู้สึกถึงความประหลาดราวกับว่าเขาสามารที่จะบรรลุไปยังขั้นที่สองของเคล็ดปลดผนึกชะตาสวรรค์ในสองหรือสามวันนี้ ซึ่งมันหมายถึงว่า เขาสามารถที่จะปลดผนึกชั้นที่สองของเจดีย์ได้สำเร็จ !
ความรู้สึกนี้ลึกลับอย่างมาก และจวินโม่เซี่ยเองก็ยังไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเช่นนี้ แต่ดูเหมือนว่าความรู้สึกนี้เป็นความจริง
แต่ไม่มีเหตุผลที่มารองรับมัน
“ เจ้าหายไป และกลับมาพร้อมกับอาการปางตาย ! เจ้าคิดว่าข้าจะไม่เป็นกังวลได้อย่างไร ? ”
จวินวูอี้ย่นจมูก
“ เจ้าได้สร้างปัญหาไว้หกอย่างในตอนที่เจ้าออกไป … อย่างแรก เจ้าเอาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางการลอบสังหารองค์หญิง และเจ้าได้รับบาดเจ็บที่รุนแรง ! สองเจ้าเขาไปที่หอมณีวิจิตรเพื่อเดินเล่น ? ครั้งที่สามเจ้าไปกับข้า และเจ้าได้ทำการสังหารหมู่ภายในหอฮวงฮวย ! และจากนั้นครั้งที่สี่ เจ้าได้ไปอาละวาดที่ศาลานี่ฉางและพ่นคำสาปแช่งองค์ชายสอง ! จากนั้น ครั้งที่ห้า ตัวเจ้าเองเกือบโดนลอบสังหาร ! และตอนนี้ ครั้งที่หก เจ้ากลับมาพร้อมอาการปางตาย และสิ่งที่องครักษ์บอกข้า พวกเขาหามเจ้ากลับมา และกลัวว่าพวกเราจะต้องพาเจ้าไปสถานพยายาลหากเจ้าไม่ตื่นมาในเร็วๆนี้ ! ”
จวินวูอี้ชูนิ้วขึ้นมาในขณะที่ใบหน้าของเขาแสดงความไม่พอใจ
“ จวินโม่เซี่ย น้าสามของเจ้าไม่เคยบอกหรือว่าเจ้าต้องมีองครักษ์ไปด้วยหากเจ้าออกจากบ้าน ? เจ้าสามารถออกไปกับองครักษ์เมื่อใหร่ก็ได้และข้ารู้ว่าข้าไม่สามารถโทษพวกเขาได้เนื่องจากฝีมือของเจ้า แต่คนเหล่านี้ได้รับคำสั่งให้ติดตามและปกป้องเจ้า เจ้าไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นกังวลหรือ ? แม้ว่าเจ้าจะเป็นนายน้อยของสกุล แต่ไม่ได้หายความว่าเจ้าจะทำให้ทุกคนเป็นกังวลได้นะ ! ”
“ แล้ว เหตุใดเจ้าถึงเคร่งเครียดเช่นนี้ ? ”
จวินวูอี้เกือบจะคำรามออกมา
“ ข้าจะต้องไปตรวจสอบเจ้าทุกครั้งที่เจ้าออกไปไหม ? เมื่อคืน เจ้าหายไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก และจากนั้นองครักษ์เปิดประตูในตอนเช้า และพบว่าเจ้าคลานไปตามดินโคลนอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่ตรงธรณีประตู ! ”
จวินโม่เซี่ยเกาจมูก และหัวเราะสองสามครั้ง ขณะที่เขาฟังคำดุด่าของน้าสามอย่างเชื่อฟัง จวินวูอี้เป็นคนที่ใจเย็นอยู่เสมอท่ามกลางสมาชิกในสกุลของเขา แต่วันนี้เขานั้นกำลังเดือดาด ดังนั้นจวินโม่เซี่ยจึงไม่กล้าโต้เถียง และฟังต่อไปอย่างเงียบๆด้วยสีหน้าที่ไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย
ข้าออกไปเพื่อดูแลธุริจสกปรก แล้วข้าจะให้คนเหล่านี้ติดตามไปได้อย่างไร ?
จวินวูอี้หายในยาวๆ เพื่อพยายามทำให้จิตใจของเขาสงบลง เนื่องจากเขารู้สึกว่าเขาทำเกินไปนิดหน่อย แต่ด้วยความไร้เดียงสาที่อยู่บนใบหน้าของจวินโม่เซี่ย จวินวูอี้จึงรู้สึกว่าอารมณ์ของเขานั้นไม่ควรจะเกิดขึ้น
“ ข้าบ้ามากที่มาตำหนิเจ้าตอนนี้ แต่กระนั้น มันก็ทำให้ข้าเหนื่อย ”
จวินวูอี้สบัดมือ
“ เอาละ เจ้าเมื่อเช้าเจ้าพุดอะไรบางอย่าง เจ้าหมายถึงอะไร ? ”
จวินวูอี้ใช้เวลาทั้งคืนเพื่อฟังเรื่องราวกการต่อสู้ที่น่ากลัวที่เกิดขึ้นกลางเมือง และอดที่จะเป็นห่วงความปลอดภัยของหลานชายของเขา ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่เขามีอารมณ์เกิดขึ้น !
“ เอ่ ? ท่านพูดอะไร ? ท่านกำลังพูดอะไร ท่านหมายถึงอะไร ?! ”
จวินโม่เซี่ยจำอะไรไม่ได้เลย
เขาไม่ได้เสแสร้ง เขาพูดคำเหล่านั้นออกมา ก่อนที่เขาจะหมดสติไป และจำมันไม่ได้เลย !
“ เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้าหรือ ?! ”
จวินวูอี้เริ่มโมโหขึ้นมาอีกครั้ง
“ คฤหัสน์ฉีฮั่น พวกเขาจะยังไม่เป็นปัญหาของเราตอนนี้ เจ้าพูดออกมา ตอนนี้เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?! ”
“ เอ๋อ อย่างนั้นหรือ … ”
จวินโม่เซี่ยกรอกตาไปมา
หากข้าบอกท่านน้าว่าข้าไปต่อสู้กับ แปดยอดปรมาจารย์สองคน และเทพเชวียนสี่คน รวมกับสวรรค์เชวียนราวยี่สิบคน และปฐพีเชวียนเป็นร้อย และจากนั้นก็ไปสร้างความประทับใจแก่สัตว์เชวียนเถียนฟาสองตัว … ท่านน้าจะไม่เป็นลมไปเพราะความตกใจอย่างนั้นหรือ ?
ข้าคิดว่า หากท่านน้าสามารถทนตกความตกใจนั้นได้ ขาของเขาก็คงจะสั่นเพราะความกลัวไปสักพัก … และเขาก็คิดเอาเองว่าเขาพิการเพราะของเขาไม่รู้สึกอะไร … ! อย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่สามารถเก็บมันเป็นความลับกับเขาได้ !
ดูเหมือนว่าข้าจะมีวิธีที่จะบอกเรื่องนี้แก่เขาในทางอ้อม !
“ ข้าประเมิณมัน เอาละ ข้าเดา ”
จวินโม่เซี่ยค้ำตัวเองขึ้นมา ขณะที่เขาพูดออกมาอย่างสงบพร้อมยิ้ม
“ เจ้าประเมินมัน ? เดี๋ยวก่อน เจ้าเดา ? มีอะไรบางอย่างที่จะเดา ? ”
สีหน้าของจวินวูอี้เปลี่ยนไปเป็นเย้ยหยันขณะที่เขาได้รับรู้เรื่องราวของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“ เมื่อคืน มียอดฝีมือทรงพลังจำนวนมาก มารวมตัวกันในเมืองเทียนเชียง และจากนั้นพวกเขาต่อสู้กัน จากรายงานในนั้นมี แปดยอดปรมาจารย์สองคนคือเหยี่ยวผู้โดดเดี่ยวและฉีฉางเซี่ยวรวมอยู่ด้วย นอกจากนั้นยังมี ที่ปรึกษาราชสำนักแห่งอาณาจักรยูถัง เฟ้ยเมิงเฉิน รวมถึง ผู้อาวุโสสาม หก และเก้าแห่งเมืองพายุหิมะ และมียอดฝีมือทรงพลังอีกจำนวนหนึ่ง และยังมี คนในสกุลลี่โย่วหลาน ศิษย์ทั้งสิบของลีวูเบ้ยเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย และมีสัตว์ในตำนานแห่งป่าเถียนฟาสองตัว ที่แสดงตัวออกมาด้วย เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายนี้คือ ชายใส่หน้ากากที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ผู้ที่ออกมาปรากฏตัวพร้อมกับแกนเชวียนขั้นเก้าสูงสุด ซึ่งเป็นอันที่โดนขโมยไปก่อนหน้านี้ และสุดท้ายก็เกิดการแย่งชิงกันเกิดขึ้น ในตอนนี้ แกนเชวียนได้รับการยืนยันว่าอยู่ในมืองของ สัตว์เชวียนทั้งสองแห่งป่าเถียนฟา ”
ดุเหมือนว่าจวินวูอี้จะคุ้นเคยกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนดี เกือบทุกอย่าง
Translate by iHaveNoName