Otherworldly evil monarch จอมโฉดแห่งโลกหน้า มือสังหารมือพระกาฬ - ตอนที่ 288
เสียงไอสองหนดังขึ้น จากนั้นผู้อาวุโส และอาจารย์ผู้อ่อนแรง แห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง เหม๋ยเกาเจี้ย ยืนขึ้น ดูคล้ายร่างของเขาสั่นเทาเนื่องจากการไอนั้น เขาเผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิ จากนั้นจึงคาราวะ แล้ว เขาหันหลังและคำนับทักทายผู้คนเช่นเดียวกัน
” คาราวะ ฝ่าบาท … พิธีฉลองนักปราชญ์ทองคำเป็นงานอันยอดเยี่ยมที่ ผู้ต้อยต่ำผู้นี้เคยประสบพบเจอมา อาวุโสผู้นี้ ขอคาราวะต่อพระองค์และสมาชิกราชวงศ์ในนามของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง ขอให้สวรรค์ปกปักษ์คุ้มครองพระองค์และเทียนเชียงของข้า ขอให้ประชาชนของเราจงเจริญ ! ของให้เหล่ากองทัพเคลื่อนกำลังไปทั่วดินแดนและรวบรวมทุกแผ่นดินเป็นส่วนหนึ่งของเทียนเชียง ขอให้ทั่วทุกแผ่นเจริญรุ่งเรื่องภายใต้พระคุณของพระองค์ ! พวกเราปราบปลื้มต่อความกรุณา และเมตตาของพระองค์ใน การสอบเคอจวี่ และให้เหล่าบัณฑิตอย่างข้าได้รับความรุ่งเรื่อง … “
เขาสูดหายใจลึกเพื่อเอ่ยวาจาทั้งหมดนี้ภายในคราเดียว แต่ ฟังดูราวกับเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น เขากำลังจะเอ่ยถึงหัวข้อหลัก … เมื่อเสียงบ่นดังขึ้น
” เจ้ากินมากมายเช่นนี้ ในงานฉลองอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้เช่นไร … เจ้าอ้วน ! ข้าเข้าใจว่าท้องของเจ้าใหญ่ แต่เจ้าจำต้องรู้ว่าแถวนี้มีผู้คนอีกมากมาย เจ้าคนเดียวกินอาหารทั้งโต๊ะหมดถายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ …. “
เสียงนี้ต่ำมาก ความจริงแล้ว ฟังราวกับผู้พูดจงใจเบาเสียงตัวเองลง แต่ ทั่วทั้งท้องพระโรงกำลังเงียบเพื่อฟังวาจาของ เหม๋ยเกาเจี้ย ซึ่งมันเงียบจนได้ยินเสียงเข็มหล่น ดังนั้น ทุกคนจึงได้ยินวาจานี้อย่างชัดเจน และใบหน้าพวกเขาเริ่มแสดงสีหน้าอันแปลกประหลาดออกมา
ผู้พูดนั้นมิใช่ใครอื่นนอกเสียจากจวินโม่เซี่ย คุณชายน้อยจวิน ต้องการที่จะก่อกวน ชัดเจนว่าเขาไม่ประสงค์จะให้โอกาสนี้ผ่านไป เท่าที่ผู้ถูกกล่าวหาคิด ถังหยวนเพียงแต่มองกลับมาที่เขาด้วยสีหน้าตะลึงงันไร้เดียงสา เขาถือปูครึ่งตัวไว้ในมือ
เราทั้งสองผู้ใดกันที่กินมากกว่า ท่านพี่ ? ชัดเจนว่าข้า ข้ามิได้กินมากมาย แต่ข้ากินไปถึงครึ่งหนึ่งของเจ้าหรือไม่ ? แล้ว … เหตุใดเจ้าจึงกล่าวหาข้า ?
เหม๋ยเกาเจี้ย กำลังเอ่ยวาจามาเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ เขากลับถูกรบกวน ชัดเจนว่าเขาจำต้องมีโทสะ ยิ่งไปกว่านั้น การรบกวนนี้เกิดจากผู้ที่ไร้ยางอาย และเหตุผลที่ไร้ยางอายเป็นที่สุด ริมฝีปากเขาเริ่มสั่นด้วยโทสะขณะหันไป แต่ เสียงที่ดังเหมือนฆ้องเสียงหนึ่งดังขึ้น ด้วยน้ำเสียงหยิ่งยะโส
” ข้าเคยประสบกับคนไร้ยางอาย แต่มิเคยประสบกับผู้ที่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน ผู้ที่พยายามจะผลาญอาหารจานที่ดีที่สุด แต่ตัวเองก็กล่าวโทษผู้อื่น … คนเหล่านี้เป็นอันใดกัน … “
เสียงนี้เป็นของ ตู่กู้อญิ่ง ต่อสู้เพื่อแย่งชิงอุ้งตีนหมีตั้งแต่ต้น ดังนั้น เขาจึงมีโทสะอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเพิ่มเสียงขึ้นเพื่อแสดงความไม่พอใจ แต่ ความแข็งแกร่งของเขานั้นห่างไกลจาก คุณชายน้อยจวิน นัก นี่อาจเป็นเพียงแค่การพูดปกติของเขา แต่เทียบได้กับเสียงที่ผู้อื่นตะโกน คุณชายน้อยจวินประสบความสำเร็จในการก่อกวนผู้อื่น เนื่องจากกลุ่มคนทั้งหมดได้ยินเสียงแห่งความวุ่นวายนี้ การดำเนินงานได้รับการรบกวน แต่ แผนการของ จวินโม่เซี่ยนั้นก็ประสบความสำเร็จ
กำลังใจของจวินโม่เซี่ยเพิ่มขึ้นเมื่อเห็นว่าบางคนไม่รู้ว่าเขาได้ยืมมือมาใช้ เขากะตุกจมูก
” และตอนนี้ข้ากินไม่ทันหรือ ? ไร้สาระ ! คนของสกุลเจ้ามาร่วมงานมากว่าสกุลอื่น สกุลของเจ้า จักต้องทุกทรมาณในการหาเลี้ยงปากอันหิวโหยของเจ้า พวกเขาจักต้องล่มจม และตอนนี้เจ้าวางก้นอันอวบอ้วนของเจ้าไว้ที่โต๊ะนี้ ข้าคาดว่าข้า ข้าคงจะมิได้ลิ้มรสชาติแกงหากข้ามิสามารถกินได้เร็วพอ …. “
ถังหยวนยืนขึ้นเพื่อโต้แย้ง
” คุณชายน้อยสาม … การตอบโต้ของเขานั้นเข้าใจได้ เจ้าดูสิ … เขารู้ว่าเขามิสามารถซื้อหาอาหารเช่นนี้ได้ “
แม้แต่องค์จักรพรรดิก็มิอาจยับยั้งเสียงหัวเราะได้เมื่อได้ยินวาจาเหล่านี้ พระองค์ปลดปล่อยเสียง “หึหึ” ที่แปลกประหลาด ขณะที่พระองค์กำลังหัวเราะอยู่ในลำคอ ใบหน้าของเหล่าผู้อาวุโสอื่นๆในท้องพระโรงเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดขณะพยายามยับยั้งการหัวเราะ แต่ ตู่กู้อญิ่งเพ่งมองไปที่เจ้าอ้วน ราวกับต้องการจะกินเจ้าอ้วนเข้าไปทั้งตัว
โถงที่เคยเงียบงัน กลับดังก้องไปด้วยเสียง “หึหึหึ” ทันใด ขณะที่ทุกคนพยายามปิดปากตัวเองเพื่อยับยั้งเสียงหัวเราะ
อาวุโส เหม๋ยเกาเจี้ยเริ่มสั่นเทาด้วยโทสะ เขากำลังจะพูดขึ้นเมื่อเสียงอันแปลกประหลาดดังขึ้น
” สกุลจวินจองหองยิ่งนัก เอ ชื่อเสียงของพวกเขาถูกต้องยิ่งนัก ! “
ทุกผู้หันมองตามไปยังต้นเสียง ผู้เอ่ยวาจานั้นคือ ชายหนุ่มในชุดสีขาวผู้นั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งสงวนไว้สำหรับ แขกผู้มีเกียรติ เซี่ยวเฟิงวูแห่ง นครพายุหิมะสีเงิน
เซี่ยวเฟิงวูรู้เรื่องระหว่างน้า เซี่ยวฮั่นของเขาและจวินวูอี้แห่งสกุลจวิน ยิ่งไปกว่านั้น องค์หญิงฮั่นหยานเมิงก็ยังมิได้หยุดยั้งความต้องการมีหลานชายตั้งแต่นางกลับจากจวนสกุลจวิน ชัดเจนว่าสิ่งนี้ทำให้ นายท่านเซี่ยวไม่สบายใจ ดังนั้นเขาจึงเริ่มรุกรานและเอ่ยวาจาเยาะเย้ยเช่นนี้
” และเจ้าคือผู้ใด ? “
จวินโม่เซี่ยเสแสร้งราวกับจำคนที่เขากระทำทารุณไม่ได้
” ข้าสกุลเซี่ยว ข้า เซี่ยวเฟิงวูจากสกุลเซี่ยวแห่งนครพายุหิมะสีเงิน ! “
คิ้วของ เซี่ยวเฟิงวูชี้ขึ้น เขาดึงพัดมืออกมาจากหน้าอก และเริ่มพัดวีด้วยทีท่ามั่นใจและเรียบง่าย
” เป็นชื่อที่ดี ! “
ลี่โย่วหลานเอ่ยขึ้นรวดเร็ว
” ท่านพี่เซี่ยวมีชื่อที่งดงามยิ่งนัก ! ทำให้รู้สึกราวกับอากาศที่บริสุทธิ์ ! “
ศัตรูของศัตรูคือเพื่อน สกุลจวินและสกุลเซี่ยวนั้นบาดหมางกัน ลี่โย่วหลานจักไม่หาประโยชน์จากสิ่งนี้ได้อย่างไร ?
” ฮี่ฮี่ … ในเมื่อเจ้าเอ่ยถึงมัน … มีเรื่องสั้นๆที่อยู่เบื้องหลังจุดกำเนิดของชื่อข้า “
เซี่ยวเฟิงวู รู้สึกพึงพอใจกับตัวเองยิ่ง ลี่โย่วหลานได้เกาไปโดนจุดคันของเขา ดังนั้น เขาจึงเริ่มอธิบาย
” คืนหนึ่งก่อนข้าเกิดแม่ข้าได้ฝัน … ในความฝันนั้นนางได้พบเห็น ปักษาสวรรค์อันงดงามในนภา ปักษาสวรรค์ตัวนั้นบินลงมาเกาะที่ต้นหูกวาง ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อข้าว่า เฟิงวู
” ชื่อของเจ้าได้รับการประทานจากสวรรค์อย่างแท้จริง “
ลี่โย่วหลานปรบมือ ใบหน้าของเขาแสดงความชมเชย
” ฮ่าฮ่า …”
จวินโม่เซี่ยหัวเราะลั่น
” เหตุใดเจ้าจึงหัวเราะ ? “
เซี่ยวเฟิงวูดูราวมีโทสะ เขากำลังมีความสุขกับความภาคภูมิใจ เขาจะยอมถูกรบกวนได้เช่นไร ?
” ไม่มีอันใด ข้าเพียงแค่ประหลาดใจ … แม่ของเจ้าจักต้องมากความสามารถ นางฝันว่า ปักษาสวรรค์ร่อนลงมาที่ต้นหูกวาง และตั้งชื่ออันงดงามให้เจ้า … เฟิงวู … “
ราวกับ คุณชายน้อยจวิน ไม่สามารถยับยั้งเสียงหัวเราะได้ เขาโยกไปมาชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยต่อ
” แม่ของเจ้าฝันว่า ปักษาสวรรค์ร่อนลงมาที่ต้นหูกวาง … แต่เจ้าจักมีชื่อเช่นไร หากนางฝันว่า ไก่บินลงมาที่ต้นกล้วย ? ลองคิดดูสิ ! นางฝันดีในเวลาที่เหมาะสม เจ้าจึงโชคดียิ่งนัก ! “
องค์จักรพรรดิ สำลักสุรา ใบหน้าพระองค์แดงก่ำ ขณะที่ไอสองสามหน หัวเราะทั้งน้ำตา
. ฝันว่าไก่บินลงไปที่ต้นกล้วย ….?
จากนั้น ทุกผู้คิดถึงชื่อของ เซี่ยวเฟิงวู จากคำนี้ และได้พบความจริงทันใด …
พวกเขาประสงค์จะหัวเราะ แต่ เกรงกลัวถึงความแข็งแกร่งของ นครพายุหิมะสีเงิน ดังนั้น ทุกผู้จึงพยายามยับยั้งเสียงหัวเราะไว้ บางคนเกือบสำลัก
” เจ้ากำลังจะเอ่ยถึงสิ่งใด ? “
แรกเริ่มเซี่ยวเฟิงวูยังมิอาจเข้าใจ จากนั้นเขาจึงครุ่นคิดถึงประโยคเหล่านั้น ใบหน้าของเขาแข็งขึ้นทันใด
” จวินโม่เซี่ย ! เจ้ากล้าดูหมิ่นข้าได้เช่นไร ? “
” ดูหมิ่นเจ้า ? ข้าดูหมิ่นเจ้าเมื่อใดกัน ? “
จวินโม่เซี่ยเผยสีหน้าไร้เดียงสา
” เจ้าคิดว่าเจ้าจักเอ่ยทุกสิ่งที่เจ้าประสงค์ได้เพราะเจ้ามาจากนครพายุหิมะสีเงินหรือ ? เจ้าจำต้องจับคู่การกระทำหากเจ้าประสงค์จักกล่าวหาว่าพวกเขาล่วงประเวณีกัน เจ้าต้องหาของที่ถูกขโมยไปเสียก่อนที่เจ้าจักกล่าวหาหัวขโมย มันคือหลักการพื้นฐาน ! “
” เจ้าดูหมิ่นชื่อข้า ! “
เซี่ยวเฟิงวูมิอาจควบคุมโทสะ เขาตะโกนออกมาอย่างอดสู
” จวินโม่เซี่ย ข้าจักสังหารเจ้า ! “
” นครพายุหิมะสีเงินทรงอำนาจยิ่ง ควรค่าแก่การได้ขนานนามว่าเป็นกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในโลก “
จวินโม่เซี่ยพยักหน้ายอมรับ
” แต่ตอนนี้เจ้าอยู่ในนครของข้า … ในฐานะแขกขององค์จักรพรรดิ เจ้าได้รับเชิญมายังงานฉลอง ในราชวังนี้ในฐานะแขกผู้มีเกียรติ แต่ เจ้ากลับขู่จักสังหารทายาทเพียงคนเดียวของสกุลที่ทรงอำนาจ … และเช่นเดียวกันนั้น ต่อหน้าของเหล่าข้าราชบริพารแห่งอาณาจักร .. และองค์จักรพรรดิ ? ข้าต้องยอมรับในความกล้าหาญของเจ้า ! “
สีหน้ของ เหล่า เสนาบดี และ ขุนนางต่างดูแปลกประหลาด
อ่าห์ ! เขาขู่สังหารทายาทเพียงคนเดียวของสกุลจวินต่อหน้าองค์จักรพรรดิ์ ! พระองค์จักหยิ่งยะโสเพียงใดหากปล่อยให้เขาออกไปจากท้องพระโรงนี้ ?
เซี่ยวฮั่นยืนขึ้นรวดเร็ว และบังคับให้หลานของเขานั่งลง จากนั้นเขาประมือและขออภัย
” น้องเฟิงวูนั้นด้อยประสบการณ์ เขากระทำไปเพียงแค่อารมณ์ อภัยให้เขาด้วย “
เซี่ยวฮั่นมิได้สนใจในราชวงศ์มากนัก แต่ เขาไม่ประสงค์จักก่อปัญหากับราชวงศ์ของอาณาจักรนี้โดยไร้ซึ่งเหตุผล สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็มีสนธิสัญญาพันธมิติแก่กันนับแต่โบราณ ยิ่งไปกว่านั้น องค์จักรพรรดิก็เรียกพวกเขามาด้วยความจริงใจ ดังนั้น แม้แต่ เจ้าเหนือหัวแห่ง นครพายุหิมะสีเงินก็คงไม่ปราบปลื้มหากพวกเขาก่อปัญหาในเมืองเทียนเชียง ในสถานการณ์เช่นนี้
องค์จักรพรรดิยิ้มอย่างใจกว้างเพื่อแสดงว่ามิใช่เรื่องร้ายแรงอันใด
จวินโม่เซี่ยถูกบังคับให้นั่งลง แต่กระนั้น ตู่กู้เซี่ยวอี้ ได้ใช้โอกาสนี้ตักอาหารมากมาย นางเบิกตากว้างขณะเซ้าซี้ถาม
” ไก่บินไปบนต้นกล้วย … แล้วชื่อเขาจักเป็นเช่นใด ? “
จวินโม่เซี่ยเกือบตกเก้าอี้ เมื่อได้ยิมคำถามของนาง เขาเงยหน้าขึ้นหลังจากผ่านไปชั่วครู่ และเช็ดจมูกตัวเอง
” ถามพี่ของเจ้าสิ ? พวกเขารู้ ข้าเอ่ยวาจาไปมากแล้วเมื่อครู่ … เปลืองน้ำลายไปมาก “
ตู่กู้เซี่ยวอี้ พ่นลมทางจมูก และหันไปหา ตู่กู้อญิ่ง ใบหน้าของ ตู่กู้อญิ่ง แดงด้วยความเขินอายชั่วครู่ พี่ชายจัดอธิบายเรื่องเช่นนี้กับน้องสาวเช่นไรดี ? เขามองไปยังจวินโม่เซี่ยอย่างเดือดดาล ขณะปฏิเสธจะตอบคำถาม ตู่กู้เซี่ยวอี้ มิพอใจ จากนั้น นางจึงบุ้ยปากและเริ่มแสดงความไม่พอใจ พี่น้องตู่กู้ทั้งเจ็ดมีเพียงความงุนงงในสถานการ์ที่น่าอึดอัดนี้
บรรยากาศในท้องพระโรงเริ่มอึดอัด ดังนั้น อาจารย์แห่งสถาบันอีกผู้ คุ้งหลิงหยาง ยืนขึ้นและเอ่ย
” คุณชายน้อยในสกุลใหญ่ได้ต่อสู้กับศิษย์ของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงของเราเมื่อปีก่อน สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงของพวกเราชนะ … แต่เพียงแค่บังเอิญ หลานชายแห่งราชครูลี่ ลี่โย่วหลาน ยังมิเคยแพ้ผู้ใดและน่าประทับใจยิ่ง มีศิษย์มากมายของพวกเราที่ประสงค์จักเสวนากับ คุณชายน้อยลี่ … เขาสนใจหรือไม่ ? “
ทุกคนเริ่มมีชีวิตชีวา สิ่งนี้คือ จุดเด่นของงานนี้
เหล่าศิษย์แห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง มีแววตาประกายแปลกประหลาดตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในโถง พวกเขามิได้สนใจในรสชาติอาหารหรือสุราเลิศรสนัก พวกเขารอคอยเพียงช่วงเวลานี้ หากพวกเขาสามารถพิสูจน์ตัวเองว่าเหนือกว่า ปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งนครเทียนเชียง ลี่โย่วหลาน … พวกเขาจักได้รับโอกาสอันไร้ที่สิ้นสุด
ลี่โย่วหลานยิ้มอ่อนโยน เขาลุกขึ้นอย่างสุภาพ มองไปรอบๆและเอ่ย
” โย่วหลานผู้ต้อยต่ำเช่นนี้ มิควรค่าแก่การตั้งคำถามกับปราชญ์ผู้มากปัญญาเหล่านี้ แต่ มีชายผู้หนึ่งที่ โย่วหลานชื่นชม ดังนั้น ข้าประสงค์จักต่อสู้กับคนผู้นั้น … “
” ชายหนุ่มมากฝีมือผู้นั้นคือใคร คุณชายน้อยลี่ ? “
ทุกผู้ถามพร้อมเพรียง
” ในนครเทียนเชียงมีผู้ใดกันที่มากสามารถพอเพียงแข่งขันกับ ลี่โย่วหลาน ? ผู้ที่แม้แต่ ลี่โย่วหลาน ชื่นชม ? แต่เหตุใดข้ามิเคยได้ยินเกี่ยวกับคนผู้นี้มาก่อน ?
ดวงตาของทุกผู้เผยความสับสนใจใน
” คุณชายน้อยแห่งสกุลจวิน จวินโม่เซี่ย ! “
ลี่โย่วหลานเอ่ยจริงจังและชี้ตรงไปยังจวินโม่เซี่ย เพื่อแสดงถึงเป้าหมายที่ชัดเจนของเขา จวินโม่เซี่ยทำได้เพียงเพ่งมองไปยังลี่โย่วหลาน ขณะที่เขายังคงแทะขาไก่มันย่องที่เขาถืออยู่ต่อไป
บ้าเอ้ย ! เจ้าประสงค์จักล่อลวงข้าไปติดกับดักหรือ ?!
สิ่งนี้อาจก่อความวุ่นวายได้ !