Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 28
นที่ 28 เรื่องเล่าของชายวิปลาส
——–
เมื่อปีแอร์หัวหน้ากิลด์ร้านขายและจ่ายยาเดินทางมาถึงเพื่อตรวจสอบผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อยังสถานีกักกันที่หกซึ่งถูกตั้งอยู่บริเวณประตูทางเข้าเมืองที่หก แต่บัดนี้มันถูกระเบิดออกมาเพราะเวทมนตร์
「ศัตรูบุก!! ปิดประตู!!!」
ทหารยามตะโกนออกมา ประตูถูกปิดลงพร้อมกับสะพานแขวนถูกยกขึ้น แต่ก่อนที่ตารางเหล็กจะเลื่อนลงมาปิดประตูอย่างสมบูรณ์มันก็ถูกเหล่าครูเซเดอร์ร่ายศาสตร์แห่งน้ำให้เป็นก้อนน้ำแข็งมาขวางทางปิดเอาไว้ก่อนจะสไลด์ตัวผ่านประตูไป แม้ว่าเหล่าครูเซเดอร์จะติดเชื้อกาฬมรณะอยู่ก็ตามแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พวกเขาได้ใช้ศาสตร์แห่งลมในการเป่าเหล่าผู้ที่เข้ามาสกัดทางของตนออกไปให้กระแทกเข้ากับกำแพงจนถึงแก่ความตาย เพราะความแข็งแกร่งของเหล่าทหารยามกับเหล่าอัศวินแห่งราชอาณาจักรนั้นแต่งต่างกันด้วยก็เป็นได้
「พวกมันแข็งแกร่งมาก!」
เหล่าทหารยามเริ่มหยิบปืนของพวกตนขึ้นมา ในขณะที่เหล่าครูเซเดอร์ของจักรวรรดิได้ตามมาสมทบพร้อมกับหยิบคทาแห่งเทพของตนออกมาและพวกเขาก็เริ่มร่ายมนตร์ซึ่งแตกต่างธาตุกันออกไปตามแบบของตน
「้เตรียมพร้อม! หน่วยแรก ยิงได้!」
แม้ว่าเหล่าปืนคาบศิลาจะถูกยิ่งมาจากด้านบนประตู แต่มันก็ไม่อาจจะโจมตีผ่านกำแพงน้ำแข็งไปได้
「หน่วยสอง ยิงได้!」
นั่นทำได้สรุปได้เป็นอย่างดีเลยว่ากระสุนปืนนั้นไม่สามารถทะลวงผ่านกำแพงน้ำแข็งเหล่านี้ไปได้เลยแม้แต่น้อย
「ให้ตายสิ เป็นพวกผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารีระดับสูงงั้นเหรอ!」
ครูเซเดอร์สามคนของราชอาณาจักรเนเดลที่นำกรงขังสัตว์เข้ามายังภายในประตูก่อนจะเปิดกรงเหล่านั้นออกมา ทันใดสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ได้ถูกปล่อยเข้าไปในเมืองหลวงของจักรวรรดิ ครึ่งหนึ่งของสัตว์เหล่านั้นเสียชีวิตไปแล้วเนื่องจากไม่สามารถทนพิษของกบฏ มรณะได้ แต่พวกที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้กระจายออกไปทั่วตลาดของเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
「พวกกระรอก มันบินงั้นเหรอ?!」
ผู้คนเริ่มกรีดร้องเนื่องจากคาดไม่ถึงกับการเคลื่อนไหวของพวกกระรอก
บางตัวปีนขึ้นไปยังรางน้ำก่อนจะบินหนีไปตามหลังคาของบ้านเรือน
เหล่าพ่อค้าที่มาจากเนเดล บอกไว้ว่าที่พวกเขานำมานั้นคือกระรอกขาว แต่จริงๆแล้วพวกมันคือกระรอกบิน ซึ่งเหล่ากระรอกบินนั้นก็เป็นสัตว์ฟันแทะเช่นกัน สินค้าที่เริ่มเข้ามาตั้งขายอยู่ภายในงานเทศกาลสินค้าแซงต์เฟลิฟชนิดแรกๆนั้นคือ เสื้อผ้า
เมื่อเหล่ากระรอกบินซึ่งเป็นพาหะนำเชื้อเข้าไปยังเหล่าเสื้อพวกนั้น มันจะกลายเป็นสื่อกลางในการติดเชื้อที่รวดเร็วมาก จากหมัดของพวกมัน
「แย่แล้ว สถานการณ์ฉุกเฉิน!! ปิดประตูชั้นสองซะ!」
ภายในเมืองหลวงของจักรวรรดินั้นมีกำแพงล้อมรอบอยู่หลายชั้นถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ถูกแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์เหมือนกับภายในวังหลวงของพวกชนชั้นปกครองและชนชั้นสูงที่แยกออกมาจากแหล่งที่อยู่อาศัยทั่วไป เพราะชั้นที่สองนั้นมีไว้สำหรับเหล่าชั้นชนสูงที่อาศัยอยู่บริเวณชานเมือง ส่วนทางชั้นแรกนั้นคือแหล่งที่อยู่อาศัยของเหล่าทหารและประชาชน จากมุมมองการป้องกันแล้วมีตรอกซอกซอยมากมายถูกสร้างขึ้นโดยเจตนาที่ให้สามารถมองเห็นเส้นทางได้ง่ายจากทุกมุม แม้ว่าประตูชั้นนอกนั้นจะถูกทะลวงผ่านมาได้แต่ประตูชั้นที่สองก็ยังสามารถต้านทานศัตรูได้อยู่
ประตูที่สองซึ่งจะนำทางไปยังที่พักของเหล่าชนชั้นสูงและหน่วยบริหารนั้นได้ถูกปิดลงทันที
「กลับเข้าบ้านแล้วปิดประตูซะ! อย่าให้พวกกระรอกที่ติดเชื้อพวกนี้เข้าไปข้างในได้!」
สัญญาณไฟที่ถูกใช้ในกรณีของการถูกข้าศึกรุกรานถูกจุดขึ้นไปบนท้องฟ้าจากหอคอยประตูที่หกและนั่นทำให้ทั้งสำนักงานต่างของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟและกองกำลังภายในวังได้รับการแจ้งเตือนทันที ผู้เฝ้าหอได้ลั่นระฆังส่งต่อกันไปทั่วทั้งเมืองหลวง เสียงระฆังได้ดังกึกก้องทั่วทั้งเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่เสียงระฆังเตือนภัยดังขึ้นร้านค้าทุกร้านภายในเมืองหลวงต่างรีบเก็บข้าวของและปิดตัวลง ผู้คนข้างนอกเริ่มหนีไปซ่อนตัวอยู่ภายในร้านค้าแม้กระทั่งเหล่าขอทานก็เช่นกัน ผู้คนรีบอพยพที่ตามแหล่งหลบภัยที่ตนหาได้อย่างรวดเร็ว
「โถ่เว๊ย!!!」
หัวหน้ากิลด์ปีแอร์ได้คลานออกมาหลังจากซากของสถานกักกันที่ถูกทำลายไปโดยในมือของเขานั้นยังคงถือกล่องยาเอารักษาเอาไว้เป็นอย่างดีแม้ร่างกายของเขาจะเต็มไปด้วยบาดแผล
「ถ้าเป็นแบบนี้ละก็!」
นี่เวลาที่จะได้ใช้ยาสูตรพิเศษสปาร์ฟลอกซาซินแล้ว
จากที่ฟาร์มาเคยพูดเอาไว้
ไม่สำคัญว่าเลือดของเขาจะเป็นสีอะไร สถานะของพวกเขาจะเป็นเช่นไรแม้ว่าจะเป็นนักโทษหากยังมีชีวิตอยู่เราก็จะรักษาพวกเขาด้วยความเสมอภาค หากมีใครคนใดคนหนึ่งได้ไม่รับการรักษาและติดเชื้อแล้วหนีไปยังที่อื่นนั่นแหละจะกลายเป็นพาหะกระจายเชื้อกาฬมรณะได้เป็นอย่างดี
「พวกเจ้าทุกคน! ก่อนอื่น! ดื่มยานี่ซะ!」
ปีแอร์ตะโกนให้ผู้คนโดยรอบได้ยิน
เขาได้มอบยาให้กับยามเฝ้าประตู ประชาชน พ่อค้า ก่อนจะนำแปรงลงไปแช่ที่หม้อจากกล่องเครื่องมือของเขาและใช้มันในการแต้มหมึกซึ่งไม่สามารถล้างออกได้ที่รับมาจากฟาร์มาซึ่งใช้มันในการระบุผู้ติดเชื้อ แต้มไปยังแก้มของทุกคนโดยหมายความว่าพวกเขาจำเป็นต้องถูกนำไปยังสถานกักกัน
「สร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาเร็วเข้า! เราต้องรีบป้องกันก่อนที่มันจะได้แพร่กระจายไปมากกว่านี้!」
ปีแอร์มอบคำสั่งให้กับเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพและเตรียมมาตรการรับมือตามคู่มือที่อ่านมา
เขาแก้ไขแนวป้องกันที่ถูกทำลายไปอีกครั้ง
สำคัญยิ่งกว่าการโจมตีจากศัตรู พวกเขาจำเป็นที่จะต้องหยุดกาฬมรณะให้ได้ก่อนซึ่งมันศัตรูที่น่ากลัวกว่ามนุษย์หลายเท่านัก ตามการคาดการของฟาร์มาหากผู้คนในเมืองหลวงติดเชื้อขึ้นมาเกินกว่า 60 เปอร์เซ็นต์พวกเขาต้องเสียชีวิตกันอย่างแน่นอน
「อย่าไปยอมแพ้ให้กับกาฬมรณะ! พวกเราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!」
ปีแอร์ตะโกนมันออกมาจากจิตวิญญาณ
โดยส่วนใหญ่แล้วหนูและหมัดจะเป็นสื่อกลางในการแพร่กระจายเชื้อได้เป็นอย่างดี แต่ภายในเมืองหลวงนี้ได้มีการจัดการกับเรื่องสุขอนามัยของประชาชนเรียบร้อยแล้ว นั่นคือเหตุผลที่ทำให้สภาพของเมืองหลวงภายในตอนนี้นั้นสะอาดสะอ้านที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ
ชาวบ้านนั้นมีการล้างมือ และใช้น้ำยาบ้วนปากอีกทั้งยังมีผ้าปิดปากกันทุกครัวเรือน การที่กาฬมรณะจะแพร่กระจายไปนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ดังนั้นจึงต้องรีบจัดการกับมันให้เร็วที่สุด แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงอยู่ดี
「ตอนนี้เราอยู่ในช่วงวิกฤติแล้ว! เร็วเข้ารีบดำเนินมาตรการตอบโต้!」
ปีแอร์ใช้ยาอย่างระมัดระวังและรักษาผู้คนไปกว่า 91 คนบริเวณซากสถานกักกันที่หก
「ยาเริ่มจะไม่พอแล้ว พยายามใช้มันให้น้อยที่สุดนะ!」
ปีแอร์นั้นไม่ลืมที่จะดื่มยานั้นด้วยก่อนจะสวมหน้ากากที่คล้ายกับหน้ากากป้องกันแก๊ส
เหล่าผู้ดูแลสินค้าจากเนเดลซึ่งอยู่บริเวณหลังประตูได้พยายามอาศัยความชุลมุนนี้ทิ้งสัมภาระของตนแล้วหนีกลับไปยังที่ที่ตนจากมา
「หยุดอยู่ตรงนั้นซะ!」
ไม่ทันที่จะได้ทำเช่นนั้นหน่วยไล่ล่าหน่วยที่หนึ่งซึ่งไล่ล่าพวกเขามาตั้งแต่ที่เอสทาร์กเข้ามาจับกุมตัวคนพวกนั้นเอาไว้
พวกพ่อค้าที่พยายามจะหลบหนีก็ต่างถูกปิดทางโดยเหล่าม้าซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก
「ฮิ๊ ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย!!」
「ยอมจำนนซะไอ้พวกชั่ว!! หากยังอยากจะมีชีวิตอยู่แต่ถ้าไม่ข้าก็จะไม่ปรานีพวกเจ้าอีกต่อไป!」
นักบวชพูดของเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง เหล่าพ่อค้ากลัวจนหัวหดและคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อยอมรับการจับกุม แต่ก็มีพ่อค้าอยู่คนหนึ่งที่เริ่มเสียสติไปแล้วชักมีดออกมาก่อนที่จะถูกเหล่านักบวชฆ่าตาย หลักคำสอนของทางวิหารเทพนั่นคือการลงทัณฑ์คนบาปและช่วยเหลือเหล่าผู้กลับใจ
พวกเขาทั้งหมดมีอาการไข้สูงดังนั้นกลุ่มผู้ที่ยอมจำนวนจึงได้รับยารักษาและถูกคัดแยกกักกันโดยเหล่านักบวช ส่วนทางสินค้านั้นก็ถูกเผาไปพร้อมกับศพผู้ที่ต่อต้าน
「หลบไป!!! เปิดทางซะ!!」
เหล่ากองทัพครูเซเดอร์แห่งกองทัพบกของจักรวรรดิและเหล่าทหารรักษาพระองค์ภายใต้การบังคับบัญชาของจักรพรรดินี ต่างกระจายกำลังล้อมเหล่าครูเซเดอร์จากเนเดลที่จะบุกรุกเข้ามายังภายในประตูปราสาท
ทันทีที่พบพวกเขาได้เปิดการโจมตีก่อนจากบนหลังม้าใส่เหล่าครูเซเดอร์จากเนเดล
「” เพลิงบรรลัยกัลป์(Enfer de brûlure)” 」
เปลวไฟสีแดงที่ลุกโชนได้เข้าจู่โจมเหล่าคนของราชอาณาจักร สภาพรอบตัวพวกเขานั้นถูกปกคลุมไปได้เสาเพลิง และมันค่อยๆ ล้อมกรอบเข้ามาเรื่อยๆ เพื่อโจมตีเป้าหมาย
「” โล่สายลม(Barrière van wind)” 」」
ป้องกันการโจมตีจากไฟและสวนมันกลับไป
ทั้งสองฝั่งต่างสู้กันโดยเอาชีวิตเข้าแลกไม่แม้แต่จะถอยหนีคำสั่งหลวงที่มอบให้แก่เหล่าอัศวินนั้นคือการจัดการผู้บุกรุกให้สิ้น จงใช้พลังที่มีของตนทั้งหมดโดยไม่ต้องสนใจความเสียหายที่จะเกิดขึ้นรอบบริเวณ
ด้วยความภาคภูมิใจแห่งจักรวรรดิ พวกเขาจำเป็นจะต้องจัดการกับเหล่าครูเซเดอร์แห่งราชอาณาจักรเนเดลให้จงได้
เพราะตอนนี้พวกเขาถูกล้อมไว้ด้วยกองทัพของจักรวรรดิทุกด้าน ครูเซเดอร์แห่งราชอาณาจักรเนเดลได้เตรียมตัวตายเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะทำการต่อต้านครั้งสุดท้ายและ..
「” พายุคลั่ง (Storm van woede)” 」
ครูเซเดอร์แห่งราชอาณาจักรเนเดลได้ปล่อยกระรอกบินทั้งหมดที่อยู่ในกรงซึ่งรวมไปถึงซากของพวกมันที่ตายไปก่อนหน้านี้แล้วด้วย สัตว์เหล่านั้นไปปลิวไปตามสายลมและกระจายกันออกไปบนท้องฟ้า
ด้วยการโหมกระหน่ำของสายลมกาฬมรณะได้แพร่กระจายไปยังทั่วเมืองหลวงของจักรวรรดิแล้ว ลมที่พัดอย่างบ้าคลั่งนี้แรงขึ้นขั้นที่ทำให้ทั้งประตูบ้านหน้าต่างของห้างร้านนั้นปลิวกระเด็นไม่ก็ทรุดตัวลงมา
ดูเหมือนว่าพวกเขามีความตั้งใจที่จะใช้สายลมพัดพาโรคมายังเมืองหลวงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
「” สายลมแห่งการชำระล้าง(Vent de la purge)” 」
「” ชำระล้างแผ่นดิน (Purification de la terre)” 」
ภาคีอัศวินของศาสนจักรได้ทำการตอบโต้ด้วยศาสตร์แห่งลมและดินเพื่อชำระล้างเชื้อ จากคำสั่งของหัวหน้านักบวชซาโลมอน สายลมที่เปรียบเสมือนลมหายใจแห่งพระเจ้าได้สร้างพายุหมุนขึ้นมา ลานถนนของเมืองหลวงที่ทอดไปยาวหลายสิบเมตรได้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้
「พวกเจ้าไม่ใช่ผู้ที่สมควรได้รับพรแห่งพระเจ้า พระองค์โปรดทรงลิดรอนเอาสิ่งสุดแสนล้ำค่าจากพวกมันมาเสีย!」
พวกเขาถูกตัดสินโทษโดยตรงจากหัวหน้านักบวชซาโลมอนด้วยเสียงที่แข็ง
ความสามารถพิเศษของโบสถ์นั้นคือการที่สามารถควบคุมการเปิดและปิดชีพจรการไหลเวียนของพลังแห่งเทพของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพ ซึ่งมันเป็นเทคนิคลับเฉพาะที่จะถูกส่งผ่านให้กับเหล่าผู้นำประจำพื้นที่นั้นๆเท่านั้น แม้ว่าจะไม่สามารถปิดชีพจรแห่งเทพอย่างสมบูรณ์ได้หากไม่รู้ถึงชื่อของเป้าหมายแต่มันก็ยังพอที่จะสามารถยกเลิกผลของศาสตร์แห่งเทพที่กำลังจะใช้ได้ ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้มันก็เป็นแค่คนธรรมดา
「โอ้วววว!!」
กองทัพนักบวชติดอาวุธได้เข้ามาห้อมล้อมครูเซเดอร์
หัวหน้านักบวชได้เริ่มทำการขับร้องบทเพลงที่ใช้ในการตัดชีพจรแห่งเทพ เหล่าครูเซเดอร์ของราชอาณาจักรเห็นดังนั้นจึงได้ทำการโจมตีหัวหน้านักบวชก่อน แต่ในทางกลับกันกองกำลังอันแสนยอดเยี่ยมจากทางศาสนจักรและเหล่าอัศวินของจักรวรรดิได้เข้ามาปกป้องหัวหน้านักบวชเอาไว้
「” เปลวไฟแห่งการจองจำ(Prison de la flamme)” 」
ผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพระดับสูงของทางจักรวรรดิได้เริ่มร่ายมนตร์บทใหญ่และมันก็ได้ล้อมเหล่าครูเซเดอร์ของราชอาณาจักรเอาไว้ด้วยกำแพงเปลวไฟ
「” ความแห้งแล้งของฤดูใบไม้ผลิอันศักดิ์สิทธิ์(Fermez le Puits sacré)” 」
หัวหน้านักบวชซาโลมอนได้ทำการร่ายมนตร์เสร็จสิ้นแล้ว
วงแหวนแห่งแสงจากคทาแห่งเทพได้ถูกยิงเข้าไปยังเหล่าผู้รุกรานและหายเข้าไปในร่างกายของพวกเขาก่อนจะมีลูกศรน้ำแข็งนับไม่ถ้วนไหลพุ่งตามไป
เหล่าผู้รุกรานที่สูญเสียอำนาจในการใช้ศาสตร์แห่งเทพไปไม่สามารถป้องกันตัวได้และถูกศรน้ำแข็งเจาะผ่านร่างไป
อัศวินคนหนึ่งที่รู้เรื่องเกี่ยวกับกาฬมรณะมากที่สุดได้ล้มลงสู่พื้นดินและมองดูลมหายใจสุดท้ายของตน
เปลวเพลิงที่ถูกสร้างขึ้นมาจากกำแพงเปลวไฟนั้นได้กลืนกินซากศพของเหล่าผู้รุกรานจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก
___________________________________________
「ฝ่าบาท! บัดนี้สถานกักกันที่หกได้ถูกโจมตีโดยครูเซเดอร์ของทางราชอาณาจักรเนเดลแล้วพ่ะย่ะค่ะ」
「พวกมันมากันกี่คน?!」
จักรพรรดินีถามด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้ยินถึงการโจมตีจากศัตรูและดูท่าทางจะอารมณ์ดีแปลกๆ
「ทั้งหมด 5 คนพ่ะย่ะค่ะ」
แม้ว่าครูเซเดอร์หนึ่งคนจะเทียบได้กับกำลังรบของทหารราบหนึ่งร้อยคนก็ตาม แต่จักรพรรดินีก็แสดงท่าทางผิดหวังออกมา
「แบบนี้มันก็ไม่ใช่ความวุ่นวายที่ถึงขนาดต้องลั่นระฆังเตือนภัยเลยนี่?」
เนื่องจากการลั่นระฆังเตือนภัยเป็นเวลานาน จักรพรรดินีเลยแสดงอาการที่ร้อนใจบ้างในตอนแรก
「ถ้าอย่างงั้น เราจะออกไปบดขยี้มันด้วยตัวเอง」
เธอยิ้มออกมาก่อนจะยกสะโพกของเธอขึ้นมาจากบัลลังก์
「ฝะ-ฝ่าบาท แบบนั้นมัน……」
「อะไรกัน เราไม่ฆ่าพวกมันหรอก แค่เอาให้ถึงปางตายเท่านั้นเอง」
หากเอลิซาเบทซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งนี้ออกไปละก็ ทุกอย่างมันคงจะจบสิ้นทันทีเป็นแน่แท้ พวกเหล่ารัฐมนตรีเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วเธอต้องการไปป้องกันประเทศจากศัตรูหรือแค่สนองความต้องการจากบุคลิกกระหายเลือดของเธอจากคำพูดที่ว่า “ต้องการทำความสะอาดด้วยตนเอง” แต่ถึงอย่างนั้น….
「ฝ่าบาท กรุณารอก่อน」
บรูโนเข้ามาหยุดจักรพรรดินี
「มันอันตรายมาก หากจะให้พระองค์ออกไปอยู่แนวหน้าเช่นนั้น」
「ท่านควรคิดนะว่าใครกันแน่ที่ควรห่วงและเราก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนั้นด้วย」
ดูเหมือนว่าเปลวไฟแห่งการต่อสู้ในดวงตาของเธอกำลังลุกโชนอยู่คำพูดของบรูโนจึงได้ไปจุดเอาประกายบางอย่างในตัวเธอและทำให้เปลวไฟนั้นหายไป
「กาฬมรณะที่อยู่บริเวณเมืองมาร์เชลจะต้องเข้ามายังเมืองหลวงแล้วแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ」
「ท่านพูดอะไรของท่านกัน?」
อัตราการเสียชีวิตจากกาฬมรณะนั้นอยู่ในระดับที่สูงมากจนมันถูกเรียกว่าราชาแห่งโรคระบาด “แล้วจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นอย่างไรบ้าง?” จักรพรรดินีคิดและใบหน้าเริ่มซีดเซียว แม้แต่ตัวเธอที่สุดจะแข็งแกร่งก็ไม่มีวิธีการที่จะต่อสู้กับโรคได้ อีกทั้งเธอยังเคยเกือบจะตายเพราะวัณโรคด้วย
「จุดประสงค์ที่แท้จริงของทางเนเดลยังไม่อาจทราบได้ ดังนั้นกรุณาพำนักอยู่ที่พระราชวังก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ」
รัฐมนตรีกิจการแห่งรัฐฟิลิปได้ออกมาเสริมเรื่องที่บรูโนกล่าว
「กระหม่อมอยากจะให้พระองค์ใช้ยารักษาเอาไว้ป้องกันกาฬมรณะด้วยพ่ะย่ะค่ะ」
ถ้าหากจักรพรรดินีซึ่งเป็นผู้นำประเทศมาติดเชื้ออีกด้วยแล้วก็คงจะไม่สามารถทำอะไรกันต่อได้
บรูโนได้นำยาที่ฟาร์มาทำมอบให้กับเหล่ารัฐมนตรี และคนเหล่านั้นซึ่งไว้ใจฟาร์มากับบรูโนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ดื่มมันลงไปอย่างไม่ลังเล
「แล้วเหตุใดเนเดลถึงต้องมาโจมตีเมืองหลวงของเรากันล่ะ?」
หลังจากจักรพรรดินีดื่มยาเสร็จเธอก็เปิดปิดพัดเธอของไปมาด้วยความหงุดหงิด นี่มันก็ผ่านมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วที่เนสีชาดลนั้นได้กลายมาเป็นรัฐบริวารของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟและยังผูกกันในฐานะพันธมิตรที่จักรวรรดิต้องปกป้องอีกด้วยไม่มีเหตุผลที่จะต้องเป็นศัตรูกันเลย
จากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์องค์ก่อนของเนเดลบุตรชายของเขานั้นเพิ่งอายุได้เพียง 4 ปี ซึ่งมีผู้สำเร็จราชการแทนช่วยดูแลอยู่ในตอนนี้ แม้ว่าจะเกิดการกบฏขึ้นและมีสงครามภายใน แต่การจะมุ่งร้ายต่อจักรวรรดินั้นก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ถูกต้องนักหากจะส่งครูเซเดอร์มาจู่โจมเพียง 5 นาย
ถ้าเป็นแบบนั้น
「ใครเป็นผู้บงการเรื่องนี้กัน?」
「พวกเขาเข้าใจถึงลักษณะของกาฬมรณะเป็นอย่างดี……พวกเขาจะต้องเป็นผู้เพาะเลี้ยงมันขึ้นมาด้วยตัวเองอย่างแน่นอน บางที่พวกนั้นอาจจะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ แพทย์ แพทย์โอสถ ไม่ก็นักวิจัยแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ」
「ท่านมีใครอยู่ในใจหรือเปล่า?」
「พ่ะย่ะค่ะ……」
บรูโนกล่าวพร้อมกับขุดความทรงจำของตนในอดีตขึ้นมา
สามปีก่อนเขาเคยได้ยินมาว่าทางราชอาณาจักรเนเดลนั้นได้ต้อนรับเอาแพทย์โอสถผู้มากความสามารถแต่บรูโนนั้นไม่รู้จักชื่อของเขา ซึ่งลักษณะการรักษาของเขานั้นดูราวกับปีศาจเลยทีเดียว
เขาอ้างชื่อว่าตนนั้นคือแพทย์โอสถสุดอัจฉริยะของโนวารูต ซึ่งมีความสามารถในการรักษาเฉพาะทางเช่นเดียวกับบรูโน แต่เขาขาดความเป็นมนุษย์ไปอย่างสมบูรณ์ ทั้งในเรื่องของศีลธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลองอันโหดร้ายกับมนุษย์ด้วยกันอยู่หลายหน
ก่อนที่เขาจะถูกไล่ออกนั้นเขาได้รับเงินก้อนใหญ่มาจากเหล่าชนชั้นสูงบางกลุ่มของเนเดลและทำการทดลองเกี่ยวกับยาพิษที่จะสามารถสังหารผู้คนได้เป็นจำนวนมากและว่ากันว่าสารพิษที่เขาพัฒนาขึ้นมานั้นถูกนำมาใช้ในการลอบสังหารผู้นำของรัฐในหลายๆแห่งเลยทีเดียว
เขาจะทำทุกวิถีทางหากมันเป็นประโยชน์ในการทดลองของเขา เขาใช้นักโทษจำนวนมากในการทดลองของเขา
ความโหดร้ายของเขานั้นทำให้ทางศาสนจักรจำเป็นที่จะต้องตัดชีพจรแห่งเทพของเขาและลดชนชั้นให้กลายเป็นเพียงแค่สามัญชนนั่นคือเรื่องราวของนักวิจัยผู้นั้นในอดีต
บรูโนนั้นก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เข้าไปทำลายแผนการงานทดลองและช่วยขับไล่คนผู้นั้นออกไปเช่นเดียวกัน
「บางทีมันอาจจะเกี่ยวกันกับการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์องค์ก่อนๆด้วยก็ได้พ่ะย่ะค่ะ」
ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่เขาจะใช้คนในการเป็นพาหะนำเชื้อโรคที่ร้ายแรงเข้ามาทำลายประเทศโดยการกระจายกันต่อๆไปราวกับโรคระบาด
โรคนั้นเกิดมาจากแบคทีเรียที่ติดจากสัตว์ตัวหนึ่งสู่อีกตัวหนึ่งและมันก็นำมาติดให้กับมนุษย์คนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง นั่นคือลักษณะของเชื้อและวิธีในการใช้งาน แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นแต่มั่นใจได้ว่าเขาน่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าฟาร์มา
และกล้องจุลทรรศน์นั้นจะกลายเป็นสิ่งยืนยันในสมมุติฐานของเขา เขาจะเห็นมันหรือเปล่าเหล่าแบคทีเรียที่เคลื่อนไหวไปมาภายในร่างกายของคนที่ตายไปแล้ว? เขาจะจ้องมองมันด้วยรอยยิ้มอันน่าขนลุกและไร้ซึ่งความปรานีหรือเปล่า?
「เมดิซิส เจ้าคงยังไม่เข้าใจถึงความงดงามที่แท้จริงของโลกใบนี้สินะ?」
บรูโนไม่อาจลืมคำพูดที่เขาได้ยินในวันที่ชายคนนั้นโดยตัดชีพจรพลังแห่งเทพไปและทำให้ไม่สามารถใช้ศาสตร์แห่งเทพได้ก่อนจะถูกเนรเทศออกไปแล้วกลายเป็นเพียงสามัญชน
「หากทำการรักษาแล้วรักษาอีกสุดท้ายมนุษย์ก็จะตายอยู่ดี แต่ถ้าหากทำการฆ่าแล้วก็ฆ่าอีกมนุษย์ก็จะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่」
แพทย์โอสถผู้ชั่วร้ายนั้นมีนามว่า คามิว
หากความรู้ของฟาร์มานั้นได้รับการแพร่กระจายไปยังที่ต่างๆบนโลกนี้จากจดหมายของบรูโน
มันจะสามารถย้อมสีแห่งความชั่วร้ายนี้ให้เลือนหายไปได้…
「โลกใบนี้ไม่ได้ถูกทำลายลงง่ายขนาดนั้นหรอกนะ」
ปีศาจต้องเป็นผู้สิงสู่คามิวอยู่เป็นแน่แท้ นั่นคือสิ่งที่บรูโนคิด
「สำหรับชายผู้นั้นเราควรจะจัดการเขาเสียพ่ะย่ะค่ะ」
บรูโนรู้สึกเสียใจที่เขาไม่ได้จัดการคามิวตั้งแต่ตอนนั้น
「แล้วเหล่าประชาชนภายในเนเดลล่ะ จะเป็นเช่นไร?」
จักรพรรดินีถามบรูโนด้วยคำถามง่ายๆ
「กระหม่อมเชื่อว่าตอนนี้พวกเขาน่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวายไม่ต่างจากทางนี้พ่ะย่ะค่ะ」
บรูโนตอบ เนเดลนั้นอาจถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่ก็ระหว่างเกิดการรัฐประหาร
เพราะคนๆนั้นฆ่าคนได้อย่างง่ายดายและเป็นธรรมชาติ แม้จำนวนตัวทดลองจะลดลงไปแต่เขาก็สามารถหามันมาใหม่ได้เสมอ
「เข้าใจแล้ว」
หลังจากตัดสินใจจักรพรรดินีได้ยืนขึ้นและกล่าวคำสั้นๆด้วยเสียงที่สมกับอำนาจขององค์จักรพรรดิ
「ส่งความช่วยเหลือไปยังเนเดลเสียและขณะที่กำลังเกิดเรื่องขึ้นอยู่นี้…… 」
“พวกเราจำเป็นที่จะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเมืองหลวงของเรา” จักรพรรดินีกล่าวก่อนจะเรียกโนอาร์ที่มาพร้อมกับคทาแห่งเทพสีชาดของเธอ
_____________________________________
「คุณเซดริกคะ เราจะทำยังไงกันดีคะ? เสียงระฆังดังแบบนี้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเลยค่ะ」
ลอตเต้ใส่ผ้าปิดปากเข้าไปเพิ่มจนเป็นสองชั้นและมองไปยังจุดที่มีเปลวไฟโหมอยู่ซึ่งนั่นเป็นจุดที่เหล่าแพทย์โอสถของกิลด์อยู่ จากสถานกักกันที่หนึ่ง
「ระฆังมันมีแนวทางการสั่นอยู่นะ นี่จะต้องมีศัตรูบุกเข้ามาโจมตีแน่นอน ส่วนจำนวนก็….เดี๋ยวนะ ….อ้อ ดูเหมือนจะไม่มากเท่าไหร่นะครับ บางทีอาจจะประมาณสิบคนเท่านั้น」
เซดริกนั้นสามารถเข้าใจถึงจำนวนของศัตรูผ่านเสียงระฆังได้ทั้งรูปแบบการทำต่อสู้และทำลายเมืองจากวิธีการสั่น
「แต่พวกที่มานั้นเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่มากความสามารถเสียด้วย」
เขาขบฟันตัวเองและคิด “หากร่างกายของเราไม่ได้มาถึงวัยนี้ แล้วก็คงจะสามารถเข้าไปช่วยรบได้แล้วแท้ๆ” ก่อนจะพูดออกมาด้วยใจจริง เซดริกนั้นไม่สามารถช่วยเหลืออะไรในเรื่องนั้นได้หากไปถึงที่นั่น เขารู้ถึงความแตกต่างของพลังดี
「ทุกคนที่นั่นต้องการยาด้วยหรือเปล่าคะ? บางทีอาจจะมีผู้บาดเจ็บก็เป็นได้นะคะ」
การต่อสู้ด้วยศาสตร์แห่งเทพนั้นเกิดขึ้นบริเวณภายในเมืองทำให้ผู้คนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก หลังคาบ้านเรือนถูกพัด บางส่วนถูกบดขยี้ไม่ก็ถูกโหมไปด้วยเปลวเพลิง ดูเหมือนจะได้ยินเสียงกรีดร้องและตะโกนออกมาจากเหล่าประชาชนผ่านทางสายลม
「ร้านขายยาต่างโลกก็อยู่ใกล้ๆกับประตูที่หกด้วยนะคะ เหล่ายาของท่านฟาร์มากำลังตกอยู่ในอันตรายค่ะ นอกจากนั้นยังอาจจะเกิดการระเบิดขึ้นก็ได้นะคะ」
ลอตเต้แสดงท่าทางกังวลเป็นอย่างมากออกมา
“ดิฉันจะไปตรวจสอบความปลอดภัยของร้านค่ะว่ามันโดนเผาหรือเปล่า” ลอตเต้ขอร้องอย่างสิ้นหวังต่อเซดริก
「ไม่ครับ ผมไม่อนุญาตให้คุณไปเพราะการต่อสู้ระหว่างผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพหากคุณเข้าไปใกล้แล้วก็รังจะเป็นแค่ตัวเกะกะ」
สำหรับเหล่าสามัญชนนั้นการจะเข้าไปในที่แบบนั้นก็มีแต่จะกลายเป็นอุปสรรคต่อพวกเดียวกันแถมยังกลายเป็นกำแพงเนื้อและตัวประกันชั้นดีของศัตรูอีกด้วย
「แต่ถ้าท่านฟาร์มากลับมา ท่านจะต้องเสียใจกับร้านที่ถูกเผาไปแน่ๆเลยค่ะ!」
ลอตเต้กล่าวพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา
「ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณท่านฟาร์มาจะไม่รู้สึกเสียใจยิ่งกว่าอีกเหรอครับ?」
ลอตเต้ไม่สามารถพูดอะไรกลับไปได้ และสิ่งที่เธอทำได้ก็มีเพียงการมองขึ้นไปบนฟ้าซึ่งมีประกายไฟปะทุออกมาด้วยความหงุดหงิด เธอคิดว่าตอนนี้ภายใต้ท้องฟ้าฝืนเดียวกันกับฟาร์มาและเอเลนที่กำลังต่อสู้รักษาผู้คนอยู่ที่เมืองมาร์เซลแน่นอน
「อ๊ะ!? นะ-นั่นมัน」
ทันใดนั้นลอตเต้ก็ชี้ไปยังท้องฟ้า มีวัตถุบางอย่างกำลังบินผ่านฟากฟ้าไปด้วยความรวดเร็วก่อนจะหยุดนิ่งอยู่เหนือเมืองหลวงของจักรวรรดิ
「นกงั้นเหรอ? ไม่สิดูยังไงก็น่าจะเป็นมนุษย์นะครับ……ใครกันนะ?」
หลังจากได้ยินคำพูดของลอตเต้ เซดริกถึงกับผงะ
ฟาร์มากลับมาถึงยังน่านฟ้าของเมืองหลวงแล้วก่อนจะร่อนลงไปยังยอดของโบสถ์ผู้พิทักษ์ในเมืองหลวง
เสียงระฆังดังก้องไปทั่วบริเวณของเมืองหลวงจนทำให้ฟังดูน่าปวดหัว
(อย่าบอกนะ……ว่ามันเริ่มขึ้นแล้ว?!)
เขากลับมายังเมืองหลวงด้วยความเร็วเต็มพิกัด ก่อนจะค่อยๆลดพลังลงเมื่อถึงจุดหมาย ถึงกระนั้น
(ไม่ทันงั้นเหรอ?! กาฬมรณะได้แพร่กระจายเข้ามาถึงเมืองหลวงแล้วงั้นเหรอ?!)
บริเวณรอบๆประตูทางเข้าที่หกนั้นกำลังเกิดเสียงดังขึ้นอยู่ซึ่งมันเป็นทางที่เชื่อมต่อไปยังหมู่บ้านเอสทาร์กอีกด้วยและยังเป็นทิศทางที่ใกล้กับร้านขายยาต่างโลกของเขาเช่นกัน
เขามองไปรอบๆเมืองหลวงด้วยดวงตาวินิจฉัยจากบนฟ้า
หลังจากทำแบบนั้นเขาได้เห็นวัตถุบางอย่างซึ่งเปล่งแสงออกมาเป็นจำนวนมากอยู่บริเวณประตูที่หก
นอกจากนั้นยังมีเหล่าลำแสงขนาดเล็กจำนวนมากที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วและไม่สามารถคาดเดาได้
เขาพุ่งตัวออกไปด้วยคทาแห่งเทพไปยังประตูที่หกก็จะสังเกตเห็นถึงสิ่งนั้นกำลังเคลื่อนไหวไปมาบนหลังคาบ้านเรื่องของเมืองหลวงซึ่งตัวมันนั้นเปล่งแส่งสีขาวอมฟ้าออกมา
「นั่นมันไม่ใช่กระรอกปกตินี่ สัตว์สายพันธ์ุใหม่กระรอกบินนี่นา……」
ฟาร์มารู้สึกตกใจ “พวกมันเป็นสัตว์ฟันแทะทั้งหมดแถมยังบินได้อีกเลวร้ายสุดๆเลยแฮะ” ฟาร์มาคิด
(ทางเนเดลรู้อย่างงั้นเหรอว่ากาฬโรคมันสามารถแพร่กระจายได้ด้วยพวกหนูกับเห็บหมัด??)
เหล่ากระรอกบินนั้นได้ถูกนำมาใช้เป็นพาหะนำโรค ซึ่งมีบางตัวที่ตายอยู่ภายในกรงแล้วด้วย ด้วยวิธีการนี้มันสามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างง่ายดาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วการติดเชื้อกาฬโรคนี้ก็คือผ่านอากาศ
การติดเชื้อผ่านอากาศนั้นถือว่าเป็นเส้นทางการติดเชื้อที่เลวร้ายที่สุดของกาฬโรคและมันยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปอดบวมซึ่งมีโอกาสเสียชีวิตถึง100เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
「มันเริ่มขึ้นแล้ว……」
เหล่าฝูงกระรอกบินนั้นได้กระจายไปยังจุดต่างๆของเมืองหลวงซึ่งกำลังถูกตามล่าและจัดการโดยเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพและนักธนู โดยทีมจัดการทั้งหมดนั้นต่างสวมผ้าปิดปากและถุงมือในการรวบรวมศพของสัตว์พวกนั้นไว้ในที่เดียวกันก่อนจะทำการเผา
ถึงอย่างนั้น
หนึ่ง สอง สาม สี่
แสงสีน้ำเงินได้เริ่มกระจายลงไปยังผู้คนที่อยู่ภายในเมืองหลวง
แสงสีฟ้าได้กระจายไปยังผู้คนราวกับแสงของทะเลเพลิง ด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้จำนวนของผู้ติดเชื้อนั้นที่อยู่ประมาณพันเศษๆแล้ว
โรคที่เมื่อติดเชื้อแล้ว จะเสียชีวิตลงอย่างแน่นอน
หากไม่ได้รับการรักษาโดยเร็ว ไม่ช้าก็เร็วกาฬโรคนั้นก็ต้องปกคลุมไปทั่วทั้งทวีปแน่ๆ
คนเป็นล้านจะต้องตาย เหมือนกับในประวัติศาสตร์โลกเดิมของเขา
แต่ว่า……ถึงจะเป็นเช่นนั้น! แสงของมัน…,
「ยังคงเป็นสีฟ้า!」
แสงสีฟ้านั่นหมายความว่าเป็นโรคที่เขาสามารถรักษาได้
เพราะถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นมันคงจะกลายเป็นสีแดงไปแล้ว หมายความว่าโรคนี้ยังสามารถจัดการได้ด้วยมือของเขาอยู่
ดูเหมือนจะกลายเป็นการทดสอบของสวรรค์ที่ส่งผ่านมายังฟาร์มา
「เราจะต้องจัดการมัน! เท่าที่พลังของเราจะทำได้!」
เกินกว่าจะอธิบาย ทั้งจักรวาล และ โลกใบนี้ เขาผู้ซึ่งกลับชาติมาเกิดและได้รับความสามารถเหนือมนุษย์
พลังที่จะสามารถช่วยเหลือเหล่าผู้คนในต่างโลกนี้ไม่ให้เข้าไปสู่ในทิศทางที่มืดมน
(หากเราไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะเอาไปใช้กันตอนไหนอีกล่ะ!)
แม้ว่าพลังแห่งเทพของเราจะหมดลงไปและทำให้เราตาย แต่ราคาที่จ่ายไปให้กับชีวิตที่สองนี้มันก็เพียงพอแล้วหากสามารถช่วยเหลือเหล่าผู้คนได้มากขนาดนี้
ด้วยความรู้สึกผ่านก้นบึ้งของจิตใจ เขาได้เอามือกุมคทาแห่งเทพของตนเอาไว้ก่อนจะหมุนร่ายมนตร์เพื่อกระจายพลังแห่งเทพไปทั่วเมืองหลวง การใช้พลังแห่งเทพในปริมาณที่มากจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เคยใช้มันขนาดนี้
「” แดนศักดิ์สิทธิ์ขจัดโรคระบาด!!!” 」
มันถูกปกคลุมไปถึงพื้นที่อันไกลโพ้น ด้วยสิ่งนี่จะสามารถจัดการกับเชื้อที่อยู่ภายในอากาศได้ความเร็วของแสงสีฟ้านั้นค่อยๆหายไปและหยุดลง แต่ถึงอย่างนั้นเชื้อที่อยู่ในตัวผู้คนนั้นก็ยังไม่ได้หายไป
「รู้แล้ว เรารู้แล้ว」
การปนเปื้อนนั้นเกิดมาจากแหล่งที่ติดเชื้อซึ่งมันจะแพร่ไปยังผู้คนได้ ดังนั้นจำเป็นจะต้องกำจัดแหล่งปนเปื้อนเชื้อที่อยู่ทั่วบริเวณเมืองหลวง
สิ่งแรกที่เขาต้องทำนั้นคือการพ่นยาฆ่าเชื้อผ่านทางอากาศ ในกรณีนั้นหากไม่มีคนอยู่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ในตอนนี้นั้นได้มีผู้คนมากมายอยู่ข้างล่างและนั่นอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายของคนก็เป็นได้
「ถ้าอย่างงั้น」
เหนือกว่าทุกสิ่งมีบางอย่างที่ส่งผลในการฆ่าเชื้อโรคที่สุดยอดเอามากๆ
สิ่งนั้นคือน้ำที่ถูกสร้างขึ้นมาจากศาตร์แห่งเทพ
น้ำที่ถูกสร้างขึ้นมาจากศาตร์แห่งเทพนั้นหากมันถูกสร้างโดยผู้ใช้ศาตร์แห่งเทพทั่วไปมันคงจะไม่สามารถสลายเชื้อได้ง่ายๆ แต่หากเป็นน้ำที่สร้างขึ้นมาจากฟาร์มามันสามารถสลายเชื้อออกไปได้ทั้งหมด ไม่เพียงเท่านั้นยังสามารถหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อและสุดท้ายเชื้อนั้นก็จะตายลงไป ที่เขารู้เรื่องนี้เพราะการทดสอบเชื้อแบคทีเรียเมื่อครั้งในอดีตตอนติดตั้งระบบน้ำภายในร้านขายยา
เพราะเขาคิดว่าผู้ป่วยที่มีอาการท้องร่วงจากแบคทีเรียในลำไส้ถูกฆ่าตายโดยน้ำที่ผู้ป่วยดื่มจากร้านของเขา ถึงแม้จะไม่ได้รับการยืนยันก็ตามที
「แล้วถ้าสร้างมันขึ้นมาโดยเสริมกับคทาแห่งเทพโอสถล่ะ……」
ฟาร์มาเหวี่ยงคทาแห่งเทพก่อนจะชี้มันขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ เขาได้ดึงเอาพลังแห่งเทพจากโลกอื่นออกมาใช้และสร้างม่านละอองน้ำกับน้ำขึ้นมาเป็นจำนวนมาก มวลของไอน้ำที่ถูกระบายความร้อนขึ้นไปยังระดับที่สูงซึ่งทำให้เกิดการควบรวมตัวกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นฝนและตกลงสู่พื้นดิน
ภายในข้อความโบราณที่ทางโบสถ์มีนั้นมันมีจุดที่ยาก ที่แม้กระทั่งหัวหน้านักบวชก็ไม่สามารถถอดความมันออกมาได้และฟาร์มาก็ไม่รู้จักเช่นกันแต่มันเป็นศาตร์ลับแห่งพระผู้เป็นเจ้าเอาไว้ซึ่งเรียกกันว่า “ฝนสีขาวแห่งการชำระล้าง” มันเป็นศาตร์แห่งเทพที่สามารถใช้ได้เฉพาะกับคทาแห่งเทพโอสถเท่านั้น
เหล่าผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ คนตาย คนหนุ่ม คนแก่ มนุษย์ สัตว์ พืช ทั้งหมดนั้นต่างถูกชำระล้างด้วยสายฝนนี้
ผู้คนได้มองขึ้นไปยังบนฟ้า และจ้องมองบางสิ่ง
นั่นคือร่างของมนุษย์ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวที่เปล่งประกายไปทั่วเมืองหลวง
ศาสตร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าที่ฟาร์มาปล่อยออกมานั้นนอกจากการหยุดเปลวไฟที่เผาไหม้แล้วมันยังกลายเป็นละอองน้ำที่ล้อมรอบเหล่าแบคทีเรียและเชื้อกาฬโรคก่อนมันจะถูกชำระล้างแล้วอากาศทั่วทั้งจักรวรรดิก็กลับมาบริสุทธิ์อีกครั้ง
ฟาร์มามองไปยังประตูที่หกด้วยสายตาอันแน่วแน่
เป้าหมายถัดไปคือการกำจัดแหล่งที่มาของเชื้อ
_________________________________________
Note : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913