Otherworldly evil monarch จอมโฉดแห่งโลกหน้า มือสังหารมือพระกาฬ - ตอนที่ 243
ราชรถสัมฤทธิ์ควบมาเต็มกำลัง ม้าศึกสี่คู่ซึ่งลากมันอยู่นั้น คือสัตว์เชวียนขั้นสี่ เกี้ยวประดับไปด้วยดอกเบญจมาศสีทองอร่าม และแปล่งประกาย ทหารม้าสี่คน ควบม้าเคียงข้างราชรสนั้นด้วยม้าตัวใหญ่อย่างห้าวหาญ
สกุลมูล่งมาถึงในสุดท้าย
เพียงผิวเผิน ปรากฏได้ว่าสกุลมูล่งมิอาจเทียบสกุลลี่ได้ แต่ในเรื่องของ อำนาจและอิทธิพล ไม่อาจะเทียบได้เลยกับสกุลจวินและตู่กู้ ในความเป็นจริง สกุลมูล่ง เป็นหนึ่งในสกุลที่ทรงอิทธิพลที่สุดภายใน นครเทียนเชียง ที่กล่าวเช่นนั้น เพราะพวกเขาคือสกุลเก่าแก่และแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์
อิทธิพลของสกุลมูล่งจึงมิอาจะละเลย
นอกเหนือจากนั้น สกุลมูล่ง เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ด้วยการสมรส
ไม่มีสกุลชั้นสูง สกุลใดมีความสุขกับเกียรตินี้
อาจจะบอกได้ว่า สกุลลี่ ทรงพลังมากพอจะทำลายสังคมในทุกระดับชั้น ยิ่งไปกว่านั้น ลี่โย่วหลานถือได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มผู้โดดเด่น พร้อมกับฝีมืออันน่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม แม้นว่าเขาตั้งมั่งจะเอาชนะใจองค์หญิงหลิงเมิงตั้งแต่สามปีก่อน องค์จักรพรรดิก็มิได้ถือเรื่องนี้หรือมีความคิดเห็นใดๆ สกุลจวินเป็นสกุลที่เสียสละ ซึ่งเสียสละเหล่าชายชาตรีไปมากมายเพื่อรับใช้ประเทศชาติ
ดังนั้น ปู่จวินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ปล่อยวางความยึดมั่นต่อหน้าองค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเทียนเชียง เพื่อมองหาความสัมพันธ์โดยการแต่งงาน ข้อเสนอนี้ได้รับการปฏิเสธอย่างแนบเนียน ไม่มีผู้ใดเชื่อใจเจ้า ชั่วนั้น แม้ว่าผู้อื่นจะเชื่อถือ ดังนั้น ข้อเสนอการแต่งงานของสกุลจวินจึงได้รับการปฎิเสธ … จึงสามารถจินตนาการได้ว่ามันยากสักเพียงใด
ความสำคัญของสกุลมูล่งในสายตาราชวงศ์นั้นยากยิ่งจะแปรเปลี่ยน
เนิ่นนานมาแล้ว มูล่งเจียนจวิน ได้ถ่ายทอดข้อมูลไม่ถูกต้อง ซึ่งสร้างความปั่นป่วนมากมาย และเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ขึ้นจนจวินจ้านเทียนออกมาชำระล้างนครหลวง ในที่สุด เขาได้สังหารเหล่าคณะเสนาบดีหนึ่งในสามจากการกวาดล้างนั้น จึงไม่ต้องบอกเลยว่า หากเป็นผู้อื่น พวกเขาคงจะถูกประหารไปแล้วนับหมื่นครั้งเนื่องด้วยเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม มูล่งเจียนจวิน จึงได้รับการถอดจากตำแหน่ง และมิอาจเข้ามาได้อีก
เพียงเท่านี้
นี่แสดงให้เห็นชัดเจนถึงความใกล้ชิดของสกุล มูล่งและ ราชวงศ์ และเห็นถึงอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา ดังนั้น ผู้อื่นจักดูหมิ่นอิทธิพลและอำนาจของพวกเขาได้อย่างไรกัน ?
เกี้ยวนี้หยุดลงอย่างรวดเร็ว ทหารม้าแปดคนกระโดลงจากอานด้วยเสียง ฉึบ ลั่น ในหมู่พวกเขา องครักษ์ แยกเกี้ยวและม้าให้เป็นอิสระจากกัน จากนั้น เขาจึงมุ่งไปยังประตูทรงด้วยเครื่องประดับ และเปิดมันออก จากนั้น ยืนตัวตรงดั่งไม้กระทุ้ง ประคองประตูให้เปิดไว้ด้วยหนึ่งมือ
ไม่นานหลังจากนั้น ชายหนุ่มหล่อเหล่าเดินตัวตรงออกมาจากภายใน เขามิใช่ใครอื่นนอกจาก มูล่งเจียนจวิน จากนั้น มีเท้าอันอ่อนนุ่มยืดเหยียอดออกมาจากประตู เผยถึงการมาของหญิงสาว ที่สวมชุดเกราะสี่เหลืองอร่าม ใบหน้าของนางสะท้อนความภาคภูมิ ขณะนางลงจากเกี้ยวด้วยสง่างาม ไม่นาน ชายแก่ปรากฏตัวขึ้น เขากระแอมและตัวสั่นขณะลงจากเกี้ยว โดยมีสองคนช่วยพยุงร่างจากด้านล่าง
ผู้ที่ยืนดูสูดอากาศอันเยือกเย็น
สกุลมูล่ง เหมาะสมกับ หอชนชั้นสูง ในทุกเงื่อนไขในโลกนี้
สกุลมูล่งที่ยิ่งใหญ่ได้ส่งผู้บัญชากรลำดับสองมา ผู้นั้นคือน้องของนายท่านอาวุโส มูล่งเฟิงจุ้น มูล่งเฟิงยู่
บางที ชื่อเสียงของพวกเขาอาจจะเทียบเท่ากับ สกุลจวิน สกุลถัง หรือแม้แต่ องค์รัชทายาท
มูล่งเจียนจวินและหญิงสาวในชุดสีเหลือง พยุง มูล่งเฟิงยู่ขณะพวกเขาเริ่มเดินเข้าด้านใน
” สกุลมูล่ง ? ไม่ธรรมดาเลย ? แต่พวกเขา ยโสยิ่งนัก ! “
ทันใดนนั้นเสียงสบประหม่าเยือกเย็นดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงคำรามทางจมูกแปลกประหลาด ทุกผู้ในสกุลมูล่งตัวแข็งทื่อ และคนจำนวนมากวางมือบนกระบี่ของพวกเขา ทุกผู้คนคล้ายมีโทสะ ผู้ใดในเทียนเชียงกล้าเยาะเย้ยสกุลมูล่ง ? โดยเฉพาะช่วงเวลาที่สมาชิกผู้นำของเขาปรากฏตัวอยู่ด้วย ? พวกเขามิเกรงกลัวจะสูญสิ้นหรือ ?
สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ขณะกำลังหันไปเพื่อดูว่าคือผู้ใด สายตาของพวกเขาตกลงไปยังสองชายวัยกลางคนในชุดสีขาว และมีสีหน้าเยือกเย็น หนึ่งในพวกเขามีสีหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ เสื้อคลุมสีขาวอาบได้ด้วยโคลนและสิ่งสกปรก หญิงสาวยืนอยู่ข้างเขา
เขาคือ เพื่อนสามของเซี่ยวฮั่น !
ผู้ไร้อำนาจก็มิอาจะทำในสิ่งใดได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้ก่อกวนนั้นเกินกว่ามนุษย์ ?
นครพายุหิมะสีเงินนั้นสูงส่งเกินกว่าสายตาของโลกมนุษย์
เซี่ยวฮั่นรู้สึกว่าทุกสิ่งอย่างต่อต้านเข้าเมื่อเร็ววันนี้ ซึ่งทำให้เขาหดหู่อย่างมาก
เขาเริ่มบูดบึ่งเมื่อมาถึง นครเทียนเชียง ก่อนหน้านี้เขามายังสกุลจวินเพื่อดูหมิ่นคู่แข่งเนื่องด้วยความพอการ แต่คาดไม่ถึงว่า เหล่าเด็กสาวในสกุลจะทำให้เขาดูโง่เง่าและเจ็บปวด ยิ่งไปกว่านั้น มูซื้อทงซ้ำเติมความเจ็บปวดของเขา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เขาโมโหอย่างแท้จริงนั้น คือในเวลาที่ ฮั่นหยานโย่ว แอบส่งของขวัญให้แก่จวินวูอี้ เขามิอาจทนต่อเปลวแห่งความริษยานี้ได้
หลังจากนั้น หลานชายของเขาได้รับการโจมตีจากปรมาจารย์ลึกลับ หลังจากมายัง นครเทียนเชียงได้ไม่นาน เคราะห์ดี ที่การฟื้นตัวของเด็กผู้นั้นไม่เกิดปัญหาหลังจากได้รับการวินิจฉัย และฟื้นฟูด้วยตัวยาที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้หมายถึงความล้มเหลวของเขาในการปกป้องหลานชาย
จากนั้น เขาก็ได้ยินข่าวว่าความพิการของสกุลจวินได้รับการฟื้นฟูอย่างกระทันหัน
สิ่งนี้ทำให้ เซี่ยวฮั่น มิอาจทนไหว
เวลานี้ สกุลทั้งสามร่วมมือกันเปิด หอชนชั้นสูง ตรงข้ามกับ หอมณีวิจิตร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามแข่งขันกับ หอมณีวิจิตร แต่กระนั้น สิ่งที่เขามิอาจทนไหวนั้นคือ …. หนึ่งในสามสกุลพันธมิตรนี้คือ สกุลจวิน
เขาไม่สามารถอดกลั้นต่อสิ่งนี้ได้
จากนั้น เขาจึงพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตัวเขามายังสถานที่นี้ในฐานะตัวแทนแห่ง หอมณีวิจิตร จิตใจของเขาดีขึ้นหลังจากได้ไล่ คู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่างมูซื่อทงได้ อย่างไรก็ตาม เหล่ารถม้าได้สาดดินโคลนใส่ร่างของเขาในขณะที่เขากำลังเดินมายังประตูของ หอชนชั้นสูง
ชีวิตของเขามิได้หยุดพักเลยหรือ ? เขาเกือบจะอกแตกตายด้วยโทสะ
เขาสถบดั่งสายฝนพร้อมกระแทกส้นเท้าลงพื้น การปะทะนั้นทำให้ส้นเท้าของเขาปวดเคล็ด ความปวดร้าวในหัวใจของเซี่ยวฮั่นเเกิดขึ้นอีกครั้ง
โทสะในหัวใจของเซี่ยวฮั่นเพิ่มขึ้น และในไม่ช้ามันแพร่ไปยังความกล้าขณะเขามองเห็นสมาชิกสกุลมูล่งลงมาจากรถม้านั้น สามารถบอกได้จากสายตาว่าเขาจงใจจะก่อกวน เนื่องจากหาได้มีแววแห่งเมตตาเลยไม่
ฝ่ายหนึ่งคือ เซี่ยวฮั่น ผู้ที่มิได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีนัก ในขณะอีกหนึ่งคือ มูล่งเจียนจวิน ผู้ที่เป็นดั่งโทสะในอตีด เนื่องจาก มีใครบางคนดูหมิ่นพวกเขาต่อหน้าคนทั้ง นครเทียนเชียง เขายกข้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
” เจ้า เช้านี้เจ้าประสงค์จะตายอย่างรวดเร็วสินะ ! “
ชายหนุ่มผู้นี้ได้ประสบเคราะห์ร้ายมามากมาย การติดตามองค์หญิงหลิงเมิงของเขาส่วนใหญ่ไม่สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น เขาโดนปลดจากตำแหน่งในราชสำนักหลังเผยแพร่ขาวเท็จ ด้วยเหตุนี้ จึงชัดว่าเขาผิดหวังในชีวิตเช่นเดียวกัน และมองหาใครบางคนเพื่อผ่อนปรนมันออกมา
ผู้อาวุโส มูล่งเฟิงยู่ ใช้มือข้างหนึ่งปิดปากที่กำลังไอขณะดึงเดกหนุ่มถอยหลังด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
การเคลื่อนไหวของ มูล่งเฟิงยู่ นั้นไม่เร็วนัก และดูค่อนข้างเชื่อช้า แต่กระนั้น เขายื่นมือออกไปเพื่อขัดขวางเส้นทางของ มูล่งเจียนจวิน ผู้ห้าวหาญได้ทันเวลา
มูล่งเฟิงยู่นั้นมากประสบการณ์ และดวงตาของเขาแสดงให้เห็นว่า เซี่ยวฮั่น และคนในกลุ่มของเขามีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา ซึ่งเขาสามารถรู้ได้ว่าคำสาปแช่งทั้งหมดที่ชายผู้นี้โยนใส่สกุลของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่เห็นพวกเขาทั้งสามในชุดสีขาวบริสุทธิ์ และเดินออกมาจาก หอมณีวิจิตร เขาจึงคาดการถึง ที่มาของฝ่ายตรงข้าม
” เจ้าว่าอย่างไร เจ้าเด็กชั่ว ? “
ความอาฆาตรของ เซี่ยวฮั่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เซี่ยวฮั่นมาจากเมืองสีเงิน และสวมชุดในวัยหนุ่มสาว ในขณะที่การแต่งกายด้วยสีอื่นนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามใน นครพายุหิมะสีเงิน เด็กผู้นี้ทำให้มีสีอื่นๆเปราะเปื้อนชุดของพวกเขา ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาไว้ทุกข์ ไม่เพียงแค่เซี่ยวฮั่น แต่ทุกคนจาก นครพายุหิมะสีเงิน จะมีโทสะเมื่อเกิดสิ่งนี้ขึ้น
” เด็กหนุ่มผู้นี้หยาบคายเสียจริง เขาควรจักขออภัยนายท่าน “
สายตาของ มูล่งเฟิงยู่ ไม่ชัดเจนขณะมองไปยังเซี่ยวฮั่น ชายผิวขาวแสดงความจริงใจขณะที่เขายิ้มงดงามดั่งดอกเบญจมาศที่กลีบปลิดปลิวไปตามสายลมและฝน
” เพียงแค่มองดูการแต่ตัวของนายท่าน ก็สามารถเห็นได้ถึงความโดดเด่นของวีรบุรุษในสกุลทรงพลังอันดับหนึ่งของโลกนี้ นครพายุหิมะสีเงิน ผู้นี้มิรู้จักนายท่านได้อย่างไรกัน ? และ เซี่ยวปู้หยู แห่งสกุลเซี่ยวเป็นเช่นไรบ้าง ? “
ร่างของเซี่ยวฮั่นกระตุกเล็กน้อยขณะเขาเริ่มหม่นหมองยิ่งขึ้น
อาวุโสผู้นี้เจ้าเลห์ยิ่งนัก เขาได้ชดเชยการสูญเสียด้วยการขออภัย และจากนั้นจึงชักชวน เซี่ยวปู้หยู สนทนา ด้วยวิธีนี้ เขาแสดงให้เห็นว่าเขารู้จักชายผู้นั้นพร้อมยืนยันถึงอายุขัยพร้อมกัน การปฏิบัติของชายผู้นี้ต่อ เด็กหนุ่มสกุลเซี่ยวเป็นสกุลเซี่ยวนั้นสามารถลดโทสะของเขาลงได้
เซี่ยวปู้หยูมีชื่อเสียงโด่งดัง ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าชายผู้นั้นจักโกหก แต่กระนั้น คนผู้นี้คือผู้บัญชาการอันดับสองแห่งสกุลมูล่ง ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็กำลังยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจักอ้างถึงความสัมพันธ์ที่ไม่จริง
เซี่ยวฮั่นมองตรงไปยังอาวุโสและพยายามควบคุมโทสะ
” ผู้อาวุโสเซี่ยว เป็นบุญคุณในความเป็นห่วงของเจ้า “
” ฮี่ ฮี่ พวกเรามิใช่คนอื่นไกล ไม่จำเป็นจักต้องพิธีการเช่นนั้น “
มูล่งเฟิงยู่หรี่ตาลง และค้อมต่ำ
” พวกเราผิดในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น และสกุลมูล่งของข้ายอมรับในความผิดนั้น ในทางกลับกัน พวกเราหวังซึ่งความเมตตาจากท่าน “
เซี่ยวฮั่น ครวญรุนแรง
” ไม่จำเป็น ! “
มูล่งเฟิงยู่ ผ่อนคลายเล็กน้อยหลังจากตระหนักได้ว่าปัญหานั้นแก้ไขแล้ว เขาลืมตาขึ้นและเหลือบมองดุร้ายไปยัง มูล่งเจียนจวิน จากนั้นเขาเพ่งมองไปยัง มูล่งเจียนจวิน ผู้ที่กำลังเพ่งมองอย่างเฉยชามายังเขา จากนั้น สายตาไปตกลงที่หญิงสาวผู้ที่ยืนอยู่ข้าง เซี่ยวฮั่น หน้าตาของนางงดงามดั่งบุปผาซึ่งเบ่งบานท่ามกลางหุบผาน้ำแข็ง
เขาใคร่ครวญในใจ
หากข้าได้เกี้ยวพาหญิงผู้นี้ … ข้าจะไม่ทำให้สกุลของข้ามีความสัมพันธ์กับ นครพายุหิมะสีเงินหรือ ? กระนั้น เรื่องนี้ … ข้าจักต้องใช้เวลาที่เหมาะสมเพื่อตัดสินใจ หญิงสาวผู้นี้ เป็นดั่งเนื้อหงส์ในสกุลของข้า ไม่ว่านางจะอยู่ในตำแหน่งใดใน นครพายุหิมะสีเงิน
ในเวลานั้น เสียงกีบเท้าม้ามากมายดังขึ้นในทิศห่างไกล ไม่นานก็มีกองกำลังจำนวนมากตามมา แท้จริงแล้วนี่คือ องค์ชายทั้งสาม แต่กระนั้น ที่อยู่ด้านหน้าพวกเขาคือเกี๊ยวของ องค์หญิงหลิงเมิง
มูล่งเฟิงยู่ จึงมีเวลาไม่มากนักให้สนทนา จากนั้น เขาจึงทักทายเซี่ยวฮั่นและเดินเข้าด้านใน พร้อมกับผู้ที่ประคองเขาอยู่
ในช่วงเวลานี้ อีกเสียงราชรถดังขึ้นจากทิศทางอื่น ราชรถนี้เป็นของ องค์รัชทายาท และมาถึงเวลาเดียวกันกับพวกเขา บุคคลสูงศักดิ์เหล่านี้มาถึงในวินาทีสุดท้ายในเวลาเดียวกัน พวกเขามาถึงในช่วงหมดเวลาพอดี
องค์หญิงหลิงเมิงนั่งอยู่ภายในรถม้า พร้อมความคิดที่รบกวนนาง
นางไม่ต้องการจะมาที่นี่ในวันนี้ มันมิใช่งานอดิเรกของนาง และนางไม่ต้องการจะทำในสิ่งที่ผิดพลาด อย่างไรก็ตาม พ่อของนาง องค์จักรพรรดิ ตัดสินใจว่าเขาต้องการมาสอดส่อง และขอให้นางมาด้วยในทันที จากนั้น พระองค์ และ นายท่านเหวินจึงปลอมตัว และตามนางมาด้วย
ด้วยไม่มีทางเลือก องค์หญิงหลิงเมิงจึงต้องทำตาม เวลานี้ นางไม่รู้ว่าบิดาของนางมีแผนการใด พรองค์ทรงสั่งให้เกี้ยวของนางหยุด และให้เกี๋ยวของพี่ชายทั้งสามของนาง ไปอยู่ด้านหลังตลอดการเดินทาง ดูราวกับพระองค์ประสงค์จะก่อปัยหาให้ลูกชายทั้งสาม โดยการบังคับให้ราชรถของพวกเขาชนกันบนถนน
จึงทำให้องค์หญิงไม่รู้สึกสงบสนตลอดการเดินทางนี้