Otherworldly evil monarch จอมโฉดแห่งโลกหน้า มือสังหารมือพระกาฬ - ตอนที่ 333
” ถูกต้อง ! เด็กหนุ่มที่มีระดับปราณเพียงนี้และมาต่อสู้กับอสูรเชวียนนั้นก็เป็นเหมือนการเอาชีวิตมาทิ้ง แม้แต่ ยอดฝีมือเชวียนหยกยังไม่มีโอกาสได้เอาชีวิตรอดเมื่อเผชิญหน้ากับอสูรเชวียนระดับสูง จักเป็นอันใดได้อีกหากไม่ใช่การเอาชีวิตมาทิ้ง ? ดังนั้น จะบอกว่าเขาเป็น เหยื่อสังหาร ก็ได้ไม่ยากนัก ”
ตงฟางเหวินเจี้ยนยิ้มอย่างโหดเหี้ยม
” โม่เซี่ย อย่าได้เชื่อว่าเคล็ดวิชาความคล่องตัวของเจ้านั้นยอดเยี่ยมเกินไป เจ้าจักพบว่าการหลีบหนีนั้นยากนักหากถูกโดนเข้าไปในหมู่ศัตรู แม้น กระบวนท่า อันแปลกประหลาดของเจ้าก็มิอาจช่วยเจ้าได้หากถูกพวกมันล้อมเอาไว้ เช่นนั้นเจ้าต้องไม่หุนหัน และเจ้าต้องไม่หลุดไปนอกสายตาของพวกเรา ! ”
” แต่เด็กผู้นั้นอายุเพื่อยี่สิบหน้า ยี่สิบหก และ ชันเจนว่าเขาอยู่ในระดับเชวียหยกสูงสุด ข้าเชื่อว่า เข้าก้าวหน้ามาไกลจาก ปฐพีเชวียน เช่นนั้น เขามีความสามารถที่หาได้ยาก ที่มีฝีมือเช่นนี้ในวัยเดียวกัน เหตุใดพวกเขาจึงไม่เก็บผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ไว้ไกล้ตัว ? เหตุใด สกุลเปียลี่ ถึงปล่อยให้เด็กผู้นี้เอาชีวิตมาทิ้ง ? นี่ไม่ใช่เรื่องน่าสังเวชหรือ ? “
จวินโม่เซี่ยถามทีท่าสงสัย
” เหตุผลนั้นไม่ยากเข้าใจ ความจริง นั้นง่ายดายนัก เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้เกิดจากเมียหลวงของสกุล ! แม่ของเจาเป็นเมียน้อย ! ”
ตงฟางเหวินชิงดูเสียใจขณะที่เขายิ้ม
” เด็กผู้นั้นมีนาว่า ไป๋ลี่หลัวหยุน เขาคือผู้หนึ่งที่มีพรรสวรรค์ที่หาได้ยากที่สุดที่เกิดมาในสกุลไป๋ลี่ สกุลที่ฝึกฝนปราณเชวียนจักมีสมาชิกที่มีวรยุทธสูง สะสางเส้นลมปราณของเด็กทารกเกิดใหม่ สิ่งนี้ทำให้ลดโอกาสที่เด็กจะเจ็บป่วย ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้จักช่วยวางรากฐานการฝึกวรยุทธูในอนาคต
“แต่ ไม่มีผู้ใดสางเส้นลมปราณของ ไป๋ลี่หลัวหยุน ในตอนที่เขาเกิด แต่ไม่สำคัญเนื่องจากเขาได้เริ่มฝึกฝนตั้งแต่อายุสามขวบ และเขาได้บรรลุขั้นเชวียนเก้าเมื่ออายุสิบปี ความจริงเขาได้ไปถึงขั้นเชวียนเงินสูงสุดในช่วงอายุสิบห้า และบรรลุไปขั้นเชวียนทองไม่นานจากนั้น หลังจากนั้น เขาบรรลุขั้นเชวียนทองไปยังหยกเชวียนในวัยยี่สิบ และ ตอนนี้เขาอยูในชั้นหยกเชวียนสูงสุด บอกได้อย่างง่ายได้ว่าเขานั้นเป็นเลิศในวัยของเขาหากมองที่ฝีมือการบำเพ็ญ มีไม่กีคนนักที่สามารถเทียบกับผู้นี้ได้ อย่างไรก็ตามมันเป็นความจริงที่ตัวเจ้ามิอาจนำไปเทียบได้ เนื่องจากเจ้าสามารถต่อสู้กับเทพเชวียนได้ด้วยความสามารถในการเคลื่อนไหวของเจ้าแม้นจะเป็นยอดฝีมือเชวียนหยก ความจริงเจ้าอาจชนะด้วยการเคลื่อนไหวของเจ้า เจ้านั้นมีพรสวรรค์ที่ชั่วร้าย ! ”
” แต่เจ้าเด็กผู้นี้นั้นมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและหาได้ยาก เขาอาจไม่ได้เป็นลูกแท้ๆแต่อเขาก็ไม่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ถูกหรือไม่ ? เขายังคงเป็นสายเลือดแม้ว่าจักเป็นลูกนอกสมรส เช่นนั้น มันจักต่างอันใดหากเขามิได้เป็นทายาทของสกุล ? เขายังเป็นยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์อันหายากในวัยเดียวกัน ! ความจริง มันสามารถจินตนาการได้ว่าเขาสามารถก้าวไปยังขั้นสวรรค์เชวียนภายในสิบปีจากความเร็วในการพัฒนาของเขา และสิ่งที่เขาเคยทำมาในวัยเด็ก ยิ่งกว่านั้น เข้าอาจจะไปยังขั้นเทพเชวียนในวัยสามสิบ ! ท่านกำลังบอกข้าว่าพวกเขาละทิ้งความสามารถเช่นนี้เนื่องจากเขามิใช่ลูกแท้ๆ ? สกุลเปียลี่ มิได้โง่เขลาหรอกหรือ ? “
จวินโม่เซี่ยตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน เขาพบว่ามันยากที่จะเข้าใจในเรื่องเช่นนี้
สำคัญที่จักต้องรู้ว่าเด็กหนุ่มที่มีความสามารถเช่นนี้นั้นหาได้ยากยิ่ง และ ความจริงนี้มิได้มีไว้สำหรับสกุลที่ทรงอำนาจของโลกเพียงอย่างเดียว … แม้แต่ นครพายุหิมะสีเงิน และ มณฑลฉือฮั่น ก็ได้เห็นความสามารถเช่นนี้ในชีวิตครั้งหนึ่ง ในความจริง เป็นการยากที่จักพบพวกเขาจำนวนมากแม้นว่าจักค้นหาทั่วทั้ง ดินแดนเชวียนๆ และ สกุลอื่นๆก็จักรักษาผู้ที่มีพรสวรรค์เชวนนี้ดั่งอัญมณี และดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ความจิรง คนเช่นนี้จักได้รับการดูแลเช่นเดียวกับที่ สามพี่น้องตงฟางดูแลความปลอดภัยของจวินโม่เซี่ย เช่นนั้นจึงต้องเห็นความสำคัญของเด็กเหล่านี้
” นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีอย่างอื่นอีก พ่อของเขาคือเหตุผลหลักที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ปู่ของเขาคือพ่อแท้ๆของเขา เขาเมาและข่มขืนสาวใช้ และหลังจากนั้นเขาก็สร้างความสัมพันธ์กับนาง และ หลัวยุ่น ได้เกิดมาจากความสัมพันธ์นั้น และลูกชายคนโตของสกุลด้วย อย่างไรก็ตาม สกุลเปียลี่ มอเคนยอมรับในสถานะของเขา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้ทารุณเด็กเหล่านั้น ความสามารถโดยกำเนิดทำให้เขาแปลกประหลาดยิ่งขึ้น และ การปฏิบัติเริ่มแย่ลงขณะที่วรยุทธเชวียนของเขาดีขึ้นจากพรสวรรค์ที่โดดเด่นของเขา ดังนั้น ตัวตนที่น่าอับอายในสกุลของเขาหมายความเขาได้รับการปฏิบัติอย่างคนรับใช่ ในความจริง คนรับใช้ยังได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า สิ่งนี้นำความแค้นมาสู่หัวใจของเขา และเขาก็ต้องการจักล้างแค้น ความรู้สึกอยากแก้แค้นนี้เริ่มมีมากขึ้นเมื่อเขาได้บรรลุไปถึงขั้นเชวียนหยก และจากนั้น เหตุการณ์ร้ายได้บังเกิดขึ้น …. ”
ใบหน้าของ ตงฟางเหวินชิงเต็มไปด้วยความเวทนา ขณะเอ่ยต่อ
” แต่สิ่งนั้นคือ … เขามิได้เป็นต้นเหตุ ในความจริง เรื่องนี้ง่ายดายยิ่งนัก เขาเพิ่งกลับบ้าน และ คุณชายน้อยตัวจริงพยายามสร้างปัญหาให้เขา เริ่มส่อเสียดเขา และได้รับการตอบโต้อย่างรุนแรงจากเขา เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังโทสะนั้นง่ายที่จักเข้าใจ เขามิได้มีสถานะใดในสกุล แม้นวรยุทธของเขาจักล้ำหน้าเกินกว่าผู้อื่น ที่ได้รับการช่วยเหลือจากภายนอก และสางเส้นลมปราณตั้งแต่ยังเล็ก ”
” แต่กระนั้นเขายังเป็น สายเลือดของสกุล และ สายเลือดนั้นสำคัญอย่างมาก นั้นคือเหตุผลหลักที่เขายังไม่โดนสังหาร แต่ บางคนในสกุล ไป๋ลี่ ไม่ต้องการปล่อยเขาไป และ การเดินทางมายังเถียนฟาเป็นโอกาสทองในการกำจัดเขา ”
” เช่นนั้น … นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ! ”
จวินโม่เซี่ยถอนใจยาว จากนั้นเขาพึมพัม
” ไป๋ลี่ หลัว ยุ่น…”
ประกายแสงเยือกเย็นปรากฏในดวงตาของเขา ไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ความคิดของเขา
” แต่กระนั้น พวกเรารู้สึกว่าสกุลไป๋ลี่ ทำให้ตัวเองประสบกับความอันตรายเนื่องจากการกระทำนี้ เหมือนดั่งที่เจ้าเพิ่งเอ่ย… เด็กน้อยผู้นี้มีความสามารถชั้นเลิศตั้งแต่เกิด! เขาเพียงตามหลังเจ้าอยู่น้อยนิด เราเชื่อว่าเขาจักได้กลายเป็น ยอดปรมาจารย์ คนใหม่ในวัย สามสิถึงห้าสิบ ! “
” เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรู้ว่า ความแข็งแกร่งของสกุล และชื่อเสียงจักเพิ่มขึ้นหากพวกเขามีผู้ใดผู้หนึ่งเป็น ยอดปรมาจารย์ ผู้แข็งแกร่ง นี่คือความจริงที่แสนพิเศษสำหรับสกุลที่ทรงอำนาจ ในความจริง พวกเขาจักละทิ้ง สกุลอื่นๆได้ภายในการก้าวหน้าก้าวใหญ่เพียงหนึ่ง !
” นครพายุหิมะสีเงิน และ มณฑลฉือฮั่น มิต่างกัน โอกาสที่คนเช่นนี้จักเกิดในสกุลใดๆนั้นมีเพียงหนึ่งในร้อยปี … หนึ่งเดียวในช่วงอายุ เช่นนั้น ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดสกุล ไป๋ลี่ จึงทิ้งโอกาสนี้ … สิ่งนี้ทำให้ข้าเสียใจกับการตัดสินใจของพวกเขา ข้าหมายถึง … เหตุใดสกุล ไป๋ลี่ ถึงคิดสั้นนัก ? หรือพวกเขากลัวว่าเขาจักล้างแค้น เมื่อมีความแข็งแกร่งเพียงพอ …. ? หรือจักมีเหตุผลอื่น … ! “
ตงฟางเหวินชิงพยักหน้า และหัวเราะอ่อนโยน
” แต่พวกเรามิได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย ในความจริง มันเป็นการดีสำหรับพวกเราที่ ยอดปรมาจารย์ จักถูกกำจัดไปโดยเร็วที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น มันทำให้เรามีเหตุผลที่ต้องฉลอง ในที่สุด วีรบุรุษนั้นเกิดขึ้นจากกองกระดูกของผู้อื่น และ ทุกผู้ที่แข็งแกร่ง ที่อยู่ในจุดที่สูงที่สุดจักมีมือที่เปื้อนเลือด พวกเราเก้าสกุลมีใช่ศัตรูกันอย่างแน่นอน แต่พวกเราคือคู่แข็งชั้นเลิศ “
ผู้นำของทุกก๊กทรงอำนาจที่ยืนอยู่บนที่สูงตลอดเวลา แต่ ในที่สุดพวกเขาเริ่มลงมาแล้ว จากนั้นพวกเขาตัดสินใจไปยัง ศาลาว่าการ เพื่อถกเรื่องต่างๆ ตงฟางเหวินชิง เหลือบมองออกไป และเอ่ย
” ข้าจักตามลุงสามของเจ้าไปประชุม เนื่องจาก พวกไร้ค่าจากนครพายุหิมะสีเงิน คงไม่หยุดเยาะเย้ย แต่พวกเขาจักไม่ทำสิ่งล่ำเส้นหากข้าอยู่ใกล้ๆ ”
จากนั้นเขาหัวเราะนุ่มนวลและจากไป เขาผลักเก้าอี้เลื่อนของจวินวูอี้อย่างนุ่มนวลตรงไปยัง ศาลาว่าการ หลังจากนั้น
จวินโม่เซี่ย มองไปยังลุงสามผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อน และคิด ….
ตอนนี้ขาของลุงสามหายเป็นปกติแล้ว แต่ข้าไม่รูว่าเมื่อใหร่ที่เขาจักสามารถยืนได้อย่างเหมาะสม … เมื่อใหร่กันที่ ขุนพลเลือด จักยืนหยัดได้อย่างภาคถูมิใจและแสดงความยิ่งใหญ่ต่อหน้าคนทั้งโลก ?
อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยม … !
และความแข็งแกร่ง มีค่าเท่ากับ … พรสวรรค์ …
จากนั้น จวินโม่เซี่ยก้าวยาวตรงไปหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย และเขาเริ่มเดินตรงไปหา ไป๋ลี่หลัวหยุน
คนอื่นๆจากสกุล ไป๋ลี่เริ่มมุ่งหน้ากลับแล้วในตอนนี้ สามบุรุษหัวเราะและพูดคุยกันอย่างอิสระขณะที่พวกเขาเข้าในกระโจม พวกเขาไม่แม้แต่เหลือบมมอง ไป๋ลี่หลัวหยุน ผู้ที่ยืนอยู่ตรงทางเข้า ความจริง ไป๋ลี่เซี่ยวเฟิง ผู้นำสกุลไป๋ลี่ บังเอิญมองไปข้างหน้าขณะที่เขาเข้าไปใน ศาลาว่าการ เพื่อถกเรื่องเร่งด่วน
ไป๋ลี่หลัวหยุนมองไปยังเมฆบนท้องฟ้าอย่างไร้ชีวิต เขาขื่นขมอยู่ภายในแต่ก็ฝืนยิ้ม
อีกกี่วันที่ข้าจะยังอยู่ในสถานการณ์สับสนเช่นนี้ ? อสูรเชวียนนับพันนี้จักทำให้ข้ากลายเป็นศพหรือไม่ ? นี่จักเป็นจุดจบของข้าหรือไม่ ?
ไป๋ลี่หลัวหยุน รู้ชัดเจนถึงสิ่งที่สกุลของเขาทำกับเขา
” สกุลไป๋ลี่จักไม่หยุดจนกว่า หลัวกยุนจักตาย ”
นี่คือวาจาของคุณชายน้อยสกุลไป๋ลี่ บอกแก่พ่อของ ไป๋ลี่หลัวหยุน เมื่อเขาบรรลุถึงขั้นเชวียนเก้าในวัยสิบปี และ ไป๋ลี่หลัวหยุน ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้วาจานี้ตั้งแต่นั้นมา
บางครั้งข้าก็ประหลาดใจกับวาจาถากถาง เด็กจะได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากสกุลของเขา และ ทุกคนได้เห็นพรสวรรค์ของข้า เช่นนั้นเหตุใดสกุลไป๋ลี่จึงทำกับข้าเช่นนี้ ?
เรื่องนี้เลยเถิดเกินปแล้ว … ความจริงกลัวว่าข้าอาจจะหนีไป และเช่นนั้นเช่นนั้นเขาจึงขู่เอาชีวิตข้าและท่านพ่อหากข้าไม่ลงใต้มาสถานที่นี้ เขาทำเช่นนั้นเพื่ออันใด ? และท่านพ่อก็หลีกเลี่ยงเรื่องนี้ในตอนที่ข้าพบาบามเอ่ยถึง มีเพียงวาจามีค่าเดียวที่เขาเอ่ยกับข้าคือ
“อนิจจา หลัวหยุน ความต้องการล้างแค้นของเจ้านั้นรุนแรงนัก มันจักดีกว่าหากเจ้าไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ให้มากนัก …. ”
” ความปรารถนาที่จักแก้แค้น ? ” เมื่อใหร่กันที่ข้าต้องการก่อปัญหา ? ข้าจักตอบโต้ด้วยความหลัวหรือหากคนเหล่านั้นไม่ล้ำเส้น ? คนจักไม่ต่อต้านต่อพฤติกรรมที่ข้าต้องประสบในวันนั้นได้อย่างไร? หรือจะเป็น … ? หรอจักมีเหตุผลอื่นที่ข้าไม่รู้ ?
ข้าจักกลับไปและหาคำตอบของปัญหาทั้งหมดหากข้าโชคดีพอที่จักมีชีวิตรอดในสถานที่เช่นนี้ …
ไป๋ลี่หลัวหยุนมีสีหน้านิ่งเฉยขณะที่เขาหันหลังและเข้าไปในกระโจม
พวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับข้า แต่กระนั้น … เมื่อใหร่กันที่พวกเขาถือว่าข้าเป็นคนในครอบครัว ? ยิ่งข้าตายเร็วเท่าใหร่ ยิ่งเป็นผลดีกับพวกเขาเท่านั้น ..แต่ ทำไมกับข้ามันไม่เหมือนกัน ?!
ตอนนั้นเองที่เขาเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามาหาเขา
เขาไม่คุ้นเคยกับเด็กหนุ่มผู้นี้ แต่เขารู้ว่าเด็กผู้นี้มีนามว่า จวินโม่เซี่ย เขาได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเด็กผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่า เด็กหนุ่มผู้นี้ อันธพาลยิ่งกว่าปู่สองและคนอื่นๆในครอบครัวของเขา
เขามองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่าจวินโม่เซี่ยเข้ามาใกล้เขา เส้นทางของเด็กหนุ่มผู้นั้นชัดเจน และไม่มีการเปลี่ยนแปลง ยิ่งกว่านั้น เขามีสีหน้าที่ผิดปกติมากบนใบหน้าของขาขณะมองไปยัง ไป๋ลี่หลัวหยุน
“ไป๋ลี่หลัวหยุน ? “
จวินโม่เซี่ยเงยหน้าขึ้น และลองเรียกเขา
” จวินโม่เซี่ย ? คุณชายน้อยสามแห่งสกุลจวิน … ? “
ไป๋ลี่หลัวหยุนมีสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เขารู็สึกไม่ตื่นกลัว หรือมีความสุขเมื่อรู้ว่าเด็กผู้นั้นตรงมาหาเขา ความจริงเขาไม่พยายามเดาเหตุผลที่เขาถูกมองหา …
” เจ้าอยากไปทาที่นั่งคุยกันไหม ? ตามข้ามา ”
จวินโม่เซี่ยเชิญชวน มันคือวิธีการร้องขอ แต่น้ำเสียงของจวินโม่เซี่ยนั้นทำให้มันเหมือนคำสั่ง
เขาเป็นมือสังหารที่ห่างไกลในชีวิตก่อน ดังนั้นเข้าจึงรู้ว่าวิธีที่จักจัดการกับบุคลิกที่แยกออกจากสังคม เแม้ว่านิสัยของเขาจะเปลี่ยนไปมากในชีวิตนี้
เราต้องไม่คาดหวังให้คนเช่นนี้เริ่มก่อน พวกเขาจักปิดปากแม้นต้องการจักพูดสิ่งใดก็ตาม จวินโม่เซี่ยรู้ดีเพราะเขาเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน …
วิธีการเดียวที่จัดการกับคนเช่นนี้ได้คือการควบคุมสถานการณ์โดยการเริ่มก่อน จากนั้นคนผู้นั้นจักทำตามคำสั่งโดยไม่รู้ตัว ความจริง พวกเขาจักพยายามก้าวตามจังหวะการเคลื่อไหวของเจ้าแม้นว่าพวกเขาไม่ต้องการ …แม้นว่าพวกเขาไม่มั่นใจ … หรือแม้ว่าพวกเขาไม่เต็มใจยอมรับ … นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ต้องการดูอ่อนด้อย และพยายามพูดกับเจ้าอย่างเท่าเทียม หรือ … อย่างน้อยพวกเขาจักมองหาโอกาสที่จักเท่าเทียมกัน …
” ข้าไม่พูดกับคนแปลกหน้า ”
ไป๋ลี่หลัวหยุน หันไปยอ่างเฉยเมย และเริ่มเดินเข้าไปในกระโจม
กระโจมเดียวกันกับที่เขาเกลียดชังสุดหัวใจ …
” ข้าได้ยินมาว่าเจ้าคือผู้หนึ่งที่มีพรสวรรค์ด้านปราณเชวียนที่หายากในวัยนี้ เช่นนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวข้ามิใช่หรือ ? “
จวินโม่เซี่ยก้าวขึ้นหน้า
เงาร่างสูงโปร่งของ ไป๋ลี่หลัวหยุนหยุดลงในทันที
” ข่าวลือบอกว่าเจ้านั้นอายุยี่สิบหก พวกเขาบอกว่าเจ้าได้บรรลุไปถึงขั้นเชวียนหยกสูงสุด แต่เจ้าไม่กล้าพูดกับข้า … ? เจ้ากลัวข้าว่าแผนการทำร้ายเจ้าหรือ ? “
จวินโม่เซี่ยยิ้มชั่วร้าย
ไป๋ลี่หลัวหยุนหันกลับมาในทันที ใบหน้าของเขายังคงไร้ความรู้สึก และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงบขณะที่เขามองไปยังคุณชายน้อยจวิน
” ราวกับข่าวลือนั้นผิดไป และมันไม่น่าประหลาดใจ … เนื่องจากข่าวลือเก้าในสิบนั้นเชื่อไม่ได้ ”
จวินโม่เซี่ยหันหลังไป แต่ก่อนจากไปเขาได้ทิ้งท้ายไว้
” และข้ากล้าหาญนัก แท้จริงแล้วข้าไม่ควรมาที่นี่ ”
แต่กระนั้น เขายังมิได้เดินไปที่กระโจม เขาเดินไปข้างนอกแทน
เสียฝีเท้าของอีกคนหนึ่งดังตามเขามา ไป๋ลี่หลัวหยุนเดินตามเขาไปอย่างเงียบๆ เขาตามอยู่ไม่ห่าง….และใกล้จนเกินไป
ความภูมิใจเปล่งขึ้นในดวงตาของจวินโม่เซี่ย
” เจ้าจักคุยกับข้า ? เหตุใดเจ้าไม่พูดอะไร ?
ไป๋ลี่หลัวหยุนจักกลับไปงีบที่กระโจมของเขาหากความสงสัยนี้ไม่เกิดขึ้นในหัวของเขา และ เขาจักไม่ตามจวินโม่เซี่ยมาเช่นนี้อย่างแน่นอน …
จวินโม่เซี่ย ไม่หันหลังมาเลย … ความจริงร่างของเขาเริ่มเคลื่อนที่เร็วขึ้น และความเร็วในการก้าวเดินของเขานั้นเพิ่มขึ้นจนน่าปงระหลาดใจ ไป๋ลี่หลัวหยุนไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว แต่เขาก็ยังตามจวินโม่เซี่ยต่อไป เขาไม่เดินเข้ามาใกล้ และไม่ทิ้งห่างมาก สองเด็กหนุ่ม หยกเชวียนสูงสุดเดินตามกัน … ราวกับพวกเขากำลังไล่ล่า อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดสังเกตุเห็นเด็กทั้งสองเพราะพวกเขาสนใจถึงการพูดคนในศาลาว่าการ
ในที่สุดคุณชายน้อยจวินค่อยๆเคลื่อนที่เร็วขึ้น การเคลื่อนที่ของเขาเร็วยิ่งขึ้น ไม่นานมันดูเหมือนว่าเขากำลังพุ่งจากพื้นขึ้นสู่อากาศ และ ความห่างระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองเริ่มเพิ่มขึ้น …
ไป๋ลี่หลัวหยุน ที่มักเฉยเมยต่อโลกมาโดยตลอด แต่ดวงตาของเขาเริ่มแสดงความประหลาดใจ
คุณชายน้อยผู้มีชื่อเสียงย่ำแย่ผู้นี้เร็วกว่าข้า ?
แต่เขายังไม่ยอมรับและเริ่มออกแรง ตอนนี้เขายังมิอาจไล่ตามอีกฝ่ายได้ ความจริงเขาไม่แม้แต่เข้าใกล้เขาได้มากขึ้นเลย และ ระยะห่างก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ …
ข้าล้มเหลวในการแข่งกันเรื่องความเร็ว
ไป๋ลี่หลัวหยุนิได้ยอมรับมันอย่างเปิดเผย แต่เขาเข้าใจชัดเจนว่าผู้อีกผู้หนึ่งได้แสดงให้เห็นว่าอยู่เหนือกว่าเขาแม้นจะอยู่ในวัยเดียวกัน
อย่างน้อยในเรื่องของความเร็ว …
จวินโม่เซี่ยนำหน้าไปยังเนินเล็กๆที่หลบซ่อนอยู่ประมาณห้ากิโลเมตรข้างหน้า เขาปีนมัน และนั่งลองอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาเริ่มเอ่ยขณะที่ตบไปยังหญ้าที่อยู่ข้างๆเขา
” มานั่ง !
ไร้คำตอบ ไป๋ลี่หลัวหยุน ยืนตรงตรงราวหอกเช่นเคย เขาคุยเคยกับการตื่นตัวเป็นเวลานานโดยไม่ให้ตัวเองพักผ่อนแม้แต่ชั่วครู่ เพราะทุกคนในสกุลของเขามีความพยายากจะสังหารเขาให้ได้ทุกครั้งที่มีโอกาส …
ดังนั้นเขาจึงเริ่มคุ้นเคยกับการระแวดระวังอยู่เป็นเวลานาน
อย่างไรก็ตาม วี่แววแห่งการยอมรับก็เริ่มเกิดขึ้นในดวงตาของเขา
” เจ้าต้องการอันใด ? “
ในที่สุด ไป๋ลี่หลัวหยุน ถาม เขาตระหนี่กับคำพูด เขาดูเหมือนจะทะนุถนอมพวกมันราวกับทองคำ ชายหนุ่มผู้นี้ไม่คุ้นเคยกับการพูดคุยยาวๆ เขาจักเก็บความคิดเอาไว้ใกล้หัวใจเสมอ ไป๋ลี่หลัวหยุน ถามคำถามนี้เพียงเพราะเขาถูกชักนำให้ทำเช่นนี้โดยจวินโม่เวี่ย
.เขาเด็กกว่าข้ามาก แต่ วรยุทธของเขานั้นมิได้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย ….
” เจ้ามาที่นี่เพื่อเอาชีวิตมาทิ้งใช่หรือไม่ ? “
จวินโม่เซี่ยยังคงไม่หันไป ความจริง เขามิได้หันหลังไปเลยตลอดการเดินทางมายังสถานที่นี้ คุณชายน้อยจวินมั่นใจอย่างมากว่า ไป๋ลี่หลัวหยุน จักตามเขามา และ ไม่เพียงแค่ตามเขามา … เขายังพยายามไล่ให้ทันเขาด้วย
เห็นได้ชัดว่ามันทำให้มีความไม่สบายใจเกิดขึ้นในใจของ ไป๋ลี่หลัวหยุน
” มันเป็นกงการอะไรของเจ้า ? “
ไป๋ลี่หลัวหยุน ถามท่าทีเฉยชา
” ความจิรงนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า ความจริง เจ้าจักไม่เป็นภัยกับสกุลข้าหากเจ้าตาย ”
จวินโม่เซี่ยยิ้มและเอ่ยต่อ
” แต่มีบางอย่างที่ข้าพบว่ามันประหลาดอย่างมาก เจ้ามาที่นี่ทำไมเมื่อเจ้ารู้ว่าต้องตาย ? “
” นั่นมิใช่ธุระของเจ้า ! ”
ไป๋ลี่หลัวหยุนเอ่ยด้วยโทสะ .เจ้าเหลือขอผู้นี้เอ่ยเรื่องไร้สาระต่อหน้าข้า ! เขารู้อะไรในสิ่งที่เขาเอ่ย ?
” ข้าเดาว่ามีใครบางคนขู่บังคับเจ้ามาที่นี่ใช่ไหม ? “
จวินโม่เซี่ยพึมพัม
” ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาขู่เอาชีวิตคนที่เจ้ารักที่สุดใช่หรือไม่ … ? มิเช่นนั้นทำไมเจ้าถึงมาที่นี่เมื่อรู้อยู่แล้วว่าต้องตาย ? เจ้าดูเหมือนคนโง่จากสิ่งที่ข้าเคยเห็นมา … ”
ไป๋ลี่หลัวหยุนไร้ว่าจา
การคาดเดาของอีกผู้นั้นนถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเข้าใจธรรมชาติของเขาได้อย่างแม่นยำ เขามิได้เอ่ยว่าจา แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ได้เห็นถึงความจริงผ่านเขา
นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับผู้ที่อายุน้อยกว่าเขา
” เจ้าต้องการเป็นผู้นำสกุลไปลี่มิใช่หรือ ? “
จวินโม่เซี่ยเคี้ยวก้านหญ้าครึ่งหนึ่งไว้ระหว่าฟัน ดูราวกับเขากำลังพูดกับเมฆขาวเบื้องบน
” เจ้านั้นสงบ ใจดำ โหดร้าย และกล้าหาญอย่างมาก และเจ้าจะไม่หยุดเลย ยิ่งไปกว่านั้น ความปรารถนาที่จักแก้แค้นของเจ้านั้นรุนแรงนัก และเจ้าก็ปรารถนาในอำนาจเช่นกัน เจ้าต้องการแก้แค้นแต่เจ้าก็ไม่แข็งแกร่งพอ เจ้าไม่มีอนาคตในสกุล ไป๋ลี่ เช่นนั้น เจ้าจึงปรารถนาที่จักทรงพลังที่สุดในสกลเนื่องจากเจ้าไม่สามารถแก้แค้นได้โดยไร้พลัง ข้าพูดถูกหรือไม่ ? “
” และอีกครั้ง มันเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า ? ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพยายามพูด ! ”
ไป๋ลี่หลัวหยุนน้ำเสียงไม่สุภาพ และเต็มไปด้วยความเกลียดชัง อย่างไรก็ตาม จวินโม่เซี่ยรู้ว่าวาจาของเขาทิ่มแทงหัวใจของเด็กหนุ่มผู้นี้ มิเช่นนั้นผู้สันโดษผู้นี้คงไม่เอ่ยวาจามากมาย
” แท้จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า แต่ความปรารถนาของเจ้าจักไม่บรรลุผล หากเจ้ายังอยู่ในสกุล ไป๋ลี่ ”
จวินโม่เซี่ยยืนขึ้นและหันไปทันที เขามองตรงไปยังดวงตาของ ไป๋ลี่หลัวหยุน และเอ่ย
” กระนั้น ข้าจักทำให้มั่นใจว่ามันจะเป็นจริงหากเจ้าเข้าร่วมกับข้า ! “
” เจ้า ? “
ไป๋ลี่หลัวหยุน เพ่งมองฝ่ายตรงข้ามเยือกเย็น
” เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้น ? สถานการณ์ของสกุลจวินมิได้ดีเช่นกัน และ สกุลไป๋ลี่เป็นหนึ่งในเก้าสกุลยิ่งใหญ่ เช่นนั้น ข้าก็รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับสกุลจวิน สกุลของเจ้ามิอาจเทียบกับสกุลไป๋ลี่ได้เลยนตอนนี้ ! ”
” เจ้าผิดแล้ว และ สกุลจวินของข้าไม่มีส่วนเดี่ยวข้องกับเจ้า เช่นนั้น ทั้งหมดที่เจ้าต้องตอบคือ เจ้าจักเข้าร่วมกับข้าหรือไม่ ? “
จวินโม่เซี่ยยิ้ม
“มาคุยกับถึงสถานการณ์ของเจ้า เจ้าต้องรู้ว่าเจ้านั้นไร้ความหวังแม้เล็กน้อยในสกุล ไป๋ลี่ เจ้าสามารถตายได้หลายสิบครั้งในการเดินทางครั้งนี้ด้วยนับล้านเหตุผล เช่นนั้น ข้าเชื่อว่านี่คือโอกาสสุดท้ายที่เจ้าจักเลี่ยงความตายได้ และบางทีข้าอาจจะหลอกเจ้า …. และเจ้าได้ยอมรับว่าเจ้าอาจตายในการต่อสู้ที่ ป่าเถียนฟา หากเจ้าไม่คว้าโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ ความจริง ข้าเชื่อว่าแม้แต่กระดูกของเจ้าก็จักกลายเป็นอาหารอันโอชะของเหล่า อสูรเชวียน ! “
ไป๋ลี่หลัวหยุน เพ่งมองจวินโม่เซี่ยอย่างเงียบๆ และ จวินโม่เซี่ยมองตอบด้วยรอยยิ้ม ยังคนเป็นเช่นนั้นไปชั่วระยะ จากนั้น ในที่สุดเขาเงยหน้าขึ้นและทำลายความเงียบ
” ข้าจักอยู่หรือตายมันสำคัญอย่างไร ? มีชีวิต หรือ ตาย ไม่มีความหมายต่อข้า ชีวิตข้าในโลกนี้ไร้ความสุข และความตายนั้นหมายถึงอิสระ ความจริง มันหมายถึงอิสระภาพที่มีความหายอย่างมากต่อคนเช่นข้า ”
” อิสระ ? แต่ข้านั้นต่างออกไป หากข้าตาย … ข้าก็เลือกที่จักตายหลังจากได้ล้างแค้นแล้ว ”
จวินโม่เซี่ยตอบอย่างสงบนิ่ง
” แก้แค้น …”
มันดูราวกับมีการระเบิดเกิดขึ้นในดวงตาของ ไป๋ลี่หลัวหยุน วาจานี้พูดไปยังหัวใจของเขา เช่นนั้นเขาจึงหันไปมองจวินโม่เซี่ยและเอ่ย
” ข้ามีสองเงื่อนไข ข้าสัญญาจะเข้าร่วมกับเจ้าหลังจากจบเรื่องที่ป่าเถียรฟา หากเจ้ายอมรับ
” อย่างแรก เจ้าต้องเอาชนะข้า เจ้าต้องเอาชนะข้าด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้านั้นแข็งแกร่ง แต่ข้าต้องมั่นใจ ท้ายที่สุดข้าก็จักเข้าร่วมกับเด็กที่มีความสามารถสูงสุด
” และอย่างที่สอง มีคนจากสกุลไป๋ลี่จำนวน ห้าคนมายัง นครสวรรค์ใต้ ยอดฝีมือสวรรค์เชวียนสี่และข้า ข้าต้องการให้พวกเขาสี่คนตาย
“ข้าจักติดตามเจ้าสิบปีหากเจ้าทำให้สองเงื่อนไขสีสำเร็จ และข้าจักจากไปหากเจ้าไม่สามารถทำให้ข้าสำเร็จปรารถนาได้ภายในสิบปีนั้น อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ชีวิตข้าที่รับใช้เจ้าหากเจ้าสามารถทำให้มันสำเร็จได้ แต่จักเป็นชีวิตของคนทั้งสกุลไป๋ลี่ ! ”
จวินโม่เซี่ยได้ยินสองเงื่อนไขนั้น จากนั้น เขาก้าวขึ้นหน้าและมองไปยัง ไป๋ลี่หลัวหยุน ด้วยรอยยิ้มเจือจาง ขณะที่เขาก้าวถอยและจากไป เขาไม่หันหลังมามองจนลับสายตาไป
เงื่อนไขเหล่านี้ไม่มีปัญหากับข้า ! ตอนนี้ข้าสามารถจัดการกับเจ้าได้อย่างง่ายดาย และ ข้าสามารถดูแลเพื่อนจากสกุลไป๋ลี่ได้อย่างแน่นอน ! เจ้าไม่คิดหาเงื่อนไขอื่นแล้วหรือ ?
เด็กน้อย รอจนกว่าข้าจักควบคุมเจ้าได้ !
จวินโม่เซี่ยใช้เคล็ดชั้นเลิศของเขา และกลับไปยังค่ายของเขาอย่างลับๆ อย่างไรก็ตาม เขาประหลาดใจที่ได้เห็นกองกำลัง สองหมื่นตั่งกระโจมของพวกเขาเสร็จแล้ว อีกทั้งพวกเขายังเริ่มคุ่มกันค่ายในตอนที่เขาไปถึง ค่ายนี้อยู่ในเมือง แต่พวกเขาก็ยังสร้างกำแพงป้องกัน และพวกเขาก็ได้สร้างสิ่งกีดขว้างไวทั้งสองฝั่ง คูน้ำ และกับดัก และ ธนูที่ว่าไว้สำหรับซุ่มโจมตี ยิ่งกว่านั้น ทหารยามตรงทางเขานั้นตื่นตัว พวกเขาแต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขะมักเขม้น ขอบเขตของค่ายถูตรวจตราด้วยหน่วยลาดตระเวน
ช่วงเวลานั้นถูกแบ่งเป็นสี่กลุ่ม สองกลุ่มจักทำหน้าที่เดียวกันพร้อมกัน หนึ่งกลุ่มทำหน้าที่ขณะที่อีกกลุ่มเฝ้าระวัง สิ่งนี้ทำให้มั่นใจว่ามีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา
คำสั่งที่เข้มงวดของกองทัพนี้ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะมีการลอบโจมตี และ การเปลี่ยนกะเป็นประจำทำให้มั่นใจว่าทหารได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ
น่าเสียดายที่พวกเขาถูกส่งให้เผชิญหน้ากับ กบฏอสูรเชวียน ดังนั้น ทหารสามัยเหล่านี้ จึงไม่มีโอกาสรอดชีวิต จวินโม่เซี่ยตระหนักถึงสิ่งนี้หลังจากเขาได้เห็นกองกำลังของ อสูรเชวียน
คนสองหมื่น … กับทหารของเขา เจ้าหน้าที่อันดับสูง ยอดฝีมือ คุณชายจากสกุลสูงส่ง เหล่านี้ … เป็นดังแมลงวัน พวกเขาถูกส่งมาตาย
คนเหล่านี้เป็นตัวเบี้ยร้อยเปอร์เซ็น !
จวินโม่เซี่ยถอนใจเบาๆก่อนจะเดินตรงไปยังค่ายของเขา
เขากำลังจะเข้าไปเมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศไม่ปกติ
กวนเซียงฮั่น ปลอบใจ ตู่กู้เซี่ยวอี้ เนื่องจากเรื่องบางอย่าง ใบหน้าอันงดงามของ คุณหนูตู่กู้เต็มไปด้วยน้ำตา ราวกับนางได้รับเรื่องราวน่าเศร้าบางอย่างอย่าง
” เกิดอันใดขึ้น ? ”
” ฮืออ ฮือออ …. พี่โม่เซี่ย …. เจ้าขาวน้อย …หายไป ….”
ตู่กู้เซี่ยวอี้ มองเขา จาหนั้น นางพุ่งตรงไปหากเขา และร้องไห้นำ้ตาไหลออกมา
” โอ้ เช่นนั้น มันหายไปตอนที่ข้าไม่อยู่ที่นี่ ? “
จวินโม่เซี่ยยิ้มเล็กน้อยในใจ
เจ้าพาตัวน่ารำคานมาที่นี่ และ ตอนนี้มันได้จากไปแล้ว ราชัญอสูรเชวียน ได้ออกคำสั่งให้อสูรเชวียนทุดตัวเข้าร่วม เช่นนั้น เจ้าขาวน้อยก็มิได้รับข้อยกเว้นมิใช่หรือ ? เจ้าขาวน้อย ยังอยู่ที่นี่ … และนั้นคือปัญหาที่แท้จริง !
” ฮืออ ฮือออ …ไม่ ข้าต้องหาเขา … เขายังไม่ได้กินข้าว … ”
ตู่กู้เซี่ยวอี้ กังวลและโศกเศร้า เจ้าขาวน้อยเป็นเหมือแอปเปิ้ลในสายตาของนาง
” พวกเรา… จะหาเขา … อาจจะ … เขาอาจจะออกไป …. เล่นสักพัก และไม่นานก็กลับมา ….”
จวินโม่เซี่ย ปลอบใจนาง
ในส่วนลึกของป่าเถียรฟา ….
กระเรียน และ หมีใหญ่ กำลังยืนตรงด้วยการเชื่อฟัง มีอีกสองผู้ที่อยู่ข้างหลังเขา ราชัญอสูรระดับเก้า จากทุกเผ่าที่อยู่ที่นี่ จากนั้น พวกเขาทั้งหมดหมอบลงกับพื้น อสูรจักเอาหางกวาดไปตามพื้นเป็นครั้งคราว และ พวกเขาไม่ปล่อยให้มีฝุ่นละอองแม้แต่น้อยในพื้นที่เล็กๆนี้
ผู้ที่อยูตรงหน้าพวกเขาอยู่ในชุดคลุมสีดำอย่างลึกลับ ขนของเขา ใบหน้า ร่างกายและขา …. ทั้งหมดถูกปิดซ่อนไว้ แม้แต่ดวงตาของเขาก็มิอาจเห็นได้
แม้แต่รูปลักษณ์ของคนผู้นี้ก็ไม่ชัดเจน เช่นนี้ ใครๆก็ลืมใบหน้าของเขาไปแล้ว …
” บอกข้า ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร ? ข้าปลีกวิเวกไปเพียงสองปี และเจ้าได้ก่อปัญหาใหญ่โตเช่นนี้ ? ตอนนี้เจ้ากล้าพอที่ทำให้ ยอดฝีมือทั้งหมดมารวมตัวกัน ? หือ ? “
คนลึกลับเอ่ยขึ้น เขาคือ ราชัญแห่งเถียรฟาอย่างแท้จรอง ผู้เดี่ยวกับที่คุยกับลี่จือเทียนก่อนหน้านี้
” พี่ใหญ่ … นี่ …นี่ … ”
หมีใหญ่ และ กระเรียนร้อง และจากนั้นมองหน้ากัน พวกเขาไร้วาจา
” คนของเรากว่าสามล้านมุ่งออกจากป่าเถียรฟา และคนเหล่านั้นก็มีระดับหกอย่างต่ำ … ความแข็งแกร่งทั้งหมดของเถียรฟาถูกปลดปล่อย ”
ผู้ที่อยู่ในชุดคลุมคำรามทางจมูก
“เพียงแค่ลี่เจือเทียนนั้น จำเป็นต้องใช้กองกำลังจำนวนมากเพื่อจัดการหรือ ? “
” พี่ใหญ่ เรื่องนั้นมิใด้ตรงกับเรื่องนี้ …. ”
กระเรียนเอ่ย …จากนั้นเขาตีริมฝีปาก และกลืนคำที่เขาจะพูดเข้าไป
” เกิดอะไรขึ้น ?! “
ผู้ที่อยู่ในชุดคลุมปลดปล่อยพลังปราณออกมาอย่างไร้จำกัด
” ข้าต้องการรู้เรื่องทั้งหมด! บอกข้า น้องหมี่สี่ ! ”
” ข้า ..ข้า …ข้า … ข้า…”
หมีใหญ่สั่นขณะเขาตอบตะกุกตะกัก
ร่างของคนสว่างวาปและหมีใหญ่เห่าหอนด้วยความเจ็บปวด จากนั้นร่างของเขากลิ่งไปราวลูกบอล เกิดเสียงดังขึ้นเมื่อเขากลิ่นไปไกล แขนของเขาพยายามคว้าต้นไม้ใหญ่เพื่อหยุดการเคลื่อนที่ และต้นไม้เหล่านั้นหักลงก่อนเขาจะหยุด
” กลับมา ! ”
หมี่ใหญ่ประคองหลังส่วนล่างของเขาด้วยมือข้างหนึ่งเมื่อได้ยินคำนั้น จากนั้นเขามีสีหน้าบูดบึ้ง และแสดงท่าทางเชื่อฟัง
“พูด ! ”
จากนั้น หมีใหญ่ดึงสีหน้าที่เจ็บปวดขณะที่นึงได้ว่าเขาขโมยแกนเชวียนระดับเก้าในนครเทียนเชียงได้อย่างไร เขาเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาและ กระเรียนขมยแกนนั้นมา
” เจ้ากำลังบอกข้า …คนผู้นี้สามารถทำให้เราก้าวหน้าขึ้นไปอย่างง่ายดาย ? เจ้าแน่ใจอย่างนั้นหรือ ? “
ราชัญอสูรเชวียนเริ่มตัวสั่น ผ้าที่ห่อตัวก็กระเพื่อมตามไปด้วย