Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 34
นที่ 34 โรคต้อหินและจิตกรหลวงเดล
—————-
กล่องที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยตราสีทองซึ่งบ่งบอกว่ามันมาจากวังหลวงได้วางอยู่ตรงหน้าของลอตเต้ที่กำลังประหม่าอยู่
ตัวแทนพระองค์จากสำนักราชวังได้เดินทางมายังร้านขายยาต่างโลก
ก่อนจะกล่าวว่ากล่องนี้เป็นของขวัญให้กับลอตเต้ซึ่งมันมาจากชนชั้นสูงผู้หนึ่ง
「บางทีคงจะเป็นองค์จักรพรรดินีแหละ」
เพราะตรงจุดนั้นมีซองที่เขียนด้วยลายเซ็นของเอลิซาเบทที่สองปิดผนึกไว้เป็นอย่างดี
「จากองค์จักรพรรดินีเหรอคะ?! หมายความว่ายังไงกันคะที่ว่าจากจักรพรรดินี? 」
「ก็ตามที่พูดเลย ว่ามันเป็นของที่ส่งให้ลอตเต้ จากองค์จักรพรรดินี」
ลอตเต้ที่กำลังแกะริบบิ้นสีแดงเข้มพร้อมกับซองที่ห่อหุ้มเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว แล้วมันก็พลันปรากฏกล่องที่มีลิ้นชักสองชั้น เธอจึงได้ทำการดึงลิ้นชักด้านบนออกมาอย่างกังวลใจและนำสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นออกมา
「สะ-สิ่งนี้มัน?! นี่มันคือ?!อะ-อะไรเหรอคะ?!?!?!」
ลอตเต้ทำหน้างุนงงไปหมดราวกับเธอกำลังได้ค้นพบทวีปใหม่
「ฉันสงสัยจังเลยค่ะว่านี่มันคืออะไร ท่านฟาร์มา? 」
「คุณไม่รู้เหรอ? 」
เธอมองมาที่ฟาร์มาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
「ไม่มีทางที่ฉันจะรู้ได้หรอกค่ะว่ามันคืออะไร〜……ดิฉันเป็นเพียงแค่สาวใช้เท่านั้นเองนะคะ〜」
ตัวของลอตเต้นั้นไม่เคยมีโอกาสจะได้ลิ้มลองอาหารชั้นสูง เธอจึงได้ทำแค่บิดจมูกไปมาทุกครั้งด้วยความอิจฉาขณะที่กำลังเสิร์ฟของหวานและอาหารที่บ้านเมดิซิสให้กับบลานช์และฟาร์มา ถึงแม้พักหลังมานี้เธอจะได้ส่วนแบ่งจากฟาร์มาบ้างแล้ว และปัจจุบันเธอก็นำเงินที่ได้มาจากการทำงานร้านขายยาเจียดไปซื้อพวกมันบ้างแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สามัญชนทั่วไปซื้อได้เท่านั้น
「อ่ะร่าๆ ลอตเต้จัง สิ่งนี้มันเรียกว่าช็อกโกแลตพลาลีน〜รสชาติของมันอร่อยมากเลยนะรู้หรือปล่า 〜 อ่ะไม่ใช่ว่าฉันจะไปแย่งทานหรอกนะ ดังนั้นลอตเต้จังเก็บมันไว้กินได้เลย」
เอเลนได้แอบมองเข้าไปว่ามีอะไรในกล่องเครื่องประดับนั้นข้ามไหล่ของลอตเต้ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ทำตัวแย่ขนาดไปหยิบชิ้นหนึ่งออกมาจากลอตเต้
「พลาลีน! ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะ ท่านเอเลโอนอร์!」
อธิบายง่ายๆ ช็อกโกแลตพลาลีนนั้นคือช็อกโกแลตขนาดพอดีคำ ที่ดูเหมือนจะเป็นของชั้นสูงซึ่งมักจะใช้แลกเปลี่ยนให้กันในช่วงวันวาเลนไทน์
「งั้นลองมาเปิดข้างล่างดูกันเถอะค่ะ」
ลอตเต้ดึงลิ้นชักอีกชั้นออกมา สิ่งที่ปรากฏอยู่นั้นคือขนมหลากหลายสีสันที่ถูกจัดเรียงเป็นทรงกลมอย่างดี
「อ่ะนี่มัน มาการองนี่นา ทั้งหวานและนุ่ม รสชาติดีสุดๆ ไปเลยล่ะ〜」
เอเลนได้ทำการกระตุ้นความอยากของลอตเต้
「เอเฮแห๊ะ〜 พลาลีน กับ มาการอง!!」
ลอตเต้ได้ยิ้มออกมายาวจนเกือบถึงใบหู ฟาร์มาที่นึกย้อนกลับไปทำให้รู้ได้ว่าเขาคิดไม่ผิดเลยจริงๆ นั่นคือรางวัลที่เหมาะสมกับลอตเต้เป็นที่สุด
「อ๊าา! ว่าแต่จะกินมันได้หรือเปล่าคะเนี่ย? รู้สึกเสียดายจังเลยค่ะถ้าจะกินพวกมัน! ดูสิคะออกจะเหมือนอัญมณีซะขนาดนี้!」
ลอตเต้ได้ทำการปิดลิ้นชักทั้งสองที่เต็มไปด้วยสมบัติกลับเข้าไป “ฮ่าาา〜……” , ก่อนที่เธอจะค่อยๆ ผ่อนคลายไปกับกลิ่นขนมที่ยังหลงเหลืออยู่
「คุณควรจะทานมันให้หมดเร็วๆ นะ เพราะพวกมาการองมันค่อนข้างเสียง่ายซะด้วยสิ」
ฟาร์มากล่าวด้วยรอยยิ้ม
「เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ที่จะให้กินของน่ารักขนาดนี้〜!!」
เธอกอดกล่องสมบัติของเธอพร้อมกับส่ายหัวไปมา
「จะว่าไปลอตเต้จัง ไม่ใช่ว่าคุณควรจะอ่านจดหมายจากจักรพรรดินีก่อนเหรอ? 」
ลอตเต้ได้ทำตามคำแนะนำของเธอแล้วอ่านจดหมายนั้น ก่อนที่ทำมันตกหลังจากที่อ่านจบ
「ฉะ-ฉะ-ฉัน! จะ-จะ-จะ-จะได้กลายเป็นจิตรกรหลวง?!!!!!」
ลอตเต้ตะโกนออกมาราวกับจะสิ้นสติ สำหรับสาวใช้เช่นเธอแล้ว จักรพรรดินีอยู่มีอำนาจมากที่สุดในจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟเช่นนี้ช่างเป็นตัวตนที่ราวกับเมฆบนฟ้า การที่ได้รับเกียรติจากพระองค์ให้กลายมาเป็นจิตรกรหลวงนั้นช่างเป็นโอกาสที่ราวกับปาฏิหาริย์
「ผ-ผมคิดว่าต้องเป็นเพราะอัจฉริยะภาพด้วยศิลปะของคุณแน่ๆ !」
ฟาร์มาได้พูดชมลอตเต้ในเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ก่อนที่เธอจะเรียกสติกลับมาและตอบกลับไป
「แหม〜! ไม่หรอกค่ะ〜! จริงเหรอคะ〜〜?! ฉันเนี่ยนะคะอัจฉริยะ?!」
แต่จะดูเหมือนการแสดงไปบ้าง แต่ลอตเต้ก็เชื่อที่เขาพูด
「แล้วจะเอายังไงดีล่ะ? ลอตเต้จัง」
「คือจะดีเหรอคะ〜,ฉันค่อนข้างกลัวหน่อยด้วยสิคะ จิตรกรหลวง……สำหรับฉันแล้วไม่ไหวหรอกค่ะ〜」
「ฉันคิดว่ามันค่อนข้างจะดูน่ากลัวนิดหน่อยนะหากปฏิเสธไป นอกจากนั้นหากคุณทำแบบนั้นก็หมายความว่าของหวานพวกนี้ก็คงต้องอดด้วยนี่นะ」
「ม่ายยยยย〜!」
ลอตเต้ส่งเสียงแปลกๆ ออกมาก่อนจะมองขนมกับจดหมายนั้นสลับไปมา
「ถ้าหากคุณจะมุ่งไปยังการเป็นจิตรกรหลวง หลังจากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมาช่วยงานที่ร้านของเราก็ได้นะ」
ฟาร์มากล่าวออกมาด้วยความรอบคอบแล้วว่าลอตเต้นั้นคงจะต้องยุ่งมากขึ้นแน่นอน เพราะฟาร์มาเชื่อว่าลอตเต้คงจะเลือกเป็นจิตรกรหลวงเป็นแน่ แม้จะเป็นอาชีพที่ได้รับเกียรติแต่ก็แลกมากับข้อกำจัดหลายๆ อย่างเช่นตัวเขา ฟาร์มาจึงคิดตามสมมุติฐานนี้ว่าปริมาณงานของเธอนั้นจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะสำหรับศิลปินแล้ว “จุดจบ” ของงานนั้นมันไม่มีอยู่จริง เวลามีเท่าไหร่ก็คงไม่พอ
โดยที่เขาลืมนึกถึงตัวเองไปเลยว่าสภาพก็ไม่ต่างกัน
「ฉันรู้สึกยินดีค่ะที่ได้ช่วยเหลืองานร้านขายยาและฉันก็รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้รับใช้พระองค์เช่นนี้ หากไม่เป็นการรบกวนฉันก็อยากจะทำมันทั้งสองอย่างเลยค่ะ」
ลอตเต้กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา
「งั้นผมคงต้องยกเลิกงานในคฤหาสน์ของคุณไปก่อนนะ เพราะไม่มีทางเลยที่คุณจะทำมันทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว」
「ไม่ค่ะ งานที่คฤหาสน์นั้นก็เป็นหน้าที่ของฉันเหมือนกันนะคะ」
เธอไม่มีสติจนลืมนึกถึงความหมายของคำว่าแรงงานไปแล้วจริงหรือเปล่านะ
「ยังไงผมก็จะทำแบบนั้น เข้าใจหรือเปล่า? 」
「มู่〜ไม่เอานะคะ〜นั่นงานของฉันนน〜〜」
(บางทีลอตต้อาจจะกลายเป็นคนแบบเราเอาก็ได้นะเนี่ย)
“เราคงต้องจับตาดูการจัดการงานของเธอให้มากขึ้นแล้วสิ” ฟาร์มาได้เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม
…━━…━━…━━…
หลังจากนั้นไม่กี่วันต่อมาฟาร์มาและลอตเต้ก็มายังวังหลวงเพื่อเข้าพบจักรพรรดินี
ลอตเต้ได้สวมชุดที่ซื้อมาใหม่จากเงินที่ทำงานร้านขายยา
และดูเหมือนว่าแม่ของเธอได้ทำการสั่งชุดหรูที่เหมาะกับการเข้าพบชนชั้นสูงจากร้านโดยใช้เงินเก็บของเธอด้วย เพราะนั่นเป็นการพบกับจักรพรรดินี พวกเขาคงอยากจะทำให้มันเหมาะสม
ไม่นานฟาร์มาและลอตเต้ก็ถูกนำทางไปยังห้องทำงานของจักรพรรดินี
จักรพรรดินีนั้นกำลังทำงานเอกสารร่วมกับเหล่ารัฐมนตรีและเลขานุการของเธอ ความเร็วในการเซ็นชื่อของเธอนั้นช่างเร็วอย่างน่าอัศจรรย์
「องค์จักรพรรดินี จิตรกรหลวงคนใหม่ได้เดินทางมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ」
「โอ้ นี่เจ้าเองเหรอชาร์ลอต」
จักรพรรดินีได้หยุดงานของเธอก่อนจะออกมาต้อนรับลอตเต้ด้วยรอยยิ้ม
ลอตเต้ได้ยกกระโปรงขึ้นและก้มหัวลงลึกมาก หากเทียบการเคารพแล้วดูเหมือนว่าจะทำมากกว่าตอนอยู่ในคฤหาสน์ของฟาร์มาเสียอีก เนื่องจากลอตเต้นั้นยังเป็นเพียงแค่เด็กสาวความเข้าใจในด้านมารยาทการรับใช้ของชนชั้นสูงชั้นผู้ใหญ่นั้นยังมีความซับซ้อนอยู่มาก
「เพคะ ฝ่าบาท กระหม่อมมีนามว่า ชาร์ลอต ซอยเลอร์ กระหม่อมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสในการเข้ามาเป็นจิตรกรหลวงเช่นนี้ อีกทั้งดิฉันไม่อาจจะสรรหาคำขอบคุณใดๆ มาตอบแทนได้กับของขวัญที่แสนวิเศษชิ้นนั้น」
「อื้ม งานศิลปะของเจ้าก็ถือว่าเป็นการรวมตัวกันของความบริสุทธิ์และเสน่ห์แห่งความโค้งมนจนยากที่จะหาใครเปรียบ」
「เป็นเกียรติอย่างยิ่งเพคะ ที่ได้รับคำชมเช่นนั้น」
จักรพรรดินีนั้นได้อนุญาตให้ลอตเต้เข้าไปยังส่วนของห้องศิลป์สำหรับจิตรกรหลวงโดยเฉพาะ ก่อนจะขอเธอให้ทำการสร้างผลงานชิ้นใหม่โดยใช้ เซรามิก ผ้าม่าน และกระจกสี ซึ่งสามารถสร้างได้โดยช่างฝีมือส่วนอื่นๆ
「ด้วยความที่เจ้านั้นยังเด็กเราจึงไม่อยากผลักภาระให้กับตัวเจ้าหนักจนเกินไป ดังนั้นขอเจ้าเพียงออกแบบผลงานออกมา และไม่จำเป็นต้องเข้ามาทำงานในส่วนของห้องศิลป์ก็ได้」
นั่นหมายความว่าเธอไม่จำเป็นต้องมีข้อจำกัดอีกต่อไป เธอสามารถจะทำงานอยู่ภายในบ้านและยังทำการรักษางานส่วนเดิมได้อีกด้วย
「กระหม่อมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะสร้างผลงานที่พระองค์พอใจให้ได้เพคะ」
ลอตเต้นั้นได้รับตราสัญลักษณ์ที่มีแปรงทาสีไขว้กันซึ่งมันแสดงถึงตำแหน่งของจิตรกรหลวงจากองค์จักรพรรดินีและติดมันไว้ที่อกของเธอ โดยเธอนั้นได้รับการอนุญาตให้เข้าไปยังห้องศิลป์ได้อย่างอิสระ
「ฉันประหม่าจังเลยค่ะ〜! องค์จักรพรรดินีสวยมากจริงๆ 〜ราวกับพระองค์เป็นเทพธิดาเลยค่ะ!」
หลังจากออกมาจากห้องทำงาน ลอตเต้ก็ได้ถอนหายใจออกมา ขณะกุมมือไว้ที่หน้าอก เธอบอกว่าตอนนั้นเธอเกือบจะเป็นลมและหน้าอกก็สั่นหนักมากอีกด้วย
「ยังรู้สึกประหม่าอยู่หรือเปล่า? เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง」
ฟาร์มารู้สึกโล่งใจ อีกทั้งเหล่ารัฐมนตรีก็ต่างประทับใจกับตัวเธอที่แสดงท่าทางกิริยาออกมาได้เป็นอย่างดีต่อหน้าจักรพรรดินี หลังจากนั้นลอตเต้ก็ได้เข้าไปเดินดูที่ห้องศิลป์หลวงภายในวัง พร้อมกับฟาร์มา
「ข้าเป็นหัวหน้าห้องทำงานที่นี่ ชื่อว่า ฮูเบิร์ด พยายามเข้านะ」
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าได้ออกมาต้อนรับพวกเขา
「จากนี้ก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ」
จิตรกรหลวงและช่างฝีมือหลายคนกำลังสร้างเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือน ที่ได้รับคำสั่งมาภายในห้องแห่งนี้ ภายในคนกลุ่มนั้นได้มีจิตรกรหลวงผู้สูงวัยอยู่คนหนึ่งกำลังวาดภาพเหมือนของเหล่าเชื้อพระวงศ์ด้วยใบหน้าที่จริงจัง
「เขาน่ะเป็นจิตรกรชั้นหนึ่งของที่นี่เลย เขามีชื่อว่า บารอนเดลน่ะ」
ฟาร์มาและลอตเต้ได้มองดูเขาจากที่ไกลๆ
「หืม? 」
ก่อนที่บารอนเดลจะสังเกตถึงการจ้องมองที่เข้มข้นมาจากลอตเต้
「ฉันมีชื่อว่า ชาร์ลอต ซอยเลอร์ค่ะ ภาพนี่ทำออกมาได้ดีราวกับมีชีวิตเลยนะคะ」
ลอตเต้ยืนชื่นชมทักษะที่น่าเกรงขามนี้
「ก็ไม่หรอก มีหลายคนที่ทำได้แบบนี้อยู่แล้วแต่ก็อยู่ “แค่” ในระดับดีแหละนะ」
“เอาเถอะถ้าจะให้พูดข้าก็ค่อนข้างจะมีความสามารถด้านความงดงามนี้มากไปหน่อยแค่นั้นเอง” คำตอบที่เขาเอ่ยมานั้นดูเหมือนจะเป็นการชื่นชม
อย่างไรก็ตาม ลอตเต้ก็ยังคงให้ความเคารพเขาเนื่องจากเขาสถานะของเขานั้นเป็นจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวรรดินี้จนได้รับเกียรติในการวาดภาพเหมือนของจักรพรรดินี
「เจ้าคือชาร์ลอตสินะ เข้าใจแล้ว ข้าได้เห็นรูปวาดของเจ้าแล้วนะ」
「ค่ะ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ」
「ขอพูดตรงๆ เลยละกันนะ ภาพของเจ้าน่ะมันยังดูหยาบเกินไป จนข้าไม่สามารถจะหาจุดชมได้เลยจริงๆ 」
ลอตเต้ที่ไม่เคยเรียนรู้เรื่องเทคนิคหรือเรื่องจำพวกนี้จึงไม่สามารถจะตอบโต้อะไรกลับไปด้วย จะมีก็เพียงแค่หูที่แดงเพราะโดยดูถูกด้วยความละอาย ก็เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะบอกว่าตนนั้นคือจิตรกรหลวง แต่ลอตเต้ก็เข้าใจในจุดนั้น
「ก-ก็เหมือนกับที่ท่านพูดแหละค่ะ」
ลอตเต้ตอนนี้ได้หงอยไปแล้ว
「แต่นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี」
แล้วเสียงที่ดูไพเราะของเขาก็เอ่ยออกมาราวกับว่าต้องการจะขจัดบางสิ่งออกไป
「หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าได้พยายามที่จะพัฒนาทักษะของตัวเอง ข้าได้ค้นหารูปหลายๆ รูปเพื่อที่จะนำมาเปรียบเทียบกับของจริง เพราะแบบนั้นแหละพอข้าได้เห็นรูปของเจ้า ความคิดของข้ามันก็ได้ดับลงไปจนทำให้ข้านึกขึ้นได้ว่าศิลปะนั้นคืออิสระ」
สิ่งที่ดึงดูดใจของจักรพรรดินีนั้นคือสิ่งที่ตรงข้ามกันกับศิลปะยุคก่อนๆ ที่เคยวาดมา
ตัวเขารู้สึกราวกับว่าชั่วชีวิตของตนนั้นถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงจนทำให้เขากลับมาที่จุดเริ่มต้น ก่อนจะพูดออกมาแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก
「แต่จนถึงตอนนี้ข้าก็แก่เกินกว่าจะค้นหาสิ่งท้าทายใหม่ๆ ได้แล้ว แล้วก็กะว่าจะเกษียณตัวเองโดยที่ยังวาดภาพนี้ไม่เสร็จไปทั้งแบบนี้แหละ」
「เอ๋?! ทำไมล่ะคะ? 」
ทั้งที่มันใกล้เสร็จแล้วแท้ๆ นั่นจึงทำให้ฟาร์มาและลอตเต้ต้องการจะหยุดมัน
ดูเหมือนว่าหัวหน้างานนั้นจะได้ยินเรื่องที่เขาจะเกษียณเป็นครั้งแรกด้วยเช่นนั้น ตัวเขาก็เลยตกใจพร้อมกับผวากันเลยทีเดียว
「เพราะดูเหมือนว่าข้าจะถูกปีศาจสิงสู่เข้าซะแล้วน่ะสิ」
หากมีจิตรกรสักคนที่ถูกปีศาจสิงสู่อยู่ภายในวังเช่นนี้ย่อมเรียกได้ว่านั่นอาจจะเป็นหายนะต่อองค์จักรพรรดินีก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ตัวเขาก็ได้อยากจะถอนตัวออกไป
「ได้โปรดบอกผมด้วยครับว่าเกิดอะไรขึ้น」
หากเป็นก่อนหน้านี้ฟาร์มาคงคิดว่านั่นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่หลังจากไปเผชิญหน้ากับคามิวแล้ว เขาก็ได้เข้าใจว่าวิญญาณชั่วร้ายนั้นมีอยู่บนโลกนี้จริงๆ
แต่ถึงท่านบารอนจะบอกว่าตนถูกปีศาจสิงสู่แต่ตัวฟาร์มาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความชั่วร้ายออกมาจากตัวเขาเลย นอกจากนี้ฟาร์มายังใช้ดวงตาวินิจฉัยของเขาดู ก็ไม่พบความปกติใดๆ ดังนั้นตัวเขาถึงได้ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น
「มันเป็นปีศาจประเภทไหนกันเหรอครับ? 」
ฟาร์มาได้ทำการรับฟังเรื่องของบารอนเดล แล้วเขาก็ได้ทำการเข้าพบกับหัวหน้านักบวชของโบสถ์จักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ
หัวหน้านักบวชนั้นต่างถูกเติมเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันเนื่องมาจากรู้ว่าฟาร์มาจะมาหา พวกเขาจึงรอต้อนรับกันอย่างดี ว่ากันว่าแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นจะแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งเมื่อฟาร์มาเข้ามายังโบสถ์แห่งนี้
「ขอบพระคุณที่ท่านเข้ามาเยี่ยมเยือน ว่าแต่มีสิ่งใดให้พวกผมช่วยหรือเปล่าครับ? 」
「ผมอยากจะขอคำแนะนำจากคุณหัวหน้านักบวชหน่อยครับ」
「คำแนะนำจากข้าผู้ต่ำต้อยผู้นี้! อ้า ช่างเป็นเกียรติเหลือเกิน!」
หัวหน้านักบวชและเหล่านักบวชคนอื่นๆ เริ่มทำการภาวนาขอบคุณ ฟาร์มาจึงตัดสินใจออกไปจากจุดนี้ให้เร็วที่สุด
「ท่านบารอนบอกกับผมว่าเขาเห็นชิ้นส่วนต่างๆ ของมนุษย์โผล่ขึ้นมาแล้วก็หายไป บางที่ก็เห็นหัวคนลอยไปมาในอากาศ และพื้นดินก็บิดเบี้ยวไปมา มันมีปีศาจที่สามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้หรือเปล่าครับ? เพราะผมก็ไม่เห็นเงาดำมืดจากตัวของท่านบารอนเลยด้วย……」
「โปรดยกโทษให้กับสิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ด้วย แต่เหล่าปีศาจร้ายไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ」
หัวหน้านักบวชซาโลม่อนปฏิเสธออกมาทันที
「ปีศาจร้ายโดยทั่วไปนั้นจะถูกชำระล้างด้วยแดนศักดิ์สิทธิ์ของท่านเทพโอสถอยู่แล้วและเหล่าผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพนั้นต่างก็สามารถเห็นพวกมันได้ด้วยตาเปล่าอยู่แล้วครับ」
「นั่นหมายความว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ปีศาจสินะครับ? 」
「คงเป็นเช่นนั้นครับ」
(ถ้าอย่างงั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ? ไม่น่าจะใช่โรคเกี่ยวกับสมองด้วย หรือจะเป็นเพียงแค่จินตนาการของเขาเองนะ? เขาอาจจะเกิดภาพหลอนขึ้นจากการทำงานหนักก็ได้นะ?)
「อ่ะ จริงด้วยสิ โรคเกี่ยวกับดวงตานี่เอง」
ฟาร์มาที่กลับไปยังร้านขายยาของเขาได้เอากำปั้นทุบลงบนฝ่ามืออีกข้าง จนลอตเต้นั้นตอบสนองกับคำที่เรียกว่าโรคเกี่ยวกับดวงตา
「แต่โรคพวกนี้จะเกิดขึ้นที่ดวงตาได้ด้วยเหรอคะ? 」
「สมองของมนุษย์นั้นจะเสริมสร้างส่วนต่างๆ ในการมองเห็นโดยที่เราไม่รู้ตัวอยู่แล้วคุณอยากจะทดลองดูหรือเปล่าล่ะ? 」
「แล้วเราจะทำอะไรกันเหรอคะ? หรือดิฉันก็ป่วยที่ดวงตาด้วยเหมือนกัน? 」
「ลอตเต้น่ะไม่เป็นไรหรอกครับ แต่การทดลองนี้ไม่ว่าใครก็ทำได้ครับ」
ฟาร์มาได้วางตราโอสถแพทย์ของเขากับตราจิตรกรหลวงของลอตเต้ลงข้างๆ กันบนผ้าหลากสี ก่อนจะกางมันออกมาที่หน้าของลอตเต้
「ทีนี้ลองปิดตาข้างหนึ่งของคุณแล้วค่อยๆ มองไปที่ตราของลอตเต้โดยไม่ขยับดวงตาไปไหน แล้วผมจะค่อยๆ เอาผ้าเช็ดหน้าเลื่อนเข้าไปหาคุณแบบช้าๆ หลังจากนั้นตราของผมก็จะหายไป」
「ตราของท่านฟาร์มาหายไปแล้ว!」
「ครับสิ่งนี้เราเรียกกันว่า “จุดบอด” และตรงจุดที่เคยมีตราอยู่ตอนนี้มันเป็นยังไงไปแล้วครับ? 」
「ตรงนั้นมันกลายเป็นเห็นแต่ลวดลายของผ้าเช็ดหน้าค่ะ! ทำไมกันนะ?!」
「ปรากฏการณ์นั้น คือการที่ลอตเต้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติกับส่วนที่คุณมองไม่เห็น ดังนั้น “หลุม” ตรงที่ตราควรจะอยู่นั้นจะถูกเติมแต่งไปด้วยสิ่งที่อยู่รอบๆ นั้นแทน」
「อ้ะ〜?! แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลยนะคะ!」
「มันเป็นสิ่งที่เราทำไปโดยไม่รู้ตัว เพราะโดยปกติแล้วเราสามารถมองเห็นด้วยตาสองตาซึ่งมันจะส่งเสริมการมองเห็นกันเองเพื่อสร้างภาพให้สมบูรณ์」
「นั่นหมายความว่า……」
ลอตเต้ค่อยๆ กลืนลมหายใจ ดูเหมือนว่าเธอจะเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
「บางทีบารอนเดลอาจจะเป็นเหมือนกันก็ได้เพียงแต่ว่าตัวเขานั้นสูญเสียจุดที่มองเห็นมากจนเกินไป เลยทำให้เกิดความผิดปกติทางการรับรู้มาก」
「อย่างนี้นี่เอง……!」
「งั้นคุณช่วยบอกให้ท่านบารอนมาที่ร้านของเราวันพรุ่งนี้ได้หรือเปล่า? มันคงจะดีกว่าหากได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว」
「เขาไม่ได้ถูกปีศาจสิงสู่แต่แค่ป่วยนี่เอง」
「แต่ถึงแบบนั้นนี่ก็เป็นแค่การคาดเดานะครับ」
「เขาจะมาหรือเปล่านะ? 」
ลอตเต้รู้สึกกังวลเพราะเธอคิดว่าท่านบารอนอาจจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจก็ได้หากได้รับการแจ้งมาจากเด็กน้อยเช่นเธอว่าตัวเขาป่วยและยิ่งกว่านั้นอาจจะดูเป็นการไม่สุภาพเท่าใดนัก
「เดี๋ยวผมเขียนจดหมายไปให้」
วันต่อมาลอตเต้ได้นำจดหมายของฟาร์มาไปส่งให้บารอนเดล
เขาเปิดอ่านมันและเห็นรูปที่วาดเป็นตาข่าย
「นี่มันอะไรกัน? 」
“ถ้าหากมองเห็นรูปนี้มีส่วนบิดเบี้ยวหรือขาดหายไปได้โปรดมายังร้านขายยาต่างโลกด้วย”
คำอธิบายได้ถูกเขียนเอาไว้เพิ่มเติม
แม้จะมีสีหน้าที่ไม่พอใจบ้าง แต่บารอนเดลก็คงมาที่ร้านขายยาในวันนี้
「เจ้ารู้อะไรมาบ้างล่ะ? ร้านขายยาแห่งนี้ตรวจคนถูกปีศาจสิงสู่ได้แล้วหรือไงกัน? ไม่ดีกว่าหรือไงที่จะไปโบสถ์แทน」
「ใจเย็นๆ ลงก่อนนะครับ นี่เป็นแค่การตรวจสุขภาพเท่านั้นเอง」
ขณะที่บารอนเดลกำลังบ่นนั้น ฟาร์มาก็เปิดดวงตาวินิจฉัยของเขา ก่อนจะมองไปที่ดวงตาของเขาและเห็นจุดสีแดงๆ เล็กๆ ซึ่งนั่นเองเลยทำให้ตัวฟาร์มาพลาดไปในตอนแรก
ฟาร์มาจึงทำการระบุโรคให้แคบลง
「” ต้อหินมุมเปิดเรื้อรังชนิดที่มีความดันลูกตาสูง (POAG) ” 」
ตรงเผง เป็นโรคเกี่ยวกับดวงตาซึ่งมีความดันของลูกตาที่เพิ่มสูงขึ้นและสร้างความเสียหายต่อเส้นประสาทตา บนโลกของเขานั้นนี่เป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดอันดับสองที่ทำให้ตาบอด
「ท่านบารอนครับ สิ่งนี้เราเรียกมันว่าโรคต้อหินครับ」
「เจ้าพูดอะไรกัน? ข้าไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย」
「ผมพึ่งจะตั้งชื่อมันน่ะครับ」
ฟาร์มาได้ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ขยายภาพที่เขาเตรียมไว้ล่วงหน้าในการทำการทดสอบตรวจจอประสาทตาและการตรวจลานสายตา
「ตาซ้ายของคุณมีทัศนวิสัยที่ขาดไปครึ่งหนึ่งครับ ส่วนทางขวานี่ค่อนข้างหนักหน่อย หากปล่อยไว้เช่นนี้ ในกรณีที่แย่ที่สุด คุณอาจจะสูญเสียการมองเห็นครับ」
ฟาร์มาแสดงผลการทดสอบการตรวจลานสายตาให้เขาเห็น
「อะไรกัน?! แล้วมันรักษาได้ไหม? วิธีการล่ะ? ไม่ว่าจะเท่าไหร่ข้าก็พร้อมจ่าย」
บารอนเดลนั้นรู้สึกหวาดกลัว หากตัวเขานั้นตาบอดไป ไม่ต้องพูดถึงการลาออกจากงานเลย แค่การใช้ชีวิตประจำวันนั้นยังยากด้วยซ้ำ ฟาร์มาจึงได้ส่ายหัวไปมาช้าๆ
「น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีทางที่จะรักษามันได้」
ฟาร์มาตอบไปตามตรงว่าเขาไม่สามารถรักษาได้ จากการที่ได้เห็นจุดสีแดงจากดวงตาวินิจฉัย
เส้นประสาทที่ตายไปแล้วไม่สามารถฟื้นฟูได้ แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้หากใช้ iPS เซลล์ แต่สภาพแวดล้อมในการทดลองตอนนี้รวมไปถึงความจำเป็นในการมีจักษุแพทย์บนโลกใบนี้ นั่นจึงทำให้เป็นไปไม่ได้เลย การตรวจเจอก่อนล่วงหน้าจึงเป็นกุญแจหลักสำคัญแทน
「ตอนนี้ข้าต้องมีชีวิตอยู่กับความมืดมิดแล้วงั้นหรือ….? อ้า! การลงทัณฑ์นี้มันอะไรกัน….」
ท่านบารอนแสดงสีหน้าที่สิ้นหวังราวกับถูกโยนลงไปยังหุบเหว
「แต่หากคุณใช้ยารักษาตอนนี้ เราจะสามารถหยุดอาการไม่ให้ลุกลามได้ครับ」
「จริงงั้นเหรอ?!」
ฟาร์มาอธิบายว่ายาหยอดตาของเขานั้นสามารถหยุดอาการต้อหินและลดความดันภายในลูกตาได้ ฟาร์มายังเสริมอีกว่ามันช่วยป้องกันการตาบอดได้ แต่ผลของยานั้นยังไม่อาจจะบอกได้ชัดนักหากยังไม่เริ่มทำการรักษา
「ได้โปรดรักษาดวงตาที่เหลืออยู่ของคุณให้ดีๆ นะครับ」
「ขอบคุณมาก เพราะตัวข้านั้นวางแผนที่จะใช้ชีวิตบั้นปลายในแถมชนบทด้วยสิ」
「ได้โปรดระวังแล้วอย่าลืมรับยาด้วยนะครับ」
「อืม ข้าเข้าใจแล้ว」
บารอนเดลได้แสดงความขอบคุณ เขาก้มหัวให้กับฟาร์มาก่อนจะหยิบถุงยาออกไป ก่อนที่จะได้เห็นแผ่นหลังอันผอมบางของเขา ฟาร์มาจึงได้เรียกเขาอีกครั้ง
「อ่ะคือ ขอโทษนะครับ ท่านบานรอน แต่คุณช่วยวาดรูปต่อไปได้หรือเปล่าครับ? เพราะตอนนี้ก็รู้แล้วนี่ครับว่านั่นไม่ใช่ปีศาจสิ่งสู่」
「ตัวข้าที่มองโลกใบนี้เปลี่ยนไปเช่นนี้เนี่ยนะ? จะให้ข้าวาดรูปคนต่อไปได้เช่นไร? 」
เขาได้ยอมแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว ว่าชีวิตในฐานะศิลปินของเขาต้องสิ้นสุดลง สิ่งที่ออกมาจากปากของเขานั้นปกไปด้วยเสียงถอนหายใจ
「งั้นไม่ลองเปลี่ยนรูปแบบของรูปแทนที่จะวาดรูปคนเหรอครับ? 」
ฟาร์มาแนะนำเขา
「ไม่ลองมาสร้างโลกใบใหม่ที่ตัวคุณได้มองเห็นนั่นแทนล่ะครับ? 」
ราวกับนั่นคือแสงสว่าง บารอนที่ได้รับแรงกระตุ้นในการสร้างผลงานชิ้นใหม่
「……ไว้ข้าจะลองดูแล้วกัน แต่……นั่นสิข้าควรจะลองดูในตอนที่ยังมองเห็นอยู่นี้ เพื่อจะไม่ได้มาเสียใจทีหลัง」
สรุปคือฟาร์มาคิดว่าถึงแม้จะไม่ใช่รูปคน แต่มันก็ยังสามารถมีคุณค่าทางงานศิลปะแบบใหม่ได้เช่นนั้น
แล้วสุดท้ายผลงานของบารอนเดลก็เสร็จสิ้นและถูกส่งให้กับจักรพรรดินี
อย่างไรก็ตามตัวของบารอนนั้นไม่คิดว่าภาพนั้นจะได้รับการประเมินมูลค่าที่ดีแต่อย่างใด ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็ได้ใส่จิตวิญญาณแห่งความหลงใหลเข้าไปและแสดงมันออกมา โดยสิ่งที่เขานำเสนอให้กับจักรพรรดินีกันคือสิ่งที่เขาสามารถเรียกได้ว่าคือสุดของผลงานของชีวิตจิตรกรของเขาแล้ว
บารอนโค้งคำนับอย่างเคารพ ระหว่างรอคำตัดสินจากจักรพรรดินีด้วยความสั่นกลัว ว่าตัวเธอจะมองผลงานของเขาในฐานะขยะหรือเปล่า
จักรพรรดินีได้จ้องไปยังผลงานนั้นอยู่ขณะหนึ่ง แล้วเธอก็ส่งเสียงออกมา
「น่าสนใจดีนี่」
มันเป็นความคิดเห็นที่ไม่อาจจะแยกได้ว่าเป็นคำชมหรือคำวิจารณ์
「แม้ตัวเราจะไม่เข้าใจรูปนี้ แต่จิตใจของเรากับสั่นไหว ความรู้สึกมันเหมือนราวกับเราเคยเห็นสิ่งนี่ที่ไหนสักแห่ง แต่ก็ไม่ใช่ มันเหมือนกับโลกใบใหม่ได้ถูกตีแผ่ออกมา อื้อไม่เลวเลย ไม่สิต้องบอกว่า ทำได้ดีมาก」
ดวงตาของจักรพรรดินีได้ถูกผลงานชิ้นนี้ดึงดูดไปเสียแล้ว
สิ่งที่เธอเห็นนั้นมันคือภาพวางที่มีอิมแพคเกี่ยวกับความเป็นจริงผสมกับแฟนตาซี สิ่งของที่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงและไม่อาจจะมีได้ผสมผสานกัน กลายเป็นผลงานศิลปะแนวใหม่ หรือที่เรียกกันว่า “Dépaysement”บนโลกของเขา
หลังจากนั้นบารอนเดลก็ได้เกษียณงานตัวเองในฐานะจิตรกรหลวงภาพเหมือน และถูกจ้างในฐานะจิตรกรหลวงแทน โดยเขานั้นยังคงสร้างผลงานศิลปะเกี่ยวกับโลกเสมือนที่แตกต่างออกไปบนผืนผ้าไปนั้นและได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากราชวัง บางครั้งความบิดเบือน และความพิการของตัวมนุษย์นั้นก็สามารถสร้างศิลปะที่ไม่ธรรมดาขึ้นได้จากการรวมแนวคิดที่แตกต่างเข้าด้วยกัน
วิธีการแสดงออกเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ให้ความรู้สึกดึงดูดอย่างแปลกประหลาด จนกลายเป็นซาลอนแห่งชาติโดยใช้ชื่อ เดอะ มูฟเม้น นิทรรศการส่วนตัวของเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากโดยมีเหล่าผู้ชมเข้ามาดูทุกวัน นอกจากนั้นยังมีเซรามิกและงานฝีมือที่ถูกออกแบบโดยลอตเต้และสร้างขึ้นจากช่างฝีมือถูกจัดวางภายในนั้นด้วยซึ่งมันก็ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นเดียวกัน
「ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านจริงๆ ท่านฟาร์มา ความสำเร็จทั้งหมดของข้าต้องขอขอบคุณท่านจริงๆ ข้าหวังว่าท่านจะยอมรับสิ่งนี้เอาไว้」
ภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีมูลค่ามหาศาลถูกส่งไปยังบ้านเมดิซิสพร้อมกับจดหมายฉบับนี้ เมื่อผ้าคลุมถูกเปิดออกสิ่งที่ปรากฏคือภาพวาดแฟนตาซีที่สะท้อนถึงโลกแห่งความฝันของใครบางคน เรียกได้ว่านี่คือผลงานชิ้นเอก
「ข-ขอบพระคุณมากครับ ท่านพ่อก็คงจะดีใจเช่นกัน」
ด้วยขนาดที่ใหญ่มากของมันจึงสามารถแขวนไว้ได้แค่เพียงบริเวณโถงทางเข้า
「อื〜ม ประมาณนี้สินะ……? 」
(รูปแบบการวาดเหมือนเราเคยเห็นมาก่อนที่มาดริดไม่ก็ต้าหลี่นี่แหละ)
ในขณะที่ดูภาพผลงานของบารอนเดลซึ่งถูกจัดแสดงไว้ยังโถงทางเข้าของบ้านเมดิซิสนั้น กล่าวได้ว่าภาพนี้มันมีความเซอร์เรียลอย่างมากอีกทั้งยังดูพิลึกแบบแปลกๆ จนบางครั้งฟาร์มาก็คิดว่าบารอนเดลนั้นอาจจะกลายเป็นผู้สร้างลัทธิเหนือจริง (the surrealism) ขึ้นมาที่โลกนี้ก็เป็นได้
และนับตั้งแต่นั้นมา ทั้งบลานช์และลอตเต้ก็ต่างหลีกเลี่ยงการเดินผ่านภาพวาดในห้องโถงนั้นช่วงกลางดึกไปเลย
———————
Note : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913