Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 37
นที่ 37 การถ่ายรูปหมู่กับเหล่าพนักงาน
———-
“คนงานทั้งหมด 199 คนจาก ทั้งหมด 200 คนที่จะทำงานในโรงงานแห่งนี้ได้มารวมกันไว้ในนี้แล้วครับ”
อดัมได้แสดงสมุดรายชื่อของพนักงานของโรงงานให้กับฟาร์มาซึ่งกำลังเดินชมภายในโรงงานของเขตมาร์เชล โดยมีพนักงานคนหนึ่งไม่สามารถมาได้ด้วยเหตุผลทางด้านสุขภาพ
โดยสัดส่วนของแรงงานในที่นี้คือ 80% เป็นผู้ชายและ 20%เป็นผู้หญิง โดยทั้งหมดที่กล่าวมานั้นต่างก็มีความสามารถเชิงเทคนิคและการผลิต กล่าวได้ว่าพวกเขานั้นเหมาะสมกับการเป็นพนักงานโรงงานนี้อย่างแท้จริง ส่วนทางด้านผู้จัดการฝ่ายผลิตนั้นจำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านยาด้วย ดังนั้นผู้ที่ถูกรับเลือกต้องมาจากกลุ่มแพทย์โอสถขั้นหนึ่งจากทางเมืองหลวงจักรวรรดิซึ่งฟาร์มาจะเป็นคนเลือกเอง ไม่ก็นักเรียนที่จบมาจากวิทยาลัยยาของจักรวรรดิ
“ขอบคุณมากนะครับ คุณทำได้ดีมากเลย”
“คงมีเพียงฟาร์มาคุงคนเดียวเท่านั้นแหละที่จะทำได้ เพราะโดยปกติแล้วการหาคนมาจำนวนขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย”
เอเลนรู้สึกประทับใจในตัวของฟาร์มาที่มีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินมากขนาดนี้
“ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ท่านฟาร์มาสุดยอดไปเลยค่ะ”
ลอตเต้เชื่อว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับฟาร์มาหากเขาคิดจะทำ แม้ปฏิกิริยาของเธอจะดูเกินจริงไปบ้างแต่นั่นก็มาจากใจ
“ตามที่ท่านได้ขอคือเหล่าพนักงานต้องมีสุขภาพที่ดี มีความสามารถในการคำนวณ การอ่าน การเขียน ซึ่งผมก็ได้ทำตามที่ท่านบอกทุกอย่าง พวกเราจึงได้ทีมงานคุณภาพมาขนาดนี้โดยมีบางคนในนี้เคยมีประสบการณ์ในการทำงานโรงงานไวน์มาก่อนในฐานะวิศวกรด้วยครับ”
อดัมอธิบายขณะเขาแสดงสมุดรายชื่อให้ดู
“ผมจะไปทักทายทุกคนหน่อยนะครับ”
อดัมได้นำทางฟาร์มาและคนอื่นๆ ไปยังหอประชุมใหม่ซึ่งผู้ชุมนุมก็ได้รออยู่ก่อนแล้วซึ่งก็ได้ยินเสียงผู้คนโวยวายกันอย่างหนาแน่น
หอประชุมดังกล่าวนั้นใหญ่พอๆ กับโรงยิมของโรงเรียนประถมโดยเลยเดียวและยังเป็นสถานที่ในการจัดประชุมเวิร์คช็อป ประชุมรอบเช้า งานพิธีการ งานเลี้ยง และอื่นๆ ด้วย
“ผู้ก่อตั้งได้เดินทางมาถึงแล้ว!”
อดัมได้เปิดประตูเข้าไปด้วยเสียงกึกก้องและนั่นทำให้ห้องประชุมเงียบลง โดยมีเวทีตั้งอยู่หน้าห้องประชุม อดัมได้พาฟาร์มาและเอเลนลงไปยังด้านล่างตรงเวทีและแนะนำกับพวกเขาอย่างสั้นๆ ทางด้านลอตเต้และเซดริกที่ไม่ได้เป็นแพทย์โอสถนั้นจึงได้เฝ้าดูพวกเขาจากด้านบนของหอประชุมแทน
“ขอแนะนำ ท่านผู้นี้คือ ฟาร์มา เดอ เมดิซิส เป็นเจ้าของร้านขายยาต่างโลก แพทย์โอสถหลวง และ ผู้ก่อตั้งโรงงานแห่งนี้ และทางนี้คือท่านเอเลโอนอร์ บอนฟัว แพทย์โอสถขั้นหนึ่ง”
ในขณะแนะนำตัว เอเลนก็ได้ก้าวสั้นๆ ออกมาไม่ไกลจากฟาร์มานักและโค้งคำนับ
“ขอบคุณมากครับ”
ฟาร์มาก้มหัวคำนับพวกเขาด้วยเช่นกัน
(ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนะ?)
ฟาร์มารู้สึกว่ามีคนหลายคนต่างจ้องมองมาที่เขา โดยพวกเขาเหล่านี้ต่างเป็นคนที่สุดยอดและมีความสามารถจนผ่านการทดสอบของอดัมมาได้และมีการศึกษาที่เหมาะสมอีกด้วย พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่เง่า และแน่นอนว่าย่อมมีความมั่นใจสูงเช่นเดียวกัน
ฟาร์มาได้ยินเสียงแปลกๆ มาจากกลุ่มคนงานในนั้นประมาณว่า เขายังเป็นแค่เด็กอยู่เลย
แม้อดัมจะจ้องมองไปที่พวกเขาแต่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดออกมา
(ผมก็เป็นแค่เด็กจริงๆ นั่นแหละ)
โดยปกติแล้วฟาร์มานั้นมีจิตใจที่แข็งแกร่งพอที่จะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่เนื่องจากรูปร่างของเขานั้นยังเป็นเด็กอยู่ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
“เสริมอีกนิดว่า ท่านฟาร์มานั้นได้ถูกรับเลือกให้ไปเป็นศาสตราจารย์ของวิทยาลัยยาแซงต์เฟลิฟในปีหน้าอีกด้วย”
ด้วยรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติ อดัมได้จี้จุดนี้ส่งไปยังคนที่พูดจาหยาบคายเมื่อครู่
เห็นได้ชัดเลยว่าเขาพยายามจะจัดการคนปากเสียเหล่านั้นอยู่
เมื่อพวกคนงานได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็สงบลงและเริ่มปิดปาก
ความเฉลียวฉลาด
ตำแหน่งศาสตราจารย์ของวิทยาลัยนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าขึ้นชื่อด้านความรู้และเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ ไม่ว่าจะเป็นใครใหญ่มาจากไหนมีเงินมากเพียงใด ก็ไม่มีใครสามารถจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้เลย หากขาดความสามารถและทักษะที่ดีพอ
จึงไม่มีใครสงสัยในความสามารถของฟาร์มาอีก
(ทุกคนพอเจอเรื่องตำแหน่งเข้าไปก็ยอมแพ้กันหมดเลยแฮะ)
“ครับก็ตามที่ได้ถูกแนะนำไป ผมเป็นแพทย์โอสถแล้วก็ผู้จัดการร้านขายยาต่างโลกครับ.…”
แม้จะรู้สึกอึดอัดไปบ้าง แต่ฟาร์มาก็พยายามทักทายพวกเขาใหม่แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากฝูงชน
“ท่านเทพโอสถ!”
“อ๊ะ!”
หลังจากได้ยินเสียงนั้น ฟาร์มาก็กรีดร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อมองดูดีๆ แล้วก็เห็นได้ว่ามีชาวบ้านหลายคนที่มาจากหมู่บ้านเอสทาร์กทำงานที่นี่ด้วย พอหนึ่งในคนกลุ่มนั้นรู้สึกตัวและส่งเสียงออกมา คนที่เหลือก็พากันนึกออกไปด้วย
ตอนที่เขาไปยังหมู่บ้าน ฟาร์มาได้ปิดบังตัวตนและหน้าตาเอาไว้ แต่เสียงของเขานั้นกลับทำให้เรื่องดังกล่าวล้มเหลวไปเสียได้ เขาจึงได้ยอมแพ้ต่อคนกลุ่มนั้น
พอเป็นแบบนั้นดูเหมือนพวกเขาพยายามจะแทรกตัวเองเพื่อขึ้นไปยังเวทีและทำท่าเหมือนจะเขามาหาฟาร์มา
“ทำไมพวกคุณทุกคนจากหมู่บ้านเอสทาร์กถึงมาอยู่ที่นี่กันได้ล่ะครับ!? มันไกลมากเลยไม่ใช่หรือไงกัน!”
ความยากลำบากในการทำงานของฟาร์มาได้พุ่งขึ้นสูงมาก
“ตั้งแต่วันนั้น ที่ผมได้รับการเยียวยาจากท่านเทพโอสถ ผมก็ได้เข้าใจถึงความสำคัญของยารักษา ด้วยเหตุนี้ผมจึงอยากมีส่วนร่วมให้กับสังคมนี้ผ่านทางการรักษาบ้างครับ”
ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นมาก่อนถูจมูก
ดูเหมือนหลังจากเรื่องกาฬโรค เรื่องสาธารณสุขและสุขอนามัยต่างได้รับการปฏิรูปและแก้ไขให้ดีขึ้นสำหรับพวกชาวบ้าน
“อย่างที่ท่านทราบว่าหมู่บ้านเอสทาร์กของเราเป็นชนชาวประมง ถึงอุตสาหกรรมประมงยังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ยังตัดสินใจออกมาจากที่นั่น เพราะผมอยากเป็นเหมือนกับท่านครับ”
“คาดไม่ถึงเลยว่าฉันจะได้พบกันท่านเทพโอสถอีกครั้ง! ได้โปรดขอให้ฉันได้จับมือท่านสักครั้งด้วยเถอะค่ะ!”
“แย่ละสิ เรายิ่งไม่ชอบการจับมืออยู่ด้วย” ฟาร์มาคิดกับตัวเอง
แล้วก็มีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา “ผมอยากจะรู้ครับว่าท่านมีแผนจะสร้างยาสำหรับต้านกาฬมรณะที่โรงงานนี้ด้วยหรือเปล่าครับ?”
แล้วเหล่าชาวบ้านก็ได้พยายามโถมกันเข้ามาต่อหน้าฟาร์มาราวกับเขาคือแท่นบูชาแล้วกล่าวว่า”ได้โปรดให้ผมได้จับมือกับท่านก่อนด้วยเถิด”
เอเลนยิ้มให้กับฟาร์มาที่กำลังอยู่ท่ามกลางความร้อนแรงแห่งการเฉลิมฉลองของชาวบ้านหมู่บ้านเอสทาร์ก เซดริกก็ได้ยิ้มอ่อนๆ ให้กับเขา ส่วนทางด้านลอตเต้นั้นดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ได้โปรดมายังที่หมู่บ้านเอสทาร์กด้วยเถอะครับ ผมทำรูปปั้นทองคำให้ท่านไว้ด้วย ท่านต้องชอบมันแน่ๆ”
ฟาร์มาได้ยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรงออกมา เพราะเขาคงพูดไม่ได้ว่า ‘ผมเคยเห็นมาแล้วครับ’
“เดี๋ยวนะ คนของหมู่บ้านเอสทาร์ก นี่มันเกี่ยวอะไรกันกับท่านเทพโอสถกัน? ทำไมพวกเจ้าถึงไปเรียกเจ้าของร้านขายยาว่าเทพโอสถกัน? นั่นเป็นชื่อเขาหรือไง?”
คนงานในพื้นที่ที่ไม่ทราบถึงสถานการณ์ในตอนนี้จึงถามออกไปอย่างเป็นธรรมชาติเพราะตามเรื่องในตอนนี้ไม่ทัน
“เอาล่ะ งั้นฟังนะ จริงๆ แล้วน่ะเขาคือ….!”
“พอเขาไปถึงที่นั่นนะ!”
ตัวตนของฟาร์มานั้นต่างเป็นที่รู้จักในทันที ผ่านการบอกเล่าจากคนภายในหมู่บ้านเอสทาร์ก
“นั่นแหละข้าก็เลยรอดมาจากกาฬมรณะ”
“ได้โปรดดูของพวกนี้ก่อนครับ!”
ชาวบ้านของหมู่บ้านเอสทาร์กต่างแสดงของบางสิ่งให้ฟาร์มาดู มันเป็นรูปปั้นขนาดจิ๋วเหมือนของเล่น ซึ่งทุกคนต่างมีอยู่คนละชิ้น
“นี่มันอะไรกันครับ!?”
แล้วชาวบ้านคนหนึ่งก็นำพวงกุญแจนั้นให้กับฟาร์มา
“มันเป็นพวงกุญแจเทพโอสถที่พวกเราสร้างกันขึ้นมาแจกจ่ายให้กับทุกคนในหมู่บ้านครับ”
พวงกุญแจนั้นเป็นรูปปั้นของท่านเทพขนาดเล็ก โดยพวกเขาต่างห้อยมันติดกระเป๋าไว้ตลอด บางคนก็ทำเป็นสร้อยคล้องคอ จนฟาร์มาถอนหายใจออกมา เพราะดูเหมือนพวกเขาจะกลายเป็นกลุ่มผลิตของเล่นจำนวนมากออกมาแล้ว
“ได้โปรดอย่านำมันไปขายที่ไหนนะครับ!”
หมู่บ้านเอสทาร์กในตอนนี้ดูเหมือนจะได้เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นหมู่บ้านแห่งการอุทิศตนต่อเทพเจ้าในตำนานไปเสียแล้ว
“เสียงดังกันเกินไปแล้ว! รีบกลับไปประจำที่ซะ!”
เมื่อสถานการณ์เริ่มชุลมุนมากจนเกินไป อดัมก็สั่งให้พวกเขากลับเข้าไปในแถวก่อนจะเริ่มอะไรใหม่
“ผมเป็นเพียงแค่ผู้จัดการเท่านั้นนะครับ การที่บอกว่าผมเป็นเทพโอสถอะไรนั่นถือเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ ดังนั้นได้โปรดอย่าสับสนกันนะครับ”
ฟาร์มาคิดว่าจากนี้ต้องลำบากแน่ๆ เขาจึงได้ปฏิเสธเรื่องนี้ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย
ชาวบ้านของหมู่บ้านเอสทาร์กนั้นไม่เห็นด้วย เพราะพวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นมัน คือสิ่งที่ฟาร์มาปฏิเสธออกไปเมื่อกี้อย่างแท้จริง
แล้วฟาร์มาก็ได้กล่าวสุนทรพจน์และกล่าวว่าปรัชญาขององค์กรคืออะไรและเป้าหมายระยะยาวคืออะไร คำพูดของฟาร์มาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
“เพราะเหตุนี้ร้านขายยาต่างโลกจะปกป้องชีวิตของทุกคนบนโลกนี้ผ่านการคิดค้นยานั่นเองครับ”
เอเลนเกือบจะผล็อยหลับจากบทสุนทรพจน์ที่น่าเบื่อ จนขนาดมีหลายคนแทบอยากล้มไปนอน
ขนาดที่ฟาร์มาเห็นผ่านดวงตาของเขาว่ามีคนงานบางคนเริ่มงีบหลับไปแล้ว
“เป็นยังไงบ้างครับ!”
เขาตะโกนออกมาเสียงดัง
“ฮ่ะ!”
เหล่าคนงานตะโกนกลับมาด้วยเสียงที่หนักแน่น
“แล้วใครในนี้มีสุขภาพไม่ค่อยดีบ้างหรือเปล่าครับ?”
“หือ?”
และเสียงเดียวกันนั้นก็ตอบกลับมา
“ผมสุขภาพดีครับ!”
แล้วฟาร์มาก็เอามือแนบกับหน้าอกของตัวเองเอาไว้
“งั้นผมจะถามพวกคุณนะครับ หากใครในนี้คิดว่าตัวเองสุขภาพดีขอให้ยกมือขึ้นด้วยครับ”
แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันยกมือ
“โอเคครับ!ผมเข้าใจแล้ว!”
ฟาร์มามองไปยังเหล่าพนักงาน ทุกคนนั้นต่างมีป้ายชื่อและเลขพนักงานเขียนติดเอาไว้ ฟาร์มาจึงได้มองมันก่อนจะเริ่มเขียนตัวเลขลงบนกระดาษแผ่นใหญ่
“ตัวเลขเหล่านี้มีไว้ทำไมกันครับ?”
“เกมน่ะครับ”
“พวกคุณบางคนในนี้อาจจะได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วเลยก็ได้นะครับ”
“นี่พวกเราจะได้เป็นว่าที่หัวหน้างานในนี้หรือเปล่า? แล้วค่าจ้างจะเพิ่มด้วยงั้นเหรอ?”
เหล่าคนงานเริ่มเกาหัวและมองโลกในแง่ดีกัน เมื่อฟาร์มาเขียนเสร็จเขาก็นำมันไปติดกับบอร์ดข้างหลังเขา
“เอาละครับ คนที่มีตัวเลขตรงกันกับตรงนี้ได้โปรดก้าวออกมาข้างหน้าด้วยครับ”
แล้วเหล่าคนงานก็เริ่มเอาหมายเลขพนักงานของตนไปเทียบกับตัวเลขบนบอร์ด
“เจ๋ง มีเลขของฉันด้วย!”
“คุณผ่านครับ!”
คนที่มีเลขตรงกับกระดานถูกแยกออกมาจากฝูงชน
ฟาร์มามีความมั่นใจว่าผลที่เขาประกาศไปนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเลื่อนขั้นแต่อย่างใด
“คนที่ก้าวออกมาข้างหน้านี้คือคนที่มีสุขภาพดีทั้งหมดครับ”
“เอ๋!?”
เหล่าคนงานเริ่มมึนงง เพราะมีเพียงแค่30%ของทั้งหมดเท่านั้นที่ได้ก้าวออกมา
สิ่งที่บอกกับฟาร์มาว่าคนงานที่เหลือนั้นสุขภาพไม่ดีคือ การที่พวกเขามีปัญหาสุขภาพกันเล็กน้อย ไม่ก็ปัญหาฟันผุ รวมไปถึงโรคที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต
เหล่าพนักงานที่ไม่ได้ก้าวออกไปก็เริ่มทำหน้าซีด
“ตลกแล้ว! ผมน่ะสุขภาพดี! ไม่เห็นมีอะไรต้องน่ากังวลสักนิด!”
ฟาร์มามองอย่างใจเย็นไปที่ชายผู้ประท้วงออกมา
“ตัวคุณมีไวรัสตับอักเสบครับ ตับของคุณมีอาการอักเสบแสดงออกมา”
ฟาร์มากล่าวความจริงอันแสนโหดร้ายออกมา
ตับนั้นเป็นอวัยวะแห่งความเงียบงัน ชายคนดังกล่าวจึงไม่ได้รู้สึกตัวว่าตนนั้นไม่ผ่านเงื่อนไขดังกล่าว
“แล้วตับมันคืออะไรเหรอครับ?”
ชายคนนั้นถาม
ฟาร์มาจึงตระหนักได้ถึงงานในอนาคตที่เขาต้องสอนความรู้พื้นฐานด้านกายวิภาค สรีรวิทยา และเภสัชวิทยาอื่นๆ ให้กับคนงาน แม้ว่าจะยากไปบ้าง แต่เขาก็เริ่มอธิบายอย่างละเอียดถึงไวรัสตับอักเสบที่ชายคนนั้นเป็น
“แม้ว่าตัวคุณจะคิดว่า ตัวเองนั้นสุขภาพดี แต่โรคภัยนั้นก็สามารถคืบคลานเข้ามาได้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นได้โปรดตั้งใจศึกษาเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองเพื่อสุขภาพที่ดีด้วยนะครับ แล้วทุกคนจะได้มาช่วยผมในการสร้างยาเพื่อรักษาผู้ป่วยกัน”
ฟาร์มาได้พูดปิดการทักทายเบื้องต้น
“ถ้าอย่างงั้น…”
บรรยากาศในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปจนอึมครึม
ฟาร์มาจึงสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้องประชุม
“วันนี้อากาศค่อนข้างดี ดังนั้นทุกคนก็ผ่อนคลายกันให้เต็มที่นะครับ”
ฟาร์มาพูดกับพวกเขาก่อนจะกลับไปที่รถม้าและกลับมาพร้อมกับอดัมที่ถือกระเป๋าสัมภาระมาด้วย จากนั้นเขาก็หยิบกล่องไม้ออกมาจากกระเป๋านั้น
“ฟาร์มาคุงนั่นอะไรน่ะ?”
“เป็นเครื่องถ่ายรูปครับ (คาเมร่า) .”
“แล้วมันอะไรกันล่ะ?”
เอเลนถามเขาซ้ำสองรอบ
“มันเป็นเครื่องมือที่จะคัดลองทิวทัศน์ของโลกใบนี้ไปบนกระดาษครับ”
ฟาร์มาได้แสดงชิ้นส่วนฟิล์มเล็กๆ ให้เอเลน ลอตเต้ และเซดริกดู มันเป็นรูปของฟาร์มา ซึ่งฟาร์มานั้นได้พยายามถ่ายรูปของตัวเองด้วยกล้องถ่ายรูป ซึ่งรูปดังกล่าวนั้นมันเป็นรูปขาวดำ
“นั่นเป็นภาพวาดเหรอ?”
เพราะมันเป็นภาพขาวดำ ลอตเต้จึงคาดว่านั่นคือภาพวาดและเธอก็รู้สึกประหลาดใจกับมันเพราะมันไม่มีร่องรอยของการปัดแปรงลายเส้นอะไรเลย
“นั่นไม่ใช่ภาพวาด แต่เป็นรูปภาพ”
“อะไรกันคะนั่น?”
ฟาร์มาได้อธิบายถึงหลักการถ่ายภาพสั้นๆ สำหรับการทดลองนั้นเขาได้ใช้กล้องรูเข็ม แล้ววาดรูเข็มเล็กๆ ลงไปในรูกล่องเพื่อให้แสงเข้ามาไม่ได้ก่อนจะวางมันไว้ในเลนส์กระจกถ่ายภาพภายในกล่องที่ถูกถมด้วยหมึกสีดำ ส่วนทางด้านแผ่นถ่ายภาพนั้นไว้ผสมวัสดุไวแสงที่มีโพแทสเซียมโบรไมด์ ซิลเวอร์ไนเตรตและสิ่งที่คล้ายๆ กันผสมเข้ากับเจลลาตินและนำมันไปใช้เลนส์
“แล้วทำไมนายถึงไม่เรียกพวกเราตอนสร้างสิ่งนี้กันล่ะ?”
เอเลนสอบปากคำกับฟาร์มา
“ผมไม่รู้ว่ามันจะใช้งานได้หรือเปล่านี่ แต่วันนี้สภาพอากาศก็กำลังดีมีแสงส่องผมคิดว่าคงจะได้รูปสวยๆ แน่ ดังนั้นเรามาถ่ายรูปกันเถอะ”
ด้านหน้าของโรงงานนั้น ฟาร์มาได้เลือกสถานที่ที่เขาสามารถมองเห็นพื้นที่ทั้งหมดได้
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาก็เลือกตำแหน่งและวัดระยะต่างๆ ก่อนจะติดกล้องไว้กับขาตั้งไม้ แล้วแบ่งคนงาน 200 เป็น5กลุ่ม กลุ่มละ 40 คน ซึ่งพวกเขาก็สงสัยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่ก็แบ่งกลุ่มเป็นแถวละ10คน4แถว
“คนที่อยู่แถวหน้าสุดนั่งลงด้วยนะครับ คนอยู่แถวกลางให้คุกเข่าส่วนคนอยู่แถวท้ายก็ยืนไว้เหมือนเดิมนะครับ”
ฟาร์มายืนอยู่บนหลังกล่องไม้ก่อนจะแนะนำกับคนงานแล้วมองดูฉากมุมต่างๆ เวลาต้องเจอกับแสงแดด รูเข็มนั้นมีพื้นที่ในการปรับรับแสงขนาดเล็ก แต่แผ่นภาพถ่ายนั้นมีความไวต่อแสง ดังนั้นเวลาในการเปิดรับแสงอาจจะใช้เวลานานหลายวินาที
“ตอนนี้ผมจะทำการถ่ายรูปหมู่พวกคุณแต่ละกลุ่มนะครับ ดังนั้นได้โปรดดูที่กล่องนี้แล้วอย่าขยับหน้าไปไหนสักครู่หนึ่งนะครับ”
เนื่องจากพวกเขาถูกบอกไม่ให้เคลื่อนไหว ใบหน้าของพวกเขาจึงแข็งทื่อ
การดำเนินการและกดถ่ายนั้นได้รับมอบหมายให้เป็นงานของอดัม ฟาร์มา เอเลน ลอตเต้ และ เซดริกได้อยู่ส่วนตรงกลางของรูป
“เอาล่ะ ทุกคนยิ้มหน่อยนะครับ”
แม้มันจะกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์อะไรสักอย่างไป แต่ฟาร์มาก็เชื่อว่ามันน่าจะถ่ายรูปได้อยู่ ส่วนแผ่นถ่ายภาพนั้นถูกเตรียมมาเพียงไม่กี่ใบดังนั้น ถึงจะมีการขยับไปมาระหว่างถ่าย ก็คงจะไม่มีการถ่ายซ้ำ
‘ดูเหมือนว่าผมจะได้รูปหมู่ดีๆ แล้วสิ’
แล้วการถ่ายรูปกลุ่มทุกกลุ่มก็สำเร็จไปได้ด้วยดี
“ขอบพระคุณมากเลยครับ”
ฟาร์มาได้สั่งให้อดัมแจกจ่ายคู่มือสำหรับการสอนภายในร้านขายยาต่างโลกให้กับเหล่าคนงานผ่านที่เครื่องอัดสำเนา
“ได้โปรดอ่านเนื้อหากันให้ดีๆ ด้วยนะครับ”
ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยจะได้รับการรักษาในภายหลัง ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจรอคำแนะนำจากอดัม
สำหรับคนที่มีปัญหาร้ายแรงจะได้รับใบรับรองการเป็นพนักงานจากอดัมก่อนจะให้พวกเขาไปหยุดพักที่บ้านประมาณสามวันครึ่ง
ลอตเต้กับเซดริกกำลังช่วยฟาร์มาในการจัดการรูปภาพเมื่อกี้นี้ โดยถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนจากหมู่บ้านเอสทาร์ก
“เอาของที่นายทำมาเมื่อกี้ให้ดูหน่อยสิ!
เอเลนถามกับฟาร์มา
“ฉันตั้งตารอเลยนะ!”
“ตอนนี้คงยังให้เห็นไม่ได้หรอก ผมกำลังจัดการกับมันอยู่”
เอเลนรู้สึกงุนงงกับคำอธิบายของฟาร์มาเรื่องกระบวนการของการถ่ายภาพ
“นอกจากงานส่วนนี้แล้ว ฟาร์มาคุง นายยังต้องทำการทดสอบฝีมือคนงานด้วยนะ แบบนี้งานนายคงเยอะขึ้นไปอีกจะไหวเหรอ?”
เอเลนยิ้มออกมาและหวังว่าเขาจะไม่เป็นแบบนี้อีกในครั้งต่อๆ ไป
“สุขภาพของคนงานเป็นเรื่องสำคัญนะ ยิ่งในโรงงานผลิตนี้อาจจะมีการปนเปื้อนได้เลย นอกจากนี้หากเราไม่ถ่ายรูปคนงานทั้งหมดเอาไว้ อาจจะมีคนน่าสงสัยแปลกๆ เข้ามาเอาก็ได้”
“นายก็แค่ทำบัตรประจำตัวก็ได้นี่นา”
“ก็ด้วยรูปถ่ายนี่แหละ”
ฟาร์มาวางแผนไว้ว่าจะตัดรูปของคนแต่ละคนออกไปทำบัตรประจำตัวที่มีรูปถ่ายด้วย
“โรงงานของเขาจะต้องจัดการกับสารพิษและสารติดไฟจำนวนมาก ดังนั้นเราคงไม่อาจให้คนภายนอกเข้ามาได้โดยไม่ได้รับอนุญาตหรอก เพื่อความปลอดภัยแล้วต้องจัดการเรื่องนี้ให้ทั่วถึง”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ ท่านเทพโอสถ”
เสียงดังกล่าวนั้นได้มากระทบหูของฟาร์มาเข้า
คนที่ลงมาจากม้านั้นคือ นักบวชแห่งวิหารเปลวเพลิง เคียร่า เธอคือนักบวชที่ออกมาจากหมู่บ้านเอสทาร์กและมุ่งไปที่เมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นคนช่วยเหลือฟาร์มาในการมอบอาหารให้เข้าตอนนั้นอีกด้วย
“อ๊ะ คุณเคียร่า ผมติดหนี้บุญคุณ คุณซะเยอะเลย”
“มะ ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ”
เมื่อฟาร์มาก้มหัวของเขาลง เคียร่าก็ก้มหัวลงตามเหมือนด้วงไปด้วย
“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่กันครับ? คุณเป็นนักบวชนี่”
ในขณะที่ฟาร์มารู้สึกดีใจกับการพบเจออีกครั้ง ขณะเดียวกันเขาก็กังวลอย่างมากด้วยว่าตัวเธอจะถูกคว่ำบาตรอะไรไหมจากเรื่องนั้น
“ฉันมาที่นี่เพื่อสมัครเป็นคนงานค่ะ เหมือนกับผู้คนของหมู่บ้านเอสทาร์ก ฉันก็อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อโรงงานผลิตยาแห่งนี้ เพื่อรับใช้ท่านแล้ว ฉันจะขอฝึกฝนเรียนรู้ที่นี่โดยไม่รับค่าจ้างใดๆ ค่ะ”
เคียร่านั้นเป็นนักบวชสายฟื้นฟู แต่เดิมเธอก็ทำการรักษาเพื่อการกุศลที่คลินิกอยู่แล้ว
แม้จะบอกว่าเป็นนักบวชสายฟื้นฟู แต่เธอก็ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการรักษาแต่อย่างใด ถ้าจะพูดให้ชัดควรบอกว่าเธอเป็นนางพยาบาลมากกว่า ตัวเธอในตอนนี้ถูกงดเว้นโทษไว้เพราะได้รับการอนุญาตจากทางศาสนจักรก่อนแล้ว และการขอออกไปปฏิบัติงานด้านการรักษาเช่นนี้ ทางศาสนจักรย่อมอนุมัติเป็นธรรมดา
“คุณกำลังฝึกฝนอยู่เหรอครับ?”
“โอ้ คนรู้จักของฟาร์มาคุงเหรอ?”
เอเลนพูดขึ้นมา
โดยเธอรู้สึกบางอย่างแปลกๆ ว่า เคียร่าเหมือนจะกลัวอะไรบางอย่างอยู่
“โอ้ คุณเคียร่าเป็นนักบวชแห่งไฟใช่หรือเปล่า??”
“เป็นดังเช่นนั้นค่ะ”
เคียร่าเอามือของเธอวางทาบกับอกเอาไว้
“แล้วมีนักบวชคนอื่นๆ จะมาอีกหรือเปล่าครับ?”
เธอบอกว่าพวกเขาเหล่านั้นหากเป็นนักบวชสายฟื้นฟูแล้วจะต้องเดินทางออกมาฝึกฝนอยู่แล้ว
“นั่นเป็นเรื่องที่ดีเลยครับ ที่จริงผมมีบางอย่างที่อยากใช้ศาสตร์แห่งเทพของคุณช่วยพอดี”
ฟาร์มาพูดขึ้นมา
ดูเหมือนว่าหากใช้ศาสตร์แห่งเทพในกระบวนการผลิตยาแล้วประสิทธิภาพของมันจะดีขึ้นอย่างมากอีกทั้งยังลดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย
โดยศาสตร์แห่งเพลิงนั้นจะสามารถใช้ในการทำให้ยาร้อนขึ้นพร้อมกับการฆ่าเชื้อ ส่วนศาสตร์แห่งวายุนั้นจะทำให้ยาแห้ง ศาสตร์แห่งวารีจะทำให้น้ำท่าผ่านท่อนั้นเย็นลงอีกทั้งยังสามารถเก็บสินค้าต่างๆ ไว้ในอุณหภูมิที่ต่ำได้อีกด้วย ตัวของฟาร์มานั้นก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะใช้ศาสตร์พวกนี้ในกระบวนการทางเภสัชกรรมมาก่อน แต่ในเมื่อโลกใบนี้มันมีศาสตร์ดังกล่าวอยู่จึงเป็นเรื่องที่ควรลอง
พวกเขาสามารถเข้ามาชดเชยความบกพร่องในช่วงก่อตั้งโรงงานเริ่มแรกได้ อีกทั้งเรื่องของพลังงานภายในโรงงานอีกด้วย
“ค่ะ ฉันก็หวังว่าจะเป็นกำลังให้ท่านได้”
เคียร่าดูเหมือนมีความสุข
“ขอบคุณมากครับ งั้นมาเริ่มขยายขอบเขตของการจ้างงานผู้มีความสามารถด้านศาสตร์แห่งเทพเพื่อยกระดับการทำงานของเรากันเถอะครับ”
หลังจากนั้นไม่กี่วันต่อมา หน้าโรงงานผลิตยาต่างโลกก็ได้มีรูปถ่ายหมู่ขาวดำขนาดใหญ่ซึ่งแสดงถึงใบหน้าของพนักงานทุกคนตั้งไว้อยู่
แล้วเหล่าพนักงานของโรงงานต่างก็ได้รับบัตรประจำตัวที่มีรูปของพวกเขาอยู่
“รูปถ่ายนี่น่าสนุกจังเลยนะคะ ท่านเอเลนอร์!”
“ฉันก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันจะน่าตื่นเต้นได้ขนาดนี้”
“ฉันหวังว่าฟาร์มาคุงจะถ่ายรูปให้เรามากกว่านี้นะ เพราะเขาเป็นเด็กที่ใจดีนี่เนอะ”
“คือผมไม่ได้เก่งเรื่องถ่ายรูปนะครับ”
“เอ๋ ทั้งที่สร้างมันขึ้นมาเนี่ยนะ!?”
เอเลนและลอตเต้นั้นชอบกล้องถ่ายรูปเป็นอย่างมาก พวกเธอได้เปลี่ยนท่า
โพสต์กับตำแหน่งถ่ายรูปของตัวเองไปมาจนได้รูปออกมาจำนวนมาก ว่ากันว่าเซดริกนั้นสามารถพัฒนาทักษะการถ่ายรูปของเขาออกมาได้เป็นอย่างดี จนถูกลากให้ไปเป็นตากล้องเกือบทุกวัน อย่างไรก็ตามแม้การถ่ายรูปจะเป็นเรื่องที่รวดเร็วแต่ด้านของฝีมือการถ่ายนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะพัฒนากันง่ายๆ พวกเขารู้สึกว่าหากจะรอให้ฟาร์มาเชี่ยวชาญด้านนี้ไปเลยคงจะเสียเวลานานเกินไป พวกเขาจึงได้หาทางพัฒนาคนที่มีความสามารถด้านนี้แทนและจัดการพิมพ์รูปออกมาด้วยตัวเองเลย
แล้วฟาร์มาก็รู้สึกชื่นชมเหล่าสาวๆ ตั้งแต่ที่พวกเธอสามารถถ่ายรูปกันเองได้แล้วทุกเวลา
“ที่จริงพวกคุณสามารถทำคอลเล็กชั่นภาพถ่ายเล่มแรกของโลกได้เลยนะ”
‘ผมคาดว่าต้องมีคนสนใจซื้อรูปภาพเหล่านี้อยู่แล้ว แถมเรายังทำขายด้วยเครื่องอัดสำเนาได้อีกด้วย’ เมื่อฟาร์มาบอกถึงความเป็นไปได้ของรูปถ่ายเหล่านี้ทั้งสองคนก็หัวเราะออกมา
“ก่อนนายจะพูดแบบนั้นฉันว่านายไม่ไปทำคอลเล็กชั่นขององค์จักรพรรดินีก่อนไม่ดีกว่าเหรอ?”
พอได้ยินคำพูดของเอเลน ฟาร์มาก็ถึงกับหน้าซีด
“อ่ะ…”
“นี่นายลืมงั้นเหรอ? ห้ามนายไปทำอัลบั้มรูปอะไรก่อนที่จะได้ให้องค์จักรพรรดินีดูก่อนเด็ดขาดเลยนะ”
“ได้โปรดอย่าลืมเรื่องขององค์จักรพรรดินีนะคะ!”
ฟาร์มาถึงกับต้องจดบันทึกเอาไว้เลยว่า เขาจะต้องนำกล้องถ่ายรูปไปเสนอให้กับจักรพรรดินีเป็นคนแรกหลังจากเขากลับจากเมืองมาร์เชล
———
Note : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913