Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 53
นที่ 53 การบำบัดน้ำสะอาด
“ตรงนี้ก็ทำได้เพียงรักษาตามอาการไปก่อนนะครับ”
ฟาร์มาทำการฉีดยาให้กับเด็กที่มีอาการขาดน้ำ โดยการใช้วิธีการทั่วไปอย่างการให้น้ำเกลือแร่ แม้จะมีผลวิจัยว่าหากในกรณีที่มีอาการรุนแรงมากไม่ควรจะใช้วิธีนี้ แต่เนื่องจากฟาร์มาพิจารณาแล้วว่า ความชุ่มชื้นในของเสียจากร่างเด็กนั้นยังไม่ได้หมดไปเสียทีเดียว ดังนั้นการใช้วิธีให้เกลือแร่ไปก่อนจะสามารถช่วยให้ร่างกายกำจัดไวรัสออกไปได้ผ่านของเสีย
“ทำได้แค่รักษาตามอาการไปเท่านั้นงั้นเหรอ นี่เธอทำอะไรไม่ได้นอกเหนือจากนี้แล้วหรือไง?”
เอเลนถามด้วยความขุ่นข้องใจ เธอยังสงสัยอยู่ว่ามีวิธีใดอีกกันที่จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับเด็กคนนี้ ความล้มเหลวไม่ใช่ตัวเลือกที่เธอต้องการ…เธอได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ
“ถึงตรงนี้มันขึ้นอยู่กับพลังใจและดวงของเด็กคนนี้แล้ว เพราะเราไม่มียาใดจะจัดการกับไวรัสตัวนี้ได้เลย”
ฟาร์มาไม่มีคำอธิบายใดๆ นอกจากนั้น แถมการรักษาต่อจากนี้ไปก็ยิ่งทำได้ยาก
“แล้วก็ระวังอย่าให้เราติดเชื้อตัวนี้ด้วยนะ เพราะไวรัสตัวนี้มันสามารถติดต่อกันได้ง่ายมาก ยิ่งไปกว่านั้นท่านพี่ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ อีกทั้งเชื้อตัวนี้ยังสามารถส่งผ่านจากแม่สู่ลูกได้อีกด้วย”
“เส้นทางการติดเชื้อคือผ่านช่องปากสินะ”
กล่าวได้ว่า การติดเชื้อดังกล่าวสามารถปนเปื้อนผ่านอาหารที่มีสิ่งขับถ่ายจากร่างกายของผู้ป่วยได้และเข้าไปทางช่องปาก นอกจากนั้นไวรัสโรต้านั้นยังสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายเป็นอย่างมากและยังเป็นเชื้อไวรัสเพียงไม่กี่ตัวที่ติดต่อกันผ่านช่องปากได้ ดังนั้นจะต้องระวังเพื่อไม่ให้เชื้อหลุดรอดไปติดคนอื่นที่อยู่ในร้าน แม้ร้านของฟาร์มาจะถูกกางแดนศักดิ์สิทธิ์ต้านเชื้อโรคทางอากาศ แต่ประสิทธิภาพในการจัดการเชื้อที่ผ่านช่องปากได้นั้นมีไม่มากนัก
“แถมมันยังทนทานต่อแอลกอฮอล์ การฆ่าเชื้อนี้ด้วยแอลกอฮอล์จึงเป็นไปไม่ได้ด้วย”
“หืม แบบนั้นจะไม่แย่เอาเหรอ?”
เอเลนรู้สึกแปลกใจเพราะแอลกอฮอล์ สำหรับเธอคือสารฆ่าเชื้ออเนกประสงค์
“เอเลน ช่วยไปหยิบขวดโซเดียมไฮโปคลอไรท์จากห้องปฏิบัติการที่ชั้น 4 มาให้หน่อย เดี๋ยวผมจะทำยาฆ่าเชื้อตัวใหม่”
“ได้เลย แล้วก็ฉันคิดว่าเราน่าจะต้องทำความสะอาดทุกจุดที่หมอนั่นไปด้วยน่าจะดีนะ”
“ขอบคุณมาก ส่วนท่านพี่ช่วยไปบอกลอตเต้ให้นำผ้าอ้อมมาเปลี่ยนแล้วก็นำเสื้อเด็กคนนี้ไปจัดการให้ทีนะครับ”
“โอ้ ได้เลย”
ฟาร์มาหาข้ออ้างที่เหมาะสมในการไล่พวกเขาออกจากห้องกักกันและใช้คทาแห่งเทพโอสถเพื่อใช้มนตร์ [บรรเทาเหตุ] เพราะส่วนตัวแล้วเขาไม่อยากจะให้มีใครมาเห็นการใช้พลังจากคทาเทพโอสถนี้
“พยายามเข้านะ……”
นี่น่าจะช่วยให้เธอฟื้นพละกำลังขึ้นมาได้บ้าง สามารถยืนยันได้จากการดูด้วยดวงตาวินิจฉัย แสงสีม่วงได้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินมากขึ้น แปลว่าอาการเริ่มดีขึ้น พอทำการรักษาขั้นต้นไปเสร็จพร้อมกับการฆ่าเชื้อแล้ว ฟาร์มาก็ได้ร่วมกันหารือกับพวกพนักงาน
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือครับ คืนนี้ผมจะอยู่เฝ้าที่นี่เอง แถมผมไม่อยากจะให้ท่านพี่ติดเชื้อไปด้วย”
ฟาร์มาเสนอตัวที่จะอยู่เฝ้าไข้ที่ร้านขายยานี้ เพราะจากสามคน เขาเป็นเพียงคนเดียวที่มีภูมิต้านทานเชื้อ
“แปลว่าถ้าตอนนั้นพี่พาเธอกลับไปที่คฤหาสน์….ไม่อยากจะนึกเลยว่าจะเป็นยังไงต่อ”
ปาลเล่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากตัวเขานั่นเองคือคนที่พาเด็กที่ถูกทิ้งมา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมจัดการเองทั้งคู่กลับบ้านเถอะครับ”
เอเลนหันกลับมาดูก่อนจะหันหน้ากลับไปพร้อมกับผมที่พลิ้วไหวและออกจากห้องไป ส่วนปาลเล่ก็ได้สวมวิกก่อนจะออกไป
หลังจากพวกเขากลับไป ฟาร์มาก็เริ่มมาคิดเรื่องการรักษาอีกครั้ง เขานึกถึงเรื่องการเปิดชีพจรแห่งเทพของเด็กคนนี้ ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ กดปลายคทาเทพโอสถไปใกล้หัวใจของทารกคนนั้นเช่นเดียวกับที่เคยทำให้ซาโลม่อน ทารกน้อยที่กำลังหลับอยู่นั้นก็ดูท่าจะไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรจากการกดทับของคทา
แสงอ่อนๆ จากคทาค่อยๆ ส่องออกมา แล้วหลังจากนั้น…
“เดี๋ยวฉันช่วยนายเอง ฟาร์มาคุง”
เอเลนที่ควรจะกลับไปแล้ว อยู่ดีๆ กลับมาอยู่ที่นี่และเปิดประตูห้องกักกันโรคเข้ามาอย่างเงียบๆ ขณะที่ตัวของฟาร์มากำลังแทงคทาไปยังบริเวณหน้าอกของทารก
“อ่ะ!”
ฟาร์มารีบดึงคทาแห่งเทพโอสถออกมาทันที
“นี่นายกำลังจะทำอะไรกับเด็กคนนั้นน่ะ?”
เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหนภาพที่เห็นก็เป็นดูเหมือนเขากำลังพยายามจะทำร้ายเด็กคนนั้น
“คะ-คือผมไม่ได้กำลังทำอะไรไม่ดีหรอก มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะ”
“แล้วเธอกำลังทำอะไรกับเด็กที่ป่วยนี้กันล่ะ หรือจะบอกว่ากำลังทำการทดลองเพื่อการรักษาแนวใหม่กัน?!”
เอเลนได้ดึงคทาของเธอออกมาเหมือนกันเผื่อไว้ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุด
“คุณคิดว่าผมจะทำแบบนั้นจริงๆ เหรอ?”
“ก็ไม่คิดหรอกว่าเธอจะทำแบบนั้น แต่ภาพที่เห็นนี่มันอะไรกันล่ะ?”
“โอเคๆ ผมยอมแล้ว อันที่จริงผมกำลังพยายามจะเปิดชีพจรแห่งเทพของเด็กคนนี้น่ะ”
“นายว่ายังไงนะ…?” เอเลนถึงกับพึมพำออกมาด้วยเสียงอ่อนๆ
“หากเทพผู้พิทักษ์ตัดสินแล้วว่าชีพจรแห่งเทพนี้ไม่อาจจะเปิดออกได้ มันก็ไม่มีทางที่จะเปิดออก ดังนั้นนายจะทำแบบนั้นไม่ได้นะ”
“แต่ผมคิดว่าตอนนี้มันเปิดออกมาแล้วนะ”
เอเลนถึงกับเข่าอ่อน
ฟาร์มาเลือกที่จะเปิดชีพจรแห่งเทพในตอนนี้เพราะเขาเชื่อว่ามันจะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของเด็กคนนี้ได้อันเนื่องมาจากการเพิ่มพูนของพลังแห่งเทพ โดยอ้างอิงจากการที่พวกชนชั้นสูงมีภูมิคุ้มกันที่มากกว่าเหล่าสามัญชน ดังนั้นเขาจึงใช้ทั้ง [บรรเทาเหตุ] และ การชีพจรแห่งเทพ
“โกหกสินะ? ชีพจรแห่งเทพถูกเปิดขึ้นแล้วจริงเหรอ?”
เมื่อเอเลนหยิบมาตราวัดพลังแห่งเทพขึ้นมาจากกระเป๋าและนำมันเข้าใกล้เด็กคนนั้นเพื่อตรวจสอบ ก็พบว่าตัวของเด็กคนนั้นมีพลังแห่งเทพที่แข็งแกร่งมาก จากที่มันเป็นศูนย์ในตอนแรก บอกได้เลยว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
“เธอทำได้ตั้งแต่เมือไหร่กัน ขนาดพวกนักบวชยังเปิดกันไม่ได้เลยแท้ๆ ไหนจะบทสวดอีกฉันไม่เห็นจะได้ยินเลย”
“อันที่จริงเด็กคนนี้มีชีพจรแห่งเทพแต่แรกอยู่แล้ว ส่วนบทสวดผมเป็นแบบไร้ร่ายน่ะ”
แม้จะไม่มีนักบวชช่วย แต่ตัวฟาร์มาก็สามารถเปิดชีพจรแห่งเทพได้เองอยู่แล้ว
“หรือเป็นเพราะเด็กคนนี้มีพลังแห่งเทพแบบแปลกๆกันนะ การเปิดชีพจรแห่งเทพในตอนแรกถึงมีปัญหา”
“นั่นสินะ ผมก็หวังว่าเด็กคนนี้จะอาการดีขึ้นเร็ววัน เรื่องนั้นบางทีผมน่าจะให้คุณซาโลม่อนช่วยประเมินน่าจะดีไหม?”
“คงได้วุ่นกันไปอีกสักพักเลยสินะ”
“ฮะๆ … นั่นสินะครับ”
แล้วคืนนั้นฟาร์มาก็อยู่กับเอเลนที่ร้านขายยา ก่อนจะทำการผลัดกันดูแลเด็ก และขณะที่กำลังทานอาหารเบาๆ กันช่วงพัก
“เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อนนะ อย่ามาแอบดูละกัน”
เอเลนเข้าไปอาบน้ำ โดยการใช้น้ำสะอาดจากศาสตร์แห่งเทพของเธอเพื่อใช้อาบ ก่อนที่ฟาร์มาจะตอบกลับไปหาเอเลนด้วยความร้อนรน
“ไม่ทำหรอกน่า!”
ฟาร์มากลับมาคิดกับตัวเองขณะกำลังฟังเสียงอาบน้ำของเอเลน เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่อยู่ข้างหน้าเขาซึ่งกำลังฟื้นตัวทีละน้อย
(สงสัยจังว่าจะมีเด็กอีกเท่าไหร่กันที่ตายเพราะไวรัสโรตา….ถ้าเรามีวัคซีนของโรคนี้บางทีสถานการณ์คงจะไม่เลวร้ายแบบนี้สินะ)
มาตรการป้องกันโรคโดยใช้วัคซีนนั้นควรจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้วใน จักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ แต่ปัจจุบันทางจักรวรรดิยังขาดน้ำสะอาดและระบบบำบัดน้ำเสีย ซึ่งสาเหตุเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักของโรคระบาดขึ้นมาได้ การจัดการระบบสุขาภิบาล การประปา และสิ่งอำนวยความสะดวกไม่เพียงพอ…ไม่ว่าจะวัคซีน หรือ น้ำก็ตาม
แน่นอนว่าชนชั้นสูงนั้นไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าวอยู่แล้ว แต่หากมองในมุมคนธรรมดา ฟาร์มาไม่สามารถปล่อยให้มันเป็นไปเช่นนี้ได้ พวกเขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วยในแต่ละครั้ง ขอบเขตการจัดการของแพทย์โอสถก็ใช่จะครอบคลุมได้ทั้งหมด ดังนั้นวิธีการรักษาอย่างพวก ไวรัสโรตาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่มีคนรู้จัก ถึงจะสามารถรักษาหาแล้วก็ตาม แต่การป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นคงจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด นั่นคือสิ่งที่เขาเชื่อ
“หืมมม….ว่าแต่ฟาร์มาคุงไม่ไปอาบน้ำบ้างล่ะ จะได้สดชื่นขึ้นมาด้วย?”
“เอเลน เรามาเริ่มทำน้ำสะอาดใช้กันเอง แทนน้ำธรรมดากันเถอะ”
ขณะที่กำลังอุ้มทารกไว้ในแขนของเขาเด็กคนนั้นก็เริ่มร้องขึ้นมาขณะที่ฟาร์มาก็พูดกับเอเลนอย่างเป็นกันเอง
“ทำไมต้องทำแบบนั้นล่ะ? ยังไงเราก็สร้างมันได้ด้วยศาสตร์แห่งเทพอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
ผิวของเอเลนดูนุ่มฟู พร้อมกับรอยหยดน้ำที่เหลือหลังจากอาบน้ำ โดยมีมือข้างหนึ่งกำลังถือผ้าขนหนูเชิดผมสีเงินที่นุ่มสลวยของเธอ แก้มของเธอก็ดูมันวาวในสายตาของฟาร์มา
“แต่พวกสามัญชนเขาทำแบบนั้นกันไม่ได้นี่นา”
“ถ้าแบบนั้นก็ซื้อเอาสิ ถ้ามีเงินอยู่ก็น่าจะแก้ปัญหานี้ได้ ไม่ใช่ของแพงอะไรด้วย”
สามัญสำนึกด้านการเงินของเอเลนนั้นไม่ต่างอะไรกับชนชั้นสูงทั่วไปนัก
“สำหรับพวกเรามันก็ใช่ แต่สำหรับบางคนแค่น้ำสะอาดก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเอื้อมถึงได้แล้ว คนหนึ่งซื้อได้ก็ใช่ว่าทุกคนจะซื้อได้ เราคงต้องทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้แล้วนะ เพราะทุกคนต้องการน้ำสะอาดกันทั้งนั้น ไม่ใช่เฉพาะเหล่าชนชั้นสูง นี่ไม่ใช่แค่การเพิ่มระดับความเป็นอยู่ของคนทั่วไป แต่เป็นการช่วยชีวิตพวกเขา และป้องกันการติดเชื้อด้วย”
ต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลและการก่อสร้างอีกหลายปีกว่าจะมีน้ำประปาให้ใช้สำหรับแต่ละครอบครัว แม้จักรวรรดิจะสามารถสร้างแหล่งน้ำขึ้นมาได้ตามต้องการ แต่เป็นเรื่องยากที่จะจัดหาน้ำสะอาดมาแจกจ่ายให้ทั่วถึงได้แม้จะมีการใช้ศาสตร์แห่งเทพในการสร้างขึ้นมาก็ตาม ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับเหล่าสามัญชน
ในทางกลับกัน จักรวรรดิแซงต์เฟลิฟนั้นถึงจะพูดว่าอุดมไปด้วยแหล่งน้ำจากการที่พวกเขาสามารถดึงน้ำจากแม่น้ำมาใช้ในแต่ละครัวเรือนได้ ทั้งบ่อน้ำสาธารณะและน้ำดื่มต่างก็มีเพียงพอ แต่แหล่งน้ำพวกนั้นก็เต็มไปด้วยน้ำโคลนและมีสิ่งปนเปื้อน ไม่สามารถพูดได้ว่าปลอดภัยสำหรับการบริโภค เราไม่สามารถดื่มมันได้โดยตรงหากไม่ผ่านการต้ม หากได้ลองสักครั้งบางทีอาจจะทำให้ร่างกายติดเชื้อเลยก็เป็นได้ นอกจากนี้ระบบจัดการน้ำทั้งประเทศนี้ จะถูกจัดการโดยการปล่อยให้ไหลกลับไปสู่แม่น้ำของจักรวรรดิตามเดิม ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสาเหตุของการเพิ่มขึ้นของโรคและการเสียชีวิตจากการติดเชื้อของทารก
นับตั้งแต่การกลับชาติมาเกิดของเขาที่จักรวรรดินี้ พื้นที่เขตแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ขยายกว้างขึ้นไปเรื่อยๆ รอบๆ ตัวเขา แม่น้ำที่บริเวณคฤหาสน์ของเขาไปจนถึงใจกลางเมืองเริ่มสะอาดและบริสุทธิ์ขึ้น แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นบริเวณนอกเขตของเขาก็ยังคงมีสภาพเลวร้ายเช่นเดิม นอกเหนือจากนั้นแม้ตอนนี้จะยังมีเขตแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้วถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งฟาร์มาได้หายตัวไป จะเกิดอะไรขึ้นกับจักรวรรดิกัน การรักษาที่ไม่มีวันสิ้นสุดนี้จะเป็นเช่นไร ผู้คนคงต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคระบาดเป็นแน่
“น้ำเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต ดังนั้นมาทำน้ำสะอาดเพื่อทุกคนกันเถอะ”
ฟาร์มาเชื่อว่ามาตรการที่ใช้ได้ผลจริงๆ นั่นคือการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นเครื่องกรองน้ำให้บริสุทธิ์ ให้ทั่วถึงทั้งจักรวรรดิหรือไม่ก็การดึงเส้นทางน้ำจากต่างประเทศที่สะอาดมาใช้ เพราะคงจะยากหากจะสร้างเครื่องกรองน้ำที่มีขนาดใหญ่เอามากๆ ดังนั้นใช้การกรองแบบเมมเบรน น่าจะสามารถประหยัดพื้นที่ได้มากแถมยังสามารถกำจัดแบคทีเรียและไวรัสได้ เมมเบรนสามารถผลิตได้ด้วยกระบวนการทางเคมี จุดนี้น่าจะสร้างโดยช่างเทคนิคแห่งเทพได้แถมยังช่วยรักษาคุณภาพของน้ำ น่าจะเป็นการจัดการที่เหมาะสมและต่อเนื่อง
“ผมไม่ต้องการให้น้ำ (ที่ไม่สะอาด) เป็นสาเหตุของการคร่าชีวิตผู้คนบนโลกนี้อีกแล้ว ขณะเดียวกันเราก็ต้องสร้างมาตรการป้องกันโรคด้วยวัคซีนด้วย แม้จะใช้เวลาอีกหลายสิบปี แต่เราก็ควรจะเริ่มกันตั้งแต่ตอนนี้”
เป็นแผนการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต และไม่มีประเทศใดๆ คิดขึ้นมาเช่นกัน
“ความคิดของเธอดูเหมือนจะเกินมนุษย์ไปแล้วนะ”
เอเลนพูดอย่างร้อนรนโดยซ่อนสิ่งที่อยู่ในใจเธอซึ่งเธอสัมผัสได้ถึงโลกที่กำลังจะพัฒนาขึ้นไปอีกนิด
– – – – – –
วันรุ่งขึ้นเด็กหญิงที่ถูกเปิดชีพจรแห่งเทพเริ่มฟื้นตัว ณ ที่ร้านขายยาต่างโลก ผู้คนเริ่มสังเกตเห็นว่า ขณะที่ฟาร์มาและเอเลนทำงานบริการลูกค้าอยู่นั้นก็มีทารกเพศหญิงถูกแบกไว้อยู่บนหลังของพวกเขาด้วย ผลสรุปคือทางตระกูลบอนฟัวได้ทำการรับเลี้ยงหญิงสาวคนนั้นเข้ามา เพราะคุณสมบัติของเธอตรงตามเงื่อนไขของชนชั้นสูง และตั้งชื่อว่าโซฟี แน่นอนว่าร่องรอยจากการถูกทิ้งที่เห็นก่อนหน้านี้ไม่มีอีกแล้ว เธอถูกจับแต่งตัวอย่างเรียบร้อยและได้รับการดูแลอย่างดี ดูเป็นเด็กที่สดใส โดยทางด้านเคานต์บอนฟัว พ่อของเอเลนนั้นมีความยินดีเป็นอย่างมากที่จะรับโซฟีเข้ามาเพราะแต่แรกเอเลนเป็นลูกคนเดียว
และผลการประเมินจากซาโลม่อนนั้นออกมาว่าคุณลักษณะที่พบนั้นเป็นสิ่งที่หายากมากบนโลกนี้เนื่องจากพลังของเธออยู่นอกเหนือทั้ง 4ธาตุซึ่งต่างจากคนทั่วไปและเทพผู้พิทักษ์ของเธอคือ เทพไรจิน (เทพสายฟ้า) พลังแห่งเทพของเธอที่ปล่อยมาจะแปลงเป็นไฟฟ้า
ผ่านไปสักพัก โซฟีก็มาที่ร้านขายยาพร้อมกับเอเลนเพื่อตรวจดูอาการของไวรัสโรตาเหลืออยู่หรือไม่ และทุกๆ ครั้งที่เธอรู้สึกตื่นเต้นเมื่อมาที่ร้านขายยาเพื่อให้ฟาร์มาดูอาการ เธอก็มักจะปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ออกมา ด้วยเหตุผลบางอย่างดูเหมือนว่าเธอจะชอบเห็นฟาร์มาถูกไฟช็อตเป็นอย่างมาก
“นี่ฟังนะ โซฟีช่วยหยุดช็อตผ-! หยุดทีเถอะ!”
ฟาร์มาที่กำลังตรวจอาการของโซฟีได้ส่งเสียกรีดร้องออกมาระหว่างช่วงพัก ดูท่าเธอจะติดนิสัยการปล่อยไฟฟ้าเมื่อรู้สึกตื่นเต้นไปเสียแล้ว
“โซฟี อยู่นิ่งๆ หน่อยสิ!”
เอเลนก็ไม่ต่างกันเพราะเธอก็เป็นคนได้รับผลกระทบจากไฟช็อตเช่นกันขณะกำลังพยายามเอาใจโซฟีอยู่
“กะ-จู้วว!”
โซฟี ส่งเสียงร้องอย่างไร้เดียงสาออกมาระหว่างปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาเมื่อเล่นกับฟาร์มา ก็ดูเป็นภาพที่น่าขันดีเมื่อเห็นทั้งฟาร์มาและเอเลนต่างกรีดร้องขึ้นขณะเล่นกับโซฟี
“ลอตเต้ ช่วยไปเรียกคุณเซเลสที่อยู่ข้างล่างมาช่วยผมที!”
“ว่าไงจ๊ะ มาแล้วจ้า!”
ฟาร์มาได้มอบโซฟีให้กับเซเลสหลังจากเรียกเธอขึ้นมา เพราะเธอมีประสบการณ์การเป็นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกมาหลายคนแล้ว
“ค่า ค่า แค่กล่อมเด็กให้นอนมันไม่ยากหรอกค่ะ มานี่สิคะ ท่านโซฟี ถึงตาของฉันแล้วค่ะ ~ มาร้องเพลงกันนะคะ ~”
ระหว่างที่เซเลสร้องเพลงกล่อมนั้น โซฟีก็หลับไปทันที
* * * * * *
“ท่านฟาร์มาคะ ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาพักหนึ่งแล้วนะคะ บางทีท่านคงจะไม่โดนไฟช็อตแล้วใช่หรือเปล่าคะ??”
หลายวันผ่านไป ลอตเต้ก็ได้ถามฟาร์มาด้วยความเป็นห่วง เป็นภาพที่เห็นได้บ่อยๆ ว่าเขาโซฟีนั้นอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ขนาดตอนนี้เธอก็ยังคงนอนอยู่บนตักของเขา
“ฮะ-ดีจังเลยนะครับ”
ฟาร์มาดูเหมือนจะไม่ค่อยได้พักผ่อนอย่างเพียงพอเท่าไหร่นัก โดยเห็นได้จากดวงตาของเขาที่สีซีดลง เหมือนเขาจะสามารถทนพูดจนจบขณะถูกไฟดูดได้บ้างแล้ว
“บางทีเธอน่าจะชินกับมันแล้วนะ ฟาร์มาคุง”
“กระแสไฟฟ้าความถี่ต่ำนี่มันดีก็ต่อการรักษาอาการปวดหลังของผู้ป่วยไม่ใช่หรือไงกันนะ….?”
“นั่นก็ดีแหละ แต่ฉันว่าตอนนี้เราควรจะจัดการกับสภาพของนายตอนนี้กันยังไงดีนะ?”
เอเลนรู้สึกสับสนกับสีหน้าของเจ้าของร้านยาคนนี้ที่ซีดจนแน่นิ่งไป ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสีหน้าที่เหล่าลูกค้าไม่เคยพบเจอมาก่อนเป็นแน่
———–
Note 1 : ไปเลยปิกาจูววววว
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913