Otherworldly evil monarch จอมโฉดแห่งโลกหน้า มือสังหารมือพระกาฬ - ตอนที่ 290
” เป็นตามนี้ ! “
คุ้งหลิงหยางมิได้ประเมินจวินโม่เซี่ยไว้สูงมากมาย
เขามิสามารถคิดหาบทกลอนที่ตอบโต้กับ ฮั่นจีตุ้ง ได้ และหากแม้นเขาพยายามคิดหา… บทกลอนตื้นเขินของอันธพาลผู้นี้จักเทียบเท่ากับ มาตราฐานแห่ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง ได้เช่นไร ? น่าขันยิ่งนัก !
จวินโม่เซี่ยตบต้นขาพร้อมทั้งเสียงดังเป๊าะชัดเจน จากนั้นเขายกขวดสุราขึ้นจากโต๊ะ และยกข้าข้างหนึ่งขึ้นวางบนเก้าอี้ เงยหน้าขึ้น ดื่มสุราอึกใหญ่และครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้น เขามองขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง ดื่มสุรา และยังคงครุ่นคิดต่อไป
สายตาอของทุกผู้จับจ้องจวินโม่เซี่ย ไม่แม้กระทั้งองค์จักรพรรดิ ปรากฏความสนใจและร่องรอยอันเย็นชาในดวงตาองค์จักรพรรดิ เขาจักประเมินสกุลจวินอีกหน หากจวินโม่เซี่ยสามารถคิดหาบทกวีที่เหมาะสมได้ …
ตู่กู้เซี่ยวอี้ และ องค์หญิงหลิงเมิง เพ่งมองเขาใจจดจ่อ
เขาจักชนะได้เช่นไร ? เขาจักต้องประสบกับความยากลำบากมากมายหากบทกวีเของเขามิเป็นตามเป้า …
แต่ พวกนางมิได้เอ่ยออกมา เนื่องจากมิได้สงค์รบกวน
แต่ ตู่กู้อญิ่งเริ่มกระวนกระวาย ขณะเขาเห็นจวินโม่เซี่ยกลืนกินสุราไปเกินกว่าครึ่งไถ
” เห้ย … ! เจ้าคงมิได้ใช้โอกาสนี้ในการดื่มสุราให้มาก ใช่ไหม ? “
ตู่กู้เซี่ยวอี้ เพ่งมองพี่ชายนางด้วยสายตาดุร้าย
” ไม่มีผู้ใดกังวลในเรื่องนั้น เหตุใดเจ้าจึงเป็น ? “
ตู่กู้อญิ่งเกาหัวสับสน เขายังคงนั่งอยู่ ขณะทำได้เพียงจับจ้องไปยัง โถสุราในมือจวินโม่เซี่ย …
ทันใดนนั้นเอง !
จวินโม่เซี่ยยกมือขวาขึ้นและดีดนิ้ว เป๊าะ ! เสียงดังชัดเจนขณะเขาเอ่ย
” ข้าคิดออกแล้ว ! “
ทุกผู้ฟังอย่างกระวนกระวายขณะจวินโม่เซี่ยร่ายกวีของเขาด้วยพึงพอใจ
” ท้องถนนได้กลิ่นอาจม บุรุษอาจมคละคลุ้ง สุนัขอาจมคละคลุ้ง สุกรอาจมคละคุ้ง อาจมคละคลุ้งอาจมคละคลุ้ง และคละคลุ้งด้วยอาจม เพียงหนึ่งนามจารึกประวัติศาสตร์ บัณฑิตอาจมคละคลุ้งเป็นที่สุด ! “
ราวกับทุกผู้สับสนงุนงง
” ปราดเปรื่องยิ่งนัก ! ปราดเปรื่องยิ่งนัก ! ใช้กลิ่นเหม็นคละคลุ้งเพื่อต่อสู้กับกลิ่นหอมหวน และใช้อาจมต่อกรกับดอกไม้ …. อึก อึก … “
ถังหยวนเอ่ยสรรค์เสริญรวดเร็ว แต่ เขายังมิทันได้เอ่ยจบ ในขณะที่ปากของเขาเริ่มส่งเสียง อึก จากนั้นเขาไร้วาจาเอ่ยขณะสีหน้าปรากฏราวกประสงค์อาเจียน …
บทกวีทั้งสองนี้…. น่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก โคลงกลอนนี้ทำให้ทุกผู้สะอิดสะเอียน ดังนั้น จึงมิเป็นเรื่องแปลกหากผู้ใดจักสำรอกออกมา … โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากกินอาหารไปมากมาย …
ทุกใบหน้าปรากฏสีหน้าแปลกประหลาด พวกเขามองจวินโม่เซี่ยด้วยความโทมนัสและเดือดดาล ทัดในนั้นเสียง อึก ดังขึ้นให้ได้ยิน องค์หญิงฮั่นหยานเมิงแห่ง นครพายุหิมะสีเงิน เอามือปิดปากตัวเองและวิ่งออกไป สาวใช้จำนวนหนึ่งตามนางไปพร้อมด้วยมือปิดาก …
ในที่สุด ตู่กู้เซี่ยวอี้ ก็วิ่งมือกุมปากตามพวกนางไป นางเหลือบมองจวินโม่เซี่ยเกลียดชังก่อนจะวิ่งออกไป ….
” ผู้ใดจักกล้าเอ่ยกล่าวว่าข้าผิด ? ข้าเพียงแค่สมดุล สิ่งที่มิได้สมดุล! “
จวินโม่เซี่ยร้องออกมาตื่นเต้น จากนั้นเขาคว้าเอาปู เนื้อปลาชั้นดี เข้าปาก และเริ่มเคี้ยว
ทุกผู้เฝ้าดูขณะเขาเริ่มเคี้ยวเนื้อปูสีเหลือง ทันใดนนั้น สีหน้าทุกคนซีดเผือกขณะนึกถึงโคลงกลอนที่เขาเพิ่งได้เอ่ยไป …
ทุกผู้ตกตะลึง โคลงบทสองบรรทัดนี้ถือได้ว่าเหมาะสมกันยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น โคลงกลอนที่โต้แย้งกลับมานี้เป็นการ เหยียดหยามฝีมือของ บัณฑิตอย่างยิ่ง ในส่วนที่กล่าาว่า อาจมบัณฑิตนั้นต้องคละคลุ้งเป็นที่สุด ทำให้ สองอาจารย์เฒ่าตัวสั่นด้วยโทสะ คุ้งหลิงหยาง และ เหม๋ยเกาเจี้ย ไร้วาจาเอ่ยขณะเขาครุ่นคิดถึงโคลงกลอนนี้ … แต่กระนั้น …
เจ้าแต่งบทกลอนเช่นนี้ในขณะที่ผู้อื่นกำลังกินอาหาร เจ้าคงมิได้จงใจทำให้พวกเราดูไม่ดี ? บทกลอนของเจ้านั้นอาจดีเข้าขั้น แต่เจ้าทำให้ทุกผู้นามมิอาจกินสิ่งใดได้ …
” เวลาผันผ่าน ครานี้ถึงตาข้าไต่ถาม ! “
จวินโม่เซี่ย สบัดปูครึ่งตัวที่ยังคงเหลืออยู่ไปมา
” ข้าจำได้ว่าอาทิตย์ก่อนข้าอยู่ที่บ้าน … อ่านบทกลอน … แล้วทันใดนนั้น … เพื่อเก่าของท่านปู่ปรากฏตัวขึ้น เขาได้ประทับติดตรึงในใจข้าลึกซึ้งเนื่องด้วยชื่อแซ่อันแปลกประหลาดของเขา แซ่ เคอ ..และนามว่า ฉาง … เขาได้มอบของขวัญเป็นภาพที่เขาวาดด้วยมือของตัวเอง มันคือ ภาพวาดดอกบัว เขาเสวากับท่านปู่เป็นบทกวีก่อนจากไป ปู่ของข้าไต่ถามผู้คนมากมาย แต่มิอาจมีผู้ใดตอบได้ … “
ตู่กู้เซี่ยวอี้ และ หญิงผู้อื่นกลับมายังโถง ใบหน้าพวกนางซีดเผือก และเหลือบมองจวินโม่เซี่ยด้วยแววตาเกลียดชังยิ่ง แท้จริงแล้ว ราวกับพวกนางประสงค์จะกัดเขา
ผู้หนึ่งถามขึ้นอย่างกระหายใคร่รู้ก่อนจวินโม่เซี่ยจะได้มีโอกาสเอ่ยต่อ
” กวีบทนั้นว่าอย่างไร คุณชายน้อยสามจวิน ? “
” กวีนั้นเรียบง่ายยิ่ง มีเพียงเจ็ดคำเท่านั้น ภาพดอกบัวเบื้องบนภาพพระ “
จวินโม่เซี่ยครวญครางสองหนขณะเอ่ยประโยคนี้ออกมา เขาใช้ปู่ของเขาเป็นเครื่องมือในการสร้างอุบายอันน่ารื่นรมย์นี้ รู้ว่าท่านปู่จะไม่ทรยศเขา ที่นี่ มีผู้คนมากมายที่เขามิอาจเชื่อถือ กระนั้น ปู่ของเขาคือหนึ่งในผู้ที่คู่ควรแก่การที่เขาจักเชื่อถือ
ปู่จวินมิเคยเช็ดก้นของเขาด้วยหน้าของหลานชาย ดังนั้น จวินโม่เซี่ยจึงเอ่ยคำโป้ปดเหล่านี้ด้วยสีหน้าซื้อตรงต่อสาธารณะ
” ภาพดอกบัวเบื้องบนภาพพระ… ภาพดอกบัวเบื้องบนภาพพระ … “
ทุกผู้ขมวดคิ้วขณะเอ่ยกวีนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กวีบทนี้ดูราวเรียบง่าย แต่ซับซ้อนยิ่ง ทำให้ทุกผู้สูดอากศเยือกเย็น …
มิได้สำคัญหากจักมองดูจากรูปแบบของกวี … ผู้คนจักเห็นเพียง ชื่อของผู้นั้นและของขวัญที่ฝากฝังมากับกวี ยิ่งไปกว่านั้น จุดจบและจุดเริ่มของบทกวีนี้คเหมือนกัน แต่ พวกมันกลับเคารพซึ่งกันและกัน
ผู้เชี่ยวชาญในบทกวีในโถงนั้นต่างขมวดคิ้ว พวกเขามิเคยคาดคิดว่า อันธพาลไร้สามารถนี้จะแต่งปัญหาที่ยากยิ่งเช่นนี้
บัณฑิตทุกผู้จาก สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง พบว่าพวกเขาตกอยู่ในวังวนแห่งความสับสนอย่างมิเคยได้เกิดมาก่อน พวกเขาขมวดคิ้วขณะที่สมองมิอาจคิดหาคำตอบ
จวินโม่เซี่ย คิดกวีบทนี้ขึ้นมาเนื่องด้วยเขามิรู้จักโต้ตอบอย่างไร ความจริงแล้ว ปริศนาที่เขาคิดนี้มิอาจหาคำตอบได้ ตัวเขาเองจักพบกับปัญหา หากฝ่ายตรงข่ามคิดหาคำตอบที่เหมาะสมได้ เนื่องเพราะพวกเขาจำต้องไขปริศนาที่พวกเขามิอาจคิดหาคำตอบได้ และทุกผู้นามจาก สถาบันจักต้องรุมเถียงเขาหากเขามิสามารถตอบคำถามของตัวเองได้ …
ทางออกของปัญหานี้เป็นดั่งปาฏิหาริย์สำหรับพวกเขา และพวกเขาประสงค์ให้ ปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้น !
มันจักมิเป็นความอับอายหรอกหรือ หากเหล่ามันสมองของ สถาบันมิอาจตอบปัญหาของอันธพาลได้ … ? ดังนั้น ทุกผู้จึงคาดคั้นสมอง และคิดหากทางออกมากมายหลังจากประยุกต์แนวคิดเชิงสร้างสรรค์มากมาย แต่ ดูเหมือนไม่มีกวีบทใดที่คู่ควร
เหล่าบัณฑิตผู้มากสามารถจำต้องคิดหาคำตอบให้ได้ก่อนธูปจะหมดก้าน สิ่งนี้ทำให้พวกเขาเป็นกังวลยิ่งเมื่อเวลาผันผ่านไป
สองปรมาจารย์ทั้งสองของสถาบันต่างดิ้นรน
คิวของ เหม๋ยเกาเจี้ย ย่นขณะเดินไปมา เขาพยักหน้าหนแล้วหนเล่าและพึมพัม
” ไม่ มิอาจได้ “
จากนั้นเขาพยายามลองในหนทางใหม่
ปรมาจารย์อาวุโส คุ้งหลิงหยาง นิ่งสงบไม่ไหวติง ดวงตาของเขาปิดลง ใบหน้าแหงนมองขึ้นสรวงสวรรค์ กำลังจมดิ่งลึกซึ้งสู่ห้วงความคิด แต่ หากมองเข้าใกล้แล้ว .. พวกเขาจักได้เห็นร่องรอยความมืดมนในสีหน้า … ผมสีขาวดั่งหิมะประลงใบใบหน้า มิอาจกลั้นให้รู้สึกถึงความโศกเศร้าแปลกประหลาดขณะมองใบหน้าของเขา
กวีบนทนี้เป็นดั่งปริศนาแห่งเหล่า ศิษย์แห่งสถาบัน ดังนั้น การมีส่วนของสองปรมาจารย์นั้นถือได้ว่ามิถูกต้อง แต่กระนั้น มันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงอันช้านานของสถาบัน ด้วยเหตุนี้ สองปรมาจารย์จึงมิอาจกลั้นตัวเอง …
จวินโม่เซี่ยมิได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เขามิได้ทุกข์ร้อน หากเหล่าอาจารย์สิบ ยี่สิบของสถาบันจักเข้าร่วม … ไม่ต้องเอ่ยถึงสองท่านนี้ …
เวลาผันผ่านถึงจุดสิ้นสุด ควันจากธูปหอมล่องอลายเป็นเกลียวายต่อเนื่องกระทั่ง ทั้งก้านเหลือเพียงขี้เถ้า
ปาฏิหาริย์มาอาจก่อเกิด !
” ข้ามิสามารถ ! ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ ! “
หัวของ ฮั่นจีตุ้ง ก้มลงด้วยสิ้นหวัง มิอาจหักห้ามความรู้สึกผิดหัวงในหัวใจ ปราชญ์อันดับสุงสุดของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง จักพ่ายแก่เจ้าเลวนั้น ?!
เขาประสงค์จักตาย ..
” ไม่ ! เจ้าพ่ายแพ้ แต้าเจ้ามิได้มีความผิด เอาละ ความผิดนั้นมิได้จำกัดเพียงเจ้า ! “
จวินโม่เซี่ยขยับตัวจากเก้าอี้ขณะเขาชี้นิ้วออกไปและแกว่งไปมาแผ่วเบา
” เจ้ามิได้ผิดในการเดิมพันกับข้าในครั้งนี้ ! อย่างน้อยถือได้ว่าเจ้าเป็นตัวหมากรุกชั้นดีในเกมนี้ และเป็นธรรมดายิ่ง เจ้ามิสามารถมากพอจักเดิมพันกับข้า ! ไม่ว่าเจ้าจัดหาวิธีการเช่นไร … เจ้าก็มิอาจสามารถเพียงพอจักแข่งขันกับข้า ! เจ้าน้อยต่ำต้อยกว่าข้ายิ่งในเรื่องนั้น “
จากนั้น จวินโม่เซี่ยเงยหน้าขึ้นยิ้มขณะเขามองไปยัง คุ้งหลิงหยาง และ เหม๋ยเกาเจี้ย
” อาจารย์ ? เจ้ามีสิ่งใดจะเอ่ย ? “
” พวกเราพ่ายแพ้ “
ใบหน้าสองผู้อาวุโสมองดูพร่ามัว พวกเขามาที่นี่ด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยมในฐานะของตัวแทนผู้นำของ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง สถาบันซึ่งได้รับการยอมรับว่ายิ่งใหญ่และมากสามารถสุดซึ้งในทั่วทั้งอาณาจักร แต่ พวกเขามิอาจคาดว่าจักพ่ายแพ้ต่อน้ำมือของจวินโม่เซี่ย อาจารย์ทั้งสองรู้สึกราวชีวิตถูกพรากไปทั้งเป็น
ริมฝีปาก คุ้งหลิงหยาง สั่นเทาขณะเขาเอ่ยเสียงอ่อนนุ่ม
” อาวุโสผู้นี้จักรักษาสัญญา สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงจักมิเอ่ยถึงกวีต่อหน้าจวินโม่เซี่ย “
ทั่วทั้งโถงเงียบงันชั่วครู่
จวินโม่เซี่ยถอนใจ พฤติกรรมของสองผู้นี้ทำให้หัวใจของเขาเคารพยิ่ง เขามิได้ประสงค์ให้พวกเขาต้องประสบกับสภาพเช่นนี้ ทั้งสองก่อตั้ง สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียงด้วยคุณธรรมของพวกเขา พวกเขาปุกปั้นเหล่าศิษย์ด้วยมือของตัวเอง และทำนุบำรุงยอดฝีมือของอาณาจักรอย่างไร้เหน็ดเหนื่อย พวกเขามิเคยละทิ้งคนจนและต้อยต่ำ พวกเขาคัดเลือกเหล่าศิษย์เพียงความล้ำเลิศและความสามารถในการเรียนรู้ พวกเขาละทิ้งชีวิตอันมั่งคั่ง และรักษาระยะห่างจากอิทธิพลการเมืองของมหาเสนาบดี พวกเขาคู่ควรแก่การได้รับการยกย่องจาก มือสังหารผู้นี้
ชายสองผู้นี้น่าชื่นชมยิ่ง แต่ เพียงแค่สั้นๆ ความรู้และการสั่งสอนของพวกเขาแน่นอนเหมาะสมกับการยกย่อง แต่คติและวิธีการของพวกเขานั้นเป็นความผิดพลาด พวกเขาสนใจเพียงศิษย์ที่ปราดเปรื่องและใฝ่เรียน แต่มิได้สนใจลักษณะในด้านอื่นๆ
การสั่งสอนมิจำเป็นต้องบอกกล่าวเพียงความรู้
จวินโม่เซี่ยเชื่อเช่นนั้นเสมอมา อาจารย์คือผู้สรรค์สร้างจิตวิญญาณของมนุษย์
ชัดเจนว่าอาจารย์เหล่านี้เป็นเลิศในชนรุ่นเขา พวกเขาถ่ายทอดความรู้อันมากมายแก้เหล่าศิษย์ ศิษย์ของพวกเขารอบรู้ในบทกวี พวกเขารอบรู้ในด้านกลยุทธ์ เล่ห์กล พวกเขารอบรู้ในการรักษาความสำคัญของฐานะทางการเมือง แน่นอนพวกเขาจักพบความสำเร็จในอาชีพหากสามารถนำสิ่งที่เล่าเรียนไปใช้ได้ อย่างรวดเร็ว แต่ อาจารย์ทั้งสองนั้นละเลยหากศิษย์ของพวกเขาจักแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาแม้นว่าพวกเขามิได้ดีมาจากจิตใจ การกระทำของพวกเขาจักส่งผลถึง ความรุ่งโรจน์ มั่งคั่ง และรายได้ … ดั่งเช่น พวกเขาได้สร้าง ผู้รับใช้ที่น่ากลัวแก่อาณาจักร
มิจำเป็นต้องเอ่ยว่า อาจารย์ทั้งสองนี้ได้สร้างศิษย์มากมายภายใต้ชื่อเสียงของเขา และ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง
พวกเขาจำต้องทำหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เมื่อพวกเขาออกจากสถาบันและเริ่มต้นชีวิตในราชการ … โดยไม่คำนึงถึงความมั่งคั่ง และ ฐานะ ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์เหล่านี้ได้เล่าเรียนที่ สถาบันอักษรสวรรค์เหวินเชียง และมีแนวโน้มจักได้รับตำแหน่งสูงในกลุ่มหรือสกุลอันทรงพลัง แท้จริงแล้ว แม้ผู้ที่ย่ำแย่ที่สุดก็จักได้รับราชการในตำแหน่งต่ำ … เช่นเสมียหรือผู้ดำแลบัญชี
ภัยอันตรายมากมายเพียงใดที่พวกเขาสามารถก่อขึ้นแก่สังคมได้หากพฤติกรรมของพวกเขามิได้ถูกลับคมด้วยคุณธรรมที่เหมาะสม ? หายนะที่พวกเขาสามารถก่อนั้นเกินกว่าจินตนาการ
นี่จึงเป็นเหตุที่จวินโม่เซี่ยไม่ชอบพวกเขา ความจริง เขามิเพียงไม่ชอบพวกเขา … เขารังเกียจ
สองอาจารย์เกี้ยวกราดยิ่ง แต่ จวินโม่เซี่ยมิเชื่อว่าพวกเขานั้นผิด เขาค่อนข้างเชื่อว่า พวกเขาควรได้รับการส่งเสริมที่ดี
ข้ามิใช่คนดี หรือ สนใจในความทุกข์ยากของผู้คนในแผ่นดิน แต่ หากเจ้ากลั่นแกล้งข้าเช่นนั้น ข้าคงจักต้องยืนหยัดในการลงโทษสวรรค์ !
” นี่คือเรื่องในทางโลก ! “
จวินโม่เซี่ยถอนใจ จากนั้น มือสังหารจวินจึงกลายเป้ฯผู้ชนะด้วยเหตุนี้ เขาเริ่มคิดว่าตัวเองสง่างาม
ข้าจักต้องปลดปล่อยผู้คนจากความเจ็บปวด และความทุกข์ไม่ว่าจักเป็นโลกใหนที่ข้าอยู่ ข้าจักออกมาเมื่อผู้คนต้องการ …
เอาละ ถานการณ์นั้นยังมิได้เกิดขึ้น…
———————————————————————————-