Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 50
นที่ 50 หลบหนีจากนครศักดิ์สิทธิ์และสมบัติลับ
จะเป็นเช่นไรหากเหล่านักบวชที่เป็นเวรยามนั้นพบว่าซาโลม่อนสามารถกลับมาใช้พลังของตนได้แล้วในรุ่งเช้า ตัวซาโลม่อนนั้นเป็นหัวหน้านักบวชที่อาศัยและทำงานอยู่ภายในโบสถ์ สืบเนื่องมาจากการต้องข้อหาเป็นกบฏเขาจึงไม่มีที่ให้ไป ตอนนี้ก็คงจำเป็นต้องใช้บ้าน เดอเมดิซิสเป็นที่กบดานไปก่อน
แต่ถึงจะบอกแบบนั้น เราก็รับประกันไม่ได้อยู่ดีว่าเขาจะปลอดภัย
“พวกเวรยามมักจะมาสอดส่องอยู่บ่อยๆ บางทีอีกไม่กี่ชั่วโมงพวกนั้นก็คงจะกลับมาแล้วนะครับ”
“งั้นก็รีบกันเถอะครับ หากคุณหนีไปทางพื้นดินก็คงไม่พ้นถูกคนพวกนั้นจับเอาได้ ดังนั้นบินหนีกันเถอะครับ คทานี้ดูเหมือนจะพอรับสองคนไหว แต่เพราะคุณไม่สามารถจับตัวคทากับร่างของผมแล้วบินไปได้ ดังนั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกันนะครับ”
ฟาร์มาสังเกตเห็นว่ามีล็อกทองเหลืองรูปตัว D ได้ถูกแขวนไว้ที่ช่องทางเข้าของคุก เขาได้ลบช่องดังกล่าวนั้นออกไปเพียงบางส่วน จากนั้นก็ได้นำส่วนหนึ่งออกมาเชื่อมต่อกับห่วงโซ่ที่ติดกับกุญแจมือของซาโลม่อน แล้วก็นำมันมาเชื่อมต่อกับคทาเทพโอสถ
แผนของฟาร์มาคือการนำซาโลม่อนไปด้วยขณะที่ห้อยเขาไปกับตัวคทา
“แล้วก็นี่ครับ ผ้าคลุมจะช่วยให้ตัวคุณอุ่นขึ้น”
ซาโลม่อนผู้รับรู้ถึงพลังการ “ลบล้าง” ของฟาร์มาได้เอ่ยปากขึ้น
“ท่านฟาร์มาไม่ทราบว่าท่านสามารถสร้างคทาจากแท่งเหล็กเหล่านี้ได้หรือไม่?”
“ได้สิครับ ว่าแต่จะดีเหรอครับถ้าทำจากแท่งเหล็กแบบนี้?”
บางทีคงจะเป็นเพราะแท่งเหล็กนี้ทำมาด้วยวัสดุพิเศษซาโลม่อนเลยขอแบบนั้น
“แม้จะไม่มีตัวคริสทัล แต่ด้วยพลังของท่านและแดนศักดิ์สิทธิ์นี้คงจะพอทำให้มันเป็นคทาระดับล่างได้อยู่ครับ”
ซาโลม่อนกล่าวว่าคทาแห่งเทพนั้นจะถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์โดยเหล่านักบวช มันจึงจะสามารถใช้ได้เฉกเช่นคทาทั่วไปที่เห็นกัน แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าการจะทำคทานั้นได้ยังไงก็ต้องผ่านมือเหล่านักบวชของมหาวิหาร
ซาโลม่อนที่ครอบครองความลับของทางมหาวิหาร เมื่อคนพวกนั้นรู้ว่าตนยังมีชีวิตอยู่และหนีออกไปได้ ตัวเขาต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ เพราะในมุมมองของทางมหาวิหารแล้วซาโลม่อนคือคนที่ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อ
“แต่ก็มีหลายอย่างที่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจนะครับ…เช่นหากผมสวดภาวนาตามบทสวดที่คุณบอกมันจะสามารถสร้างคทาที่ว่าได้ไหม”
“หากเป็นคนทั่วไปแล้วจำเป็นจะต้องเข้าฝึกฝนจนผ่านพิธีการเป็นนักบวชและชำระล้างร่างตัวเองก่อนครับ แต่ด้วยร่างของท่านฟาร์มาที่ถูกอาบไปด้วยธาตุบริสุทธิ์เช่นนี้อีกทั้งพลังของคทาแห่งเทพโอสถผู้สรรค์สร้างคงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด”
“คุณจะบอกว่าเทพโอสถสร้างคทานี้ขึ้นมาเพื่อการนี้ด้วยงั้นเหรอครับ?”
“มันก็เป็นเรื่องเล่าที่ร่ำลือกันมานะครับ แต่หากอิงจากความพิเศษและความประณีตของวัสดุที่สร้างมันขึ้นมาแล้วก็น่าจะเป็นเช่นนั้นจริงครับ”
“นั่นสินะครับ”
เพราะเราเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคทาแห่งเทพโอสถนั้นสร้างมาจากอะไร…
เพราะเขาสังเกตได้ว่าสสารที่สร้างตัวคทาขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่บนโลกของเขา
“ผมเองก็อยากจะสร้างคทาของผมขึ้นมาใหม่เหมือนกัน เพราะผมสัญญาว่าจะคืนคทานี้กลับไปให้ทางนั้นด้วยสิ”
ฟาร์มาหวังว่าคทาอันใหม่ที่เขาสร้างขึ้นนั้นจะมีคุณสมบัติและความสามารถไม่ต่างอะไรกับคทาแห่งเทพโอสถนัก
“เช่นนั้นหรือครับ แต่จะดีเหรอครับที่จะส่งคทานั้นกลับไปยังมหาวิหาร สิ่งนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะสามารถรับมือได้นะครับ อีกทั้งท่านยังได้ใช้มันในการช่วยเหลือผู้คนเป็นจำนวนมาก ไหนจะเรื่องตอนเมืองหลวงจักรวรรดิอีก ท่านฟาร์มามีแต่ท่านเท่านั้นแหละครับ ที่เหมาะสมกับคทาแห่งเทพโอสถที่สุด”
ซาโลม่อนก้มหัวลงพร้อมกับความรู้สึกที่ดูสลดใจผ่านคำพูดนั้น
“ยังไงก็มาออกจากที่นี่กันก่อนเถอะครับ! อ่ะ!!”
เมื่อฟาร์มากำลังจะออกไปจากช่องหน้าต่างของห้องขัง เขาก็เห็นว่า มีเวรยามจำนวน 5 คนกำลังลาดตระเวนอยู่
พวกเขาเหล่านั้น มีหน้าที่ในการสอดส่องรอบๆ คุกหากว่าจะหนีออกไปทางหน้าต่างก็คงไม่พ้นถูกเจอตัวเอาแน่
“งั้นเราออกทางนี้กันแทนเถอะครับ”
ว่าแล้วประตูห้องขังก็ได้ถูกเปิดออก แล้วพวกเขาก็ตรงไปยังทางเดิน
“การจะออกไปจากห้องใต้ดินของวิหารแห่งนี้ได้นั้น เราจำเป็นจะต้องมุ่งไปยังทางออกฉุกเฉินที่อยู่ภายในนี้เท่านั้น ผมต้องขออภัยท่านจริงๆ แต่รบกวนท่านช่วยเปิดประตูตรงนี้ได้หรือไม่”
แล้วฟาร์มาก็ทำการสลายประตูเหล็กนั้นออกก่อนจะมุ่งไปยังทางออกฉุกเฉินที่ลึกลงไปจากชั้นนี้แล้วฟาร์มาก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“จะว่าไปแล้วคุณเคยบอกผมไว้ครั้งก่อนว่า สมบัติลับได้ถูกเก็บไว้ที่ใต้วิหารนี้ใช่หรือเปล่าครับ?”
“เป็นเช่นนั้นครับ”
“จะพอเป็นไปได้หรือเปล่าครับที่เราจะไปสำรวจมันก่อนจะหนีออกไป?”
เราก็ไม่คิดหรอกว่าจะมีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีก ดังนั้นหากเป็นไปได้ก็อยากจะเห็นของชิ้นนั้นก่อนจะกลับเหมือนกัน
“หากไปที่นั่นก็คงจะใช้เวลากันนานไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเราคงถูกจับได้แน่ๆ ครับ”
“ผมแค่จะไปดูเฉยๆ เท่านั้นครับ”
“งั้นก็ทางนั้นครับ”
แล้วพวกเขาก็ค่อยๆ ตรงไปยังส่วนที่เก็บสมบัติชั้นใต้ดินซึ่งมีสมบัติลับชิ้นนั้นถูกเก็บรักษาเอาไว้
ฟาร์มาได้ทำการสลายประตูขนาดใหญ่นั้นออกไป
ใจกลางของห้องดังกล่าวได้มีสมบัติถูกจัดวางไว้ภายในกล่องแก้วบนแท่น ซึ่งถูกตกแต่งอย่างสวยงามและหรูหรา ซาโลม่อนได้ทำการแนะนำกับฟาร์มาก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไปในห้อง
“หากท่านได้เหยียบไปยังพื้นห้องนี้ พวกมันจะตอบสนองต่อพลังศักดิ์สิทธิ์ของท่านเอาได้ ดังนั้นหากจะเขาไปแล้ว กรุณาลอยตัวเข้าไปแทนน่าจะดีกว่าครับ”
ฟาร์มารู้สึกขอบคุณซาโลม่อนเป็นอย่างยิ่ง สำหรับข้อมูลต่างๆ รวมไปถึงโครงสร้างของทางมหาวิหารนี้ด้วย
“นี่เองสินะ ของที่ว่า”
ฟาร์มาได้ลอยอยู่บนคทาแห่งเทพโอสถที่กำลังค่อยๆ เข้าไปใกล้มหาสมบัติ โดยมีซาโลม่อนคอยดูต้นทางให้
“สมบัติลับชิ้นนี้จะมีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเมื่อถูกสัมผัสหรือเปล่าครับ?”
“มนุษย์ธรรมดานั้นมิอาจจะสัมผัสกับสมบัติลับชิ้นนั้นได้ครับ หากพวกเขาจะทำจริงๆ ก็ไม่ใช่การสัมผัสโดยตรงแต่เป็นการสัมผัสผ่านตัวแก้ว”
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหัวขโมยเลยแฮะ
“งั้นผมจะลองสัมผัสมันดูนะครับ”
“ว่าไงนะครับ ว่าแต่ท่านจะจับมันได้ยังไง โดยที่ไม่ผ่านกล่องแก้วนั้น?”
ฟาร์มาได้ยกมือขึ้นและยื่นไปที่กล่องแก้วนั้น มือของเขาได้แทรกผ่านเข้าไปภายในกระจกก่อนจะหยิบสมบัติลับออกมา โดยที่ตัวเขาระวังในส่วนของสัญญาณเตือนภัยเป็นอย่างมาก
“นี่..เรื่องจริงเหรอเนี่ย เราก็ไม่คิดหรอกนะว่ามันจะมีอยู่เอาจริงๆ!!”
มีคุณสมบัติโปร่งแสงและถูกจัดเก็บเอาไว้อย่างดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า….
นี่มันบัตรประจำตัวของเราไม่ใช่หรือไง…
ในตลอดช่วงชีวิตของเขา หากความทรงจำของเขาถูกต้อง บัตรประจำตัวของเขาจะต้องอยู่ในกระเป๋าเสื้อขณะที่เข้าได้เสียชีวิตไป แต่ดูเหมือนว่าบัตรดังกล่าวคงจะถูกส่งมายังโลกใบนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
“นี่มันคือปาฏิหาริย์สินะ หรือเป็นเพราะนั่นก็คือหนึ่งในสมบัติของเทพโอสถกัน ปาฏิหาริย์เช่นนี้จึงบังเกิดขึ้น?”
“ที่จริงมันก็ไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอกครับ นี่มันก็แค่บัตรประจำตัวเท่านั้นเอง”
ฟาร์มาเริ่มคิดว่าบางทีอาจจะมีของชิ้นอื่นๆ ถูกส่งมาด้วยก็เป็นได้ เช่นพวก โทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ บางทีหากสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ด้วยก็คงจะนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายเลยทีเดียว
เขาถอนหายใจพร้อมกับสงสัยว่า ทำไมเขาถึงมาทีนี้พร้อมกับบัตรประจำตัวได้
“แล้วคุณสมบัติของ บัตรประจำตัว ที่ท่านว่าคืออะไรเหรอครับ?”
ซาโลม่อนรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของ บัตรประจำตัว
“นอกจากการยืนยันระบุตัวบุคคลได้แล้ว ก็คงจะสามารถใช้ปลดล็อกสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่าง….”
เช่นห้องปฏิบัติการ
“แล้วสิ่งอำนวยความสะดวกที่ว่ามันอยู่ที่ใดกันครับ?”
ซาโลม่อนได้ถามต่อ ความลับของสมบัติลับกำลังจะถูกเปิดเผยแล้ว
“คือ มันคงไม่ได้อยู่ในอาณาจักรนี้หรอกครับ”
“กุญแจที่จะนำพาไปยังสถานที่ ที่ไม่มีอยู่บนโลกนี้สินะครับ เข้าใจแล้วครับ…”
ซาโลม่อนคิดเช่นนั้น
“ก่อนหน้านี้ คุณซาโลม่อนบอกไว้ว่า เทพโอสถได้ใช้พลังอันศักดิ์สิทธิ์ กลับไปสู่สวรรค์สินะครับ”
ฟาร์มาจำคำพูดของเขาได้
“คุณคิดว่าเราจะไปหามันได้ที่ไหนกันครับ?”
“มันไม่ได้ถูกเขียนเอาไว้ในพระคัมภีร์ที่ผมสามารถอ่านได้ด้วยสิครับ บางทีพระคัมภีร์ต้นฉบับอาจจะมี แต่นั่นก็คงมีแต่พวกนักบวชชั้นสูงที่จะสามารถอ่านมันได้…”
พอเขาพูดถึงตรงนั้น ก็มีเสียงดังขึ้นมา
“รู้สึกเหมือนผมจะได้ยินเสียงเข้ามาใกล้ๆ นี้นะครับ รีบออกไปกันจะดีกว่า”
“นั่นสินะครับ”
เราอยากจะรู้เรื่องของบัตรประจำตัวมากขึ้นด้วยสิ..งั้นขอยืมไปสักพักหนึ่งก่อนก็แล้วกัน
ฟาร์มาได้หยิบแบบจำลองในกระเป๋าของเขาขึ้นมาเทียบ
บางทีคงจะความแตกเอาแน่ๆ หากเอาของจำลองนี้ไปแทนต้นแบบทั้งแบบนี้เลย
แบบจำลองนั้นถูกสร้างด้วยแผ่นเหล็กที่ทาสีมาอย่างประณีต ฟาร์มาได้ทำการสร้างกระจก SiO2 (ซิลิคอนไดออกไซด์/คล้ายๆ แก้วผลึก) ขึ้นมาโดยให้มีขนาดเท่ากับตัวบัตร แล้วก็ทำการวางเคลือบเข้าไปยังแผ่นจำลองนั้นและทำการลบส่วนประกอบของเหล็กภายในออกไป ซึ่งนั่นจะทำให้มันดูคล้ายกับแบบตัวแบบหากมองผ่านตัวกระจกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นฟาร์มายังเคลือบผิวแบบจำลองด้วยวัสดุสะท้อนแสงอีกทีเพื่อให้เนียนยิ่งขึ้น นอกจากนี้เขายังเสริมพลังศักดิ์สิทธิ์สร้างความแข็งแกร่งกับกระจกให้อยู่ในระดับกลาง
ทีนี้แบบจำลองที่ฟาร์มานำมาก็จะเปล่งประกายด้วยพลังของฟาร์มาและโปร่งแสงอีกด้วย
“เสร็จแล้วครับ แบบนี้เป็นไงบ้างครับ พอจะเหมือนกับต้นแบบแล้วหรือยังครับ?”
ซาโลม่อนถึงกับงุนงง
“ก็ ได้อยู่นะ..ครับ…”
จากนั้นฟาร์มาก็ได้กุมมือทั้งสองข้างเอาไว้ แล้วรวบรวมพลังของเขาเอาไว้ก่อนจะปล่อยไปยังแบบจำลองนั้น เพื่อให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของเขา แล้วก็หลอมรวมมันเข้ากับสสารภายในที่สามารถแทรกทรงกระจกเข้าไปได้โดยไม่ถูกสัญญาณเตือนภัย (เหมือนทำให้ร่างของเขา บัตร กระจก กลายเป็นสิ่งเดียวกัน) แล้วเขาก็วางบัตรจำลองกลับไปแทนที่ของเดิม
ถึงจะไม่ใช่ร่างจริงๆ ของเราแต่ดูเหมือนร่างนี้จะมีประโยชน์มากพอตัวเลย
ฟาร์มาเริ่มสังเกตเห็นว่าร่างของเขานั้นมีประโยชน์ในหลายแง่มุมหากไม่นับเรื่องที่ไม่มีเงาแล้ว
“ผมจะขอยืมมันไปสักพักหนึ่งนะครับ ไว้เดี๋ยวจะหาทางกลับเอามาคืนทีหลัง”
“ตั้งแต่แรกมันสมบัติพวกนี้มันก็เป็นของเหล่าเทพผู้พิทักษ์อยู่แล้ว เพียงแต่ถูกเหล่ามนุษย์เก็บไว้เท่านั้นครับ”
ทันใดนั้น…..
“ข้าว่าเสียงมาจากทางนี้นะ!”
เหล่าเวรยามนักบวชได้มุ่งมาทางนี้ ประมาณ 10 กว่าคนพร้อมกับคทาแห่งเทพเต็มอัตราศึก
“ดูท่าเราคงใช้เวลากันมากไปสินะ”
ฟาร์มามองไปรอบๆ ก่อนจะเอาฮู้ดมาคลุมใบหน้าไว้ แล้วเก็บสมบัติลับชิ้นนั้นใส่กระเป๋าเสื้อ
ซาโลม่อนก็ปิดใบหน้าของตนไว้ด้วยเศษผ้าที่อยู่ภายในห้องขัง
“นั่นผู้บุกรุก!? พวกเจ้าเป็นใครกัน”
“ขออภัยด้วยครับ แต่ผมไม่ได้แตะต้องสมบัตินั้นเลยนะครับ”
ภายใต้ความมืดนั้นพวกเขาไม่สามารถมองเห็นหน้าคนอื่นได้แน่ๆ ฟาร์มากับซาโลม่อนนั้นไม่สามารถแทรกตัวผ่านไปกับความมืดได้นั้นเป็นเพราะแสงสว่างที่มาจากคทาแห่งเทพโอสถซึ่งกำลังทำงานอยู่เมื่อสักครู่นี้ รวมไปถึงเหล่าเวรยามคงจะพบแล้วว่าซาโลม่อนนั้นได้หลบนี้และทำการส่งทีมไล่ล่าออกค้นหา
“ศรน้ำแข็ง”
นักบวชคนหนึ่งได้ร่ายมนตร์ยิงศรน้ำแข็งนับไม่ถ้วนออกมา
แย่แล้ว!!!
ฟาร์มาได้ร่ายมนตร์พร้อมกับนำคทาออกมาโดยนึกถึงภาพของลูกศรกำลังถูกละลาย ก่อนที่เหล่าลูกศรดังกล่าวนั้นจะระเหยไป
นั่นเป็นศาสตร์แห่งเทพขั้นสูงของธาตุวารี ภายใต้การควบคุมความเยือกแข็ง(จุดเดือด) ที่เอเลนได้สอนเขา อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้ถือเป็นสิ่งที่ตกทอดกันมาและหาได้ยากเหล่านักบวชจึงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ฟาร์มาได้ทำ
“นี่แกทำอะไรลงไปกัน!”
นักบวชสองคนจึงได้เอาคทามาประสานกัน ก่อนจะร่ายมนตร์รวมกันเพื่อเสริมพลังให้รุนแรงขึ้น
“เปลวเพลิงแห่งขุมนรก”
เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ขนาดยักษ์กำลังจะถูกร่ายใส่ฟาร์มา
นี่พวกเขาตั้งใจจะใช้เปลวไฟขนาดใหญ่แบบนี้ในพื้นที่ปิดงั้นเหรอ?
ฟาร์มาได้พยายามตัดสินใจว่าเขาควรทำเช่นไรดีหากออกซิเจนถูกเผาไหม้ไปในพื้นที่ปิดเช่นนี้
“รีบหนีกันให้ไวเลยครับ!”
ฟาร์มาบอกกับซาโลม่อน
“ผู้บุกรุกนั่นเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารี”
หนึ่งในนักบวชที่ตามมาตะโกนขึ้น
“ให้ผมจัดการเองครับ”
ซาโลม่อนได้ทำการวาดเส้นลวดลายบนพื้นหิน ด้วยคทาแท่งเหล็กที่ฟาร์มาทำให้ก่อนหน้านี้ จากนั้นหินที่ถูกร่ายมนตร์เอาไว้ก็ลอยขึ้นจากพลังของซาโล
ม่อน
“ผืนดินพิโรธ”
หินที่ลอยขึ้นมานั้นถูกควบคุมทิศทางโดยซาโลม่อนและพุ่งไปยังเหล่านักบวช
“อ๊ะ!”
แม้ว่าเหล่านักบวชที่เป็นผู้ใช้ศาสตร์วารีจะสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมา แต่ก็มิอาจต้านการโจมตีนั้นได้
“นี่มันผู้ใช้ศาสตร์แห่งปฐพีระดับสูง!!”
ซาโลม่อนไม่ได้ตั้งใจเล็งที่ตัวพวกนักบวชโดยตรงแต่พลังทำลายนั้นก็มากพอจะทำให้เสาภายในมหาวิหารเสียหาย ซึ่งมันก็มากพอแล้วที่จะมองว่าเป็นภัยคุกคาม
“ต้องขออภัย แต่พวกเราจำเป็นต้องหยุดการเคลื่อนไหวของพวกเจ้า”
ซาโลม่อนได้ร่ายมนตร์และปลดปล่อยพลังไปยังคทาชั่วคราวของเขาก่อนจะโยนตัวคทาไปยังที่พวกนักบวชอยู่ ด้วยการคำนวณเวลาเป็นอย่างดี ซาโลม่อนก็ได้ทำการร่ายมนตร์ต่อทันที
“ผืนทรายสูบ”
แม้จำแลกกับการสูญเสียคทาไป แต่ก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
ในเวลาเดียวกันนั้น พื้นของมหาวิหารก็ยุบลงและกลายเป็นหลุมทรายดูด
“อะไรกัน!?”
“นี่มัน…!”
เหล่านักบวชต่างพยายามพากันหลบหนี แต่ก็มีเส้นสีขาวที่ถูกทำเครื่องหมายเอาไว้ที่พื้นอยู่ราวกับต้องการตรึงพวกเขาเอาไว้
เหล่านักบวชได้สูญเสียที่ยืนและไถลลงไปข้างล่างซึ่งเป็นทรายดูด
ซาโลม่อนเสียคทา แลกกับการหยุดฝ่ายตรงข้ามไว้
จากนั้นฟาร์มาก็ได้นำคทาแห่งเทพโอสถบินขึ้น แล้วมองลงไปที่หลุมข้างล่าง
ฟาร์มาไม่ได้ต้องการให้พวกเขาถูกฝังอยู่ข้างใต้มหาวิหารเช่นนั้น แต่พอมองไปยังพวกเขาก็มีแต่แผลฟกช้ำทำให้โล่งใจไปบ้าง
“พวกเจ้ารออีกวันหนึ่งผลของมันก็จะหมดลง”
“วันหนึ่งเนี่ยนะ…..!”
แม้จะกังวลไปบ้างเนื่องจากหลุมดูดเป็นวงกว้าง แต่หากมีอากาศให้หายใจคงไม่เป็นไร
“เราต้องรีบไปแล้วท่านฟาร์มา ทางออกอยู่ตรงนั้น”
“คุณซาโลม่อนนี่ดูบางทีก็เหมือนทำอะไรเกินตัวไปหน่อยนะครับ”
“ผมครั้งหนึ่งก็เป็นคณะผู้ไต่สวนนะครับ อะไรที่ใช้ได้ผมก็ใช้หมดแหละครับ”
ซาโลม่อนนำทางฟาร์มาเดินไปยังทางน้ำใต้ดินที่แสนยาวไกล โดยไร้ซึ่งแสงสว่าง แต่ก็ดีที่ยังมีแสงสว่างจากคทาแห่งเทพโอสถคอยให้แสงนำทาง จนท้ายที่สุดพวกเขาก็ถึงทางออก
นี่คือทางน้ำใต้ดินลำดับที่ 6 มันจึงนำทางออกไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ของมหาวิหารในนครศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเขาเปิดประตูระบายน้ำออก ก็พบกับแสงสว่างจากบนท้องฟ้า
“งั้นก็บินกันเลยนะครับ”
ฟาร์มาได้เชื่อมต่อคทาของเขาเข้ากับห่วงโซ่ผ่านตัวล็อกเพื่อกันไม่ให้ซาโล
ม่อนสัมผัสกับคทา
“ไม่หนักไปใช่หรือเปล่าครับ?”
ซาโลม่อนเริ่มกังวล
ตราบใดที่ฟาร์มายังคงเหลือพลังแห่งเทพในการใช้พลังการลอยตัวของคทายังอยู่ ก็อาจจะแบกคนได้เป็นสิบๆ ก็เป็นได้
“ว๊ากกกก!” ซาโลม่อนร้องเสียงหลงออกมา
ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น ฟาร์มาได้บินอยู่บนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง
นครศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ มีขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆ ซาโลม่อนที่มีอาการกลัวความสูงได้พยายามมองขึ้นไปข้างบนฟ้า และพยายามไม่ให้ตัวเองมองลงไปข้างล่างเป็นอันขาด
หลังจากฝ่าอากาศอันหนาวเหน็บบนท้องฟ้ากว่าชั่วโมงโดยไม่พัก ในที่สุดฟาร์มาและซาโลม่อนก็ถึงยังเมืองหลวงจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ
ฟาร์มาได้กลับมาถึงห้องของเขาผ่านทางหน้าต่าง ก่อนจะล้มตัวนอนลงไป
…━━…━━…━━…
“จักรพรรดินีได้ทำการติดต่อกับเทพโอสถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…”
ปิอุส พระสันตะปาปาของนครศักดิ์สิทธิ์บีบจดหมายที่เขาได้รับมาจากนกพิราบสื่อสารของคอมพ์จากที่คอมพ์รายงาน เทพโอสถจะทำการส่งคืนคทาแห่งเทพโอสถให้หากตนสามารถพบกับซาโลม่อนได้ แล้วก็เขายังบอกอีกว่าฟาร์มาจะเดินทางมายังนครศักดิ์สิทธิ์ได้หากตัวพระสันตะปาปาได้เดินทางมาหารือและพูดคุยอย่างเป็นทางการกับจักรพรรดินี สืบเนื่องจากตัวเขาก็เป็นหนึ่งในแพทย์โอสถหลวง
“แบบนี้คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะนำเทพโอสถมาที่นครศักดิ์สิทธิ์และกักตัวเขาไว้ที่มหาวิหาร”
“คงไม่คุ้มหากนครศักดิ์สิทธิ์ต้องมีเรื่องกับจักรพรรดินีของแซงต์เฟลิฟรวมไปถึงคนของทางเทพโอสถด้วย”
หัวหน้านักบวชของทางแซงต์เฟลิฟก็หนักใจในเรื่องนี้เช่นกัน เพราะจักรพรรดินี เอลิซาเบทที่สองนั้น เป็นที่รักของเหล่าปวงประชา แถมยังไม่สามารถไปข่มขู่เธอได้โดยตรง เพราะหากนับเรื่องอำนาจทางการทหารแล้วไม่มีอาณาจักรไหนสามารถเทียบได้ จะใช้องค์รัชทายาทก็ไม่ได้เสียด้วย (เนื่องจากมีลูกคนเดียว)
ปิอุสผู้มีความสามารถในการปิดผนึกชีพจรแห่งเทพนั้นย่อมไม่เกรงกลัวหากจะต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดินีตัวต่อตัว
แต่การจะเปลี่ยนพันธมิตรอย่างจักรวรรดิให้กลายเป็นศัตรูก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ
หากจักรพรรดินีโปรดปรานในตัวของเทพโอสถแล้ว มันก็คงเป็นการยากที่จะล่อให้เขามายังมหาวิหาร
“ดูเหมือนว่าเทพโอสถองค์ปัจจุบันจะเปี่ยมไปด้วยพลัง เพราะเพียงแค่ก้าวเข้ามาที่พื้นของโบสถ์มันก็เปล่งแสงออกมา เรียกได้ว่าโอกาสแบบนี้ใช่ว่าจะมีอีกหนนะครับ”
“อืม…บันทึกการจุติของเทพโอสถที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีพลังขนาดนี้เสียด้วย ในอดีตที่ผ่านมาถึงจะเป็นเทพองค์อื่นก็น้อยนักจะทำให้พื้นเปล่งแสงออกมาได้ หรือนี่จะเป็นเพราะการที่เทพโอสถไม่ได้ลงมาจุติเป็นเวลานานเลยส่งผลให้เป็นเช่นนี้งั้นหรือ…”
เทพผู้พิทักษ์จะคอยหมุนเวียนจุติสลับกันไป โดยมีหลักการที่พอจะสามารถคาดเดาและคำนวณได้ว่าเทพองค์ใดจะมาจุติเป็นองค์ถัดไป แต่ตามบันทึกครั้งล่าสุดนั้นเทพโอสถได้ถูกข้ามไปเป็นเทพองค์อื่นแทน นั่นจึงเป็นหนึ่งในข้อสันนิษฐานของเขา
“หรือจะเป็นเพราะการที่ได้รับพลังจากเทพถึงสององค์….ไม่สิ อาจจะเกิดจากการรวบกันของพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่สะสมอยู่ในสรวงสวรรค์เป็นเวลานานก็ได้เหมือนกันนี่นะครับ?”
“คงจะเสียหายไม่น้อยหากปล่อยเรื่องนี้ไป…เพราะแค่นี้ก็ยากพออยู่แล้วที่เทพผู้พิทักษ์จะจุติลงมาสักครั้ง เรื่องแบบนี้ก็ไม่รู้จะมีครั้งต่อไปอีกเมื่อไหร่ด้วย”
“แล้วทำไมพลังอันสูงส่งเช่นนี้ถึงได้อยู่กับเทพโอสถที่ทำได้แค่สร้างยากับรักษาผู้คนกัน…?”
“หากพลังนั้นถูกนำออกมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์แล้วละก็…โอ้…ไม่ได้การแล้วพลังอันศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น กลับไปอยู่ภายในเทพโอสถ มันเสียของชัดๆ เลย”
มีเรื่องเล่ากันว่ามหาวิหารนั้นได้พยายามรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเทพผู้พิทักษ์อยู่อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ปิอุสเขาก็จำได้ว่าเทพโอสถบอกไว้ว่าจะนำคทาแห่งเทพโอสถมาคืนที่มหาวิหารอยู่แล้ว
ปิอุสสงสัยว่าทำไมเทพโอสถถึงได้เลือกอยู่ข้างซาโลม่อนกัน แต่หากนักบวชที่ชื่อซาโลม่อนนั้นสามารถใช้เป็นตัวประกันในการต่อรองได้ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ใช้มัน
“เจ้าจงอย่าได้ละสายตาไปจากซาโลม่อน แล้วก็จับตาดูไม่ให้เขาฆ่าตัวตายด้วย….”
เวลาแห่งจุดจบใกล้มาถึงแล้ว แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น….
“พระสันตะปาปา! ซาโลม่อนหลบหนีไปแล้วครับ!!”
ครูเซเดอร์ได้เข้ามารายงานต่อผู้บัญชาการ นั่นจึงทำให้ทั้งผู้บัญชาการหน่วยของ
ครูเซเดอร์และปิอุส ประหลาดใจ
“ได้ยังไงกัน!? แล้วเขาหนีไปได้ยังไง ชีพจรแห่งเทพถูกปิดผนึกอยู่ไม่ใช่หรือไง!”
ผู้บัญชาการหน่วยตะโกนใส่ครูเซเดอร์ที่เข้ามารายงาน
“แท่งเหล็กที่ติดไว้กับหน้าต่างคุกได้ถูกนำออกไปรวมไปถึงแท่งเหล็กในจุดอื่นอีกบางส่วน อีกทั้ง…ตัวล็อกยังหายไปอีกด้วยครับ…ต้องขออภัยจริงๆ!!”
“รีบออกค้นหาซะ! มันคงหนีไปไหนไม่ไกล! คงจะยังไม่พ้นประตูเมืองไปหรอก”
ในวันนั้นเองนครศักดิ์สิทธิ์ก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย นักบวชทุกคนต่างได้รับหน้าที่ในการออกค้นหาซาโลม่อน
แต่ไม่ว่าจะหายังไงก็ไม่พบ แถมมีรายงานว่าพบผู้บุกรุกสองคนซึ่งเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารีและปฐพีที่ชั้นใต้ดินของมหาวิหาร หัวของเหล่าเวรยามยังพอจะรอดไปได้และจบเพียงการตำหนิเนื่องจากสมบัติลับยังปลอดภัยไม่ได้ถูกขโมยไปด้วย
“ถ้ายังหาไม่พบอีก เป็นไปได้ว่าซาโลม่อนมันอาจจะฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้”
“แล้วจะเทพโอสถจะโมโหเอาหรือเปล่าครับ หากรู้ว่าซาโลม่อนหายไปแบบนี้?”
เรื่องชวนปวดหัวได้เข้ามาสุมปิอุสมากยิ่งขึ้น ในกรณีนี้ เทพโอสถคงไม่มีทางมายังนครศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่
…━━…━━…━━…
ผ่านมาสองวันแล้วที่ฟาร์มาและซาโลม่อนกลับมายังเมืองหลวงจักรวรรดิ
หัวหน้านักบวชที่ถูกส่งมาจากมหาวิหารได้เดินทางมาที่บ้าน เดอ เมดิซิส พร้อมกับจดหมายส่วนตัวที่ส่งตรงมาจากนครศักดิ์สิทธิ์
“จากการตัดสินของมหาวิหารนั้น ผลคือให้ท่านฟาร์มาทำการดูแลคทาแห่งเทพโอสถต่อไปอีกพักหนึ่งครับ”
ฟาร์มารู้สึกประหลาดใจต่อผลรายงานของนักบวชที่กำลังรายงานอยู่ด้วยสีหน้าปั้นยาก
“ทำไมกันล่ะครับ ผมพึ่งจะรายงานให้จักรพรรดินีเรื่องที่ผมจะเดินทางไปที่นั่นด้วยสิ”
ฟาร์มาอย่างรู้ถึงเหตุผล
“ซาโลม่อน…ตอนนี้กำลังป่วยหนักอยู่ เขาคงจะไม่พร้อมเจอท่านเร็วๆ นี้”
“นั่นใช่เรื่องจริงเหรอครับ เพราะที่ผมได้ยินมาคือ ชีพจรแห่งเทพของเขาถูกปิดผนึกแถมร่างกายเขาก็เริ่มอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ”
ฟาร์มาแสดงสีหน้าเคลือบแคลงออกมา
“ไม่เลยครับ ไม่เป็นเช่นนั้นแน่ๆ ….ไว้ผมจะติดต่อท่านอีกครั้งเมื่อทางมหาวิหารติดต่อมานะครับ ขอตัวก่อน!”
หลังจากนั้นเขาก็รีบวิ่งกลับไปด้วยความรวดเร็ว
ซาโลม่อนที่แต่งกายด้วยชุดธรรมดาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ
“ก็แบบนั้นแหละครับ…”
“ไม่คิดเลยนะครับ ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปได้”
แล้วทั้งคู่ก็มองหน้าก่อนจะยิ้มหัวเราะให้กัน
——–
Note : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913