Parallel World Pharmacy – ร้านขายยาต่างโลก - ตอนที่ 65
นที่ 65 เด็กขายนมกับแพทย์โอสถ
ในช่วงบ่ายของวันที่ 1 เดือน กรกฎา ปีจักรวรรดิที่ 1147 ฟาร์มากำลังเดินทางออกจากร้านขายยาเพื่อไปยังวิทยาลัย แต่ก็บังเอิญไปชนเข้ากับเด็กชายคนหนึ่งซึ่งกำลังผลักเกวียนอยู่ตรงข้ามร้านขายยา จนเด็กคนนั้นล้มลงและเกวียนที่บรรทุกของอยู่ก็เกิดพลิกคว่ำ
“เดี๋ยวเถอะ! ไอ้หนูนี่แกมีตาหรือเปล่าเนี่ยหัดรู้จัดมองทาง!…อ๊ะ!”
เด็กหนุ่มคนนั้นตะโกนขึ้นมาทันทีโดยยังไม่ทันได้มองให้ชัดว่าคนที่เขากำลังต่อว่าอยู่นั้นคือเจ้าของร้านขายยาต่างโลก
“เจ้าคนหยาบคาย คิดว่าตัวเองกำลังพูดกับใครอยู่!”
อัศวินที่ทำการดูแลหน้าประตูทางเข้าของร้านแสดงสีหน้าที่น่ากลัวออกมาจนฟาร์มาต้องไปขอให้เขาสงบสติลง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงนั่นก็เป็นความผิดที่ผมประมาทไปเองด้วย ว่าแต่คุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?”
“ที่สำคัญกว่านั้นของบรรทุกมัน!”
เด็กหนุ่มพูดถึงสิ่งที่เขาต้องสูญเสียจากการกระทำของฟาร์มา ฟาร์มามองไปยังรถเข็นที่เด็กหนุ่มกำลังผลักมา ก็พบว่าขวดนมจำนวนมากที่ถูกจัดวางเป็นอย่างดีสำหรับขาย หกออกมากระจายเต็มพื้น
“เดี๋ยวผมจะชดใช้ค่าเสียหายนี้ให้เองครับ”
ฟาร์มาและเด็กหนุ่มมีโอกาสรู้จักกันเล็กน้อย โดยจะเห็นเขาได้ตามท้องถนนของจักรวรรดิในฐานะคนส่งนมทุกๆ เช้า นอกจากนี้ฟาร์มายังสังเกตเห็นอีกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ดูท่าทางจะเหนื่อยๆ ทุกครั้งที่ผ่านร้านของเขาในช่วงที่ฟาร์มาพักอยู่เป็นประจำ
“แน่นอนสิ ว่ามันต้องมีค่าเสียหายอยู่แล้ว!”
หลังจากเด็กหนุ่มตรวจสอบของที่ขนมาเสร็จก็ลุกขึ้นแล้วตะโกนออกมา โดยอายุของเขาทั้งสองนั้นถือว่าไล่เลี่ยกัน ต่างก็แค่เด็กหนุ่มเป็นเพียงสามัญชนที่ดูท่าสถานการณ์ทางการเงินจะย่ำแย่ไปเสียหน่อย
(ดูจากใบหน้าแล้ว เด็กคนนี้น้ำหนักลงไปเยอะเลยหรือเปล่านะ เขาได้ทานข้าวพอไหมเนี่ย)
ฟาร์มามองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังลุกขึ้นยืนอยู่ข้างหน้าเขา
“ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะครับ เพื่อเป็นการขอโทษแล้ว เดี๋ยวของทั้งหมดนั้นผมจะเป็นคนซื้อเอาไว้เอง”
แล้วฟาร์มาก็หยิบกระเป๋าเงินออกมาเพื่อจ่ายค่าเสียหายให้กับเด็กหนุ่ม
“แล้วที่ซื้อไปนี่สุดท้ายก็จะเอาไปทิ้งอยู่ดีไม่ใช่เหรอ!?”
“ไม่ครับ ผมจะดื่มมัน”
“…พวกชนชั้นสูงอย่างแพทย์โอสถหลวงนี่เขาดื่มนมกันด้วยเหรอ?”
ฟาร์มาตอบกลับคำพูดของเด็กหนุ่มที่พูดจาชวนทะเลาะอย่างสุภาพ เพราะเขาไม่อยากให้ยามที่ดูแลประตูอยู่ต้องเข้ามาอีก
“ส่วนตัวผมดื่มนะ คุณก็เหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
ฟาร์มากำลังคิดถึงไอเดียในการทานมันคู่กับซีเรียล
“เปรี้ยวแบบนั้นน่ะเหรอ”
“ใช่สิครับ ดีออกจะตาย แถมเอาไปทำโยเกิร์ตต่อได้ด้วย”
หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วหยิบเงินทั้งหมดที่อยู่ภายในกระเป๋าของเขาให้กับเด็กหนุ่มเพื่อเป็นค่าเสียหายของนมทั้งหมดรวมไปถึงนมที่ยังเหลืออยู่ด้วย โดยมูลค่าของเงินภายในกระเป๋านั้นหากเทียบกับเงินที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะหาได้รวมๆ กันหลายปีเลย
“ไม่ต้องทอนนะครับ”
“หา?! นี่ท่านล้อกันเล่นหรือเปล่าเนี่ย ข้าเอาไปได้จริงๆ เหรอท่านแพทย์โอสถ!”
เด็กหนุ่มพูดโต้กลับมาอีกครั้ง ฟาร์มาจึงพยายามคิดหาเหตุผลดีๆ เพื่อให้เขารับๆ เงินนั้นไป ว่าแล้วฟาร์มาก็สังเกตเห็นถึงกางเกงของเด็กหนุ่มที่ขาดอยู่
“เพราะเสื้อผ้าของคุณก็ขาดอยู่ด้วยนี่ครับ ทางที่ดีควรจะเปลี่ยนใหม่ดีกว่านะครับ อีกทั้งหากคุณให้ความสำคัญกับสุขอนามัยโดยรวมเสียหน่อย ยอดขายของคุณจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนผมรับประกันเลย”
“จะบอกว่านี่คือค่าดูแลตัวเองงั้นเหรอ!”
“เอะอะอะไรกันอยู่น่ะฟาร์มาคุงนายกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?”
เอเลนที่ได้ยินเสียงเอะอะอยู่หน้าร้านก็เดินออกจากร้านมาเพื่อแก้ไขสถานการณ์
“ผมกำลังซื้อนมอยู่น่ะ”
นี่มันไม่ใช่การทะเลาะวิวาทกันระหว่างเด็กน้อยสองคน ถึงฟาร์มาจะบอกไปแบบนั้นแต่เขาก็กลับมาคิดได้ว่า ตัวเองก็ยังเป็นแค่เด็กอยู่นี่นา ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มคนนั้นก็หยิบเงินออกมาจากกระเป๋าของฟาร์มาเท่าราคาสินค้าแค่นั้น โดยที่เหลือเขาได้นำมันโยนกลับเข้าไปในร้านขายยาก่อนจะเดินทางกลับไปที่บ้านของตัวเอง
หลายวันต่อมาฟาร์มาก็พยายามสังเกตถึงเด็กหนุ่มที่กำลังเดินขายนมผ่านหน้าร้านขายยาของเขาเช่นทุกครั้ง เพื่อที่จะออกไปซื้อนมดังกล่าว
แต่วันนี้เด็กหนุ่มคนนั้นกลับไม่ผ่านหน้าร้านของเขาเสียอย่างนั้น
“วันนี้เขามาช้าไปหน่อยหรือเปล่านะ”
“เด็กขายนมคนนั้นเหรอคะ? เดี๋ยวฉันออกไปดูให้ก็แล้วกันนะคะ”
ลอตเต้ยกมืออาสาช่วย แล้วก็ไปรอริมถนน จนท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็ได้เดินเข้ามาที่ร้านขายยาโดยมีลอตเต้นำทางพร้อมกับโบกมือให้ฟาร์มา
“ท่านฟาร์มาคะ เขามาแล้วค่ะ! เขากำลังจะผ่านร้านแล้วฉันก็เรียกให้หยุดเพื่อจะซื้อนมเลยค่ะ~!”
พอฟาร์มาเดินออกไปซื้อนม เด็กหนุ่มก็แสดงสีหน้าไร้เรี่ยวแรงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
“…ท่านอีกแล้วเหรอ”
ร่างของเด็กหนุ่มดูเหมือนจะผอมแห้งกว่าหลายวันที่แล้ว จนฟาร์มาเป็นห่วงถึงการเปลี่ยนแปลงนี้
“วันนี้มาค่อนข้างช้านะครับ เป็นแบบนี้น่าจะพักสักหน่อยจะดีกว่านะครับ ดูท่าทางจะไม่สบายอยู่ด้วย”
ฟาร์มาแสดงความเป็นห่วงขณะจ่ายเงินค่านม
“นั่นก็ใช่….กระหายน้ำจริงๆ ..รู้สึกเหมือนจะป่วยจริงด้วยแบบนี้ข้าคงจะสัมผัสกับสินค้าที่จะขายไม่ได้แล้วสิ”
“งั้นเดี๋ยวผมเอาน้ำให้นะครับ ส่งขวดเปล่ามาสิครับ”
ฟาร์มาล้างขวดนมเปล่าก่อนจะเติมน้ำเข้าไปด้วยศาสตร์แห่งเทพ ขวดนมที่มีน้ำเย็นอยู่ภายในถูกส่งให้กับเด็กหนุ่ม ก่อนที่เขาจะดมฟุดฟิดและดื่มมันเข้าไป
“เอาเพิ่มไหมครับ?”
หลังจาก 2 ขวดผ่านไปฟาร์มาก็สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มจะยังต้องการขวดที่ 3 อีก
“ช่วยไม่ได้นี่นา เพราะข้าทนหิวน้ำมาทั้งวันแล้ว”
“ไม่แปลกไปหน่อยเหรอครับ วันนี้ก็ใช่จะร้อนมากซะด้วย”
(เขามีอาการขาดน้ำ…แล้วการหายใจก็ผิดปกติ)
การสูดหายใจเข้าไปลึกๆ ของเขามีลักษณะที่ผิดปกติไปจากเดิม ฟาร์มารู้สึกแปลกๆ กับเรื่องนี้
(การหายใจเข้านั้นมีจังหวะที่ลึกกว่าการหายใจออก….นี่มันลักษณะของการหายใจแบบคัสมัล (Kussmaul breathing) )
นี่มันไม่ปกติแล้ว ฟาร์มาจึงใช้ดวงตาวินิจฉัยในการตรวจสอบ แล้วก็พบว่าของเหลวในร่างกายเด็กหนุ่มทั้งหมดเป็นแสงสีน้ำเงินออกมา
(นี่มันอะไรกัน!?)
ฟาร์มาถึงกับผงะจากอาการของเด็กหนุ่มที่แสดงออกมาให้เห็นนี่มันเรียกว่าระดับร้ายแรงได้เลยดีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นเขายังได้กลิ่นบางอย่างออกมาจากลมหายใจของเด็กหนุ่มด้วย มันเป็นกลิ่นของผลไม้ที่มีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก รวมกับอาการผิดปกติของทางเดินหายใจแบบนี้…
”เบาหวานคีโตอะซิโดสิส”
มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นกับคำนั้น
เบาหวานคีโตอะซิโดสิส (Diabetic ketoacidosis (DKA) ) ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับเลือดเป็นกรดจากสารคีโต ซึ่งเกิดมาจากการขาดอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อร่างกายเข้าสู่ภาวะขาดอินซูลิน ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นเนื่องจากไม่สามารถถูกส่งไปยังระบบต่างๆ ของร่างกายได้ผ่านอินซูลิน อวัยวะต่างๆ จะขาดสารอาหารและพลังงานที่จะได้จากน้ำตาลพวกนั้น ดังนั้นร่างกายจึงทำการสลายกล้ามเนื้อที่มีอยู่แต่เดิมเพื่อใช้เป็นพลังงานแทน ผลกระทบดังกล่าวทำให้คีโตซึ่งเป็นเมแทบอไลต์ของโปรตีนและไขมันซึ่งอยู่ภายในเลือดมีปริมาณที่สูงขึ้นตาม จนทำให้ค่า ความเป็นกรดด่าง pH ในเส้นเลือดแดงมีความเป็นกรดที่สูง
(แปลว่ากำลังอยู่ในช่วงคีโตอะซิโดสิส!)
” ‘เบาหวานชนิดที่ 1’”
ตามที่คาด
เนื่องจากหากเป็นประเภทที่ 2 อาการจะลุกลามช้า โอกาสที่จะเกิดกรดคีโตก็ต่ำไปด้วย แต่หากเป็นประเภทที่ 1 ซึ่งแสดงอาการอย่างรวดเร็วจากการขาดอินซูลิน แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามาก็แสดงให้เห็นว่าโรคเบาหวานประเภทที่ 1 กับ 2 นั้นมีความแตกต่างกันจากปัจจัยต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์
เนื่องจากอาการของโรคจะทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายมีอาการที่ผิดปกติไป โรคดังกล่าวจึงสามารถเกิดได้แม้กระทั่งกับคนจนและรวย ซึ่งถ้าตามงานวิจัยแล้วเบาหวานประเภทที่ 1 นั้นไม่ได้เกิดมาจากความผิดของผู้ป่วยร้อยเปอร์เซ็นต์
ในประเทศญี่ปุ่นมันจะมีการถกเถียงกันถึงเรื่องโรคเบาหวานที่มีความเข้าใจผิดกันว่าสาเหตุมันมาจากไลฟ์สไตล์ของผู้ป่วย ซึ่งฟาร์มาก็จำเป็นต้องอธิบายให้ผู้ป่วยได้ฟังด้วยเพราะไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะต้องทนทุกข์จากความเข้าใจผิดนี้ด้วยก็ได้
(ถ้าหากเราสลายกรดคีโตในร่างกายออกไป…อาจจะช่วยได้ก็ได้)
เนื่องจากองค์ประกอบของสารคีโตภายในร่างกายนั้นไม่ซับซ้อน ฟาร์มาจึงทำการลบมันออกไปได้โดยง่าย ดังนั้นการแก้ปัญหาเรื่องภาวะกรดคีโตในเลือดสูงนั้นจึงทำได้ด้วยการลบคีโตออกไป แต่อันเนื่องมาจากร่างกายของเด็กหนุ่มก็ยังคงต้องเผชิญกับภาวะขาดอินซูลิน และใช้คีโตเป็นอาหารแทนน้ำตาลที่ขาดไป หากคีโตดังกล่าวถูกลบออกไป อาจจะทำให้เด็กหนุ่มเกิดอาการโคม่าเลยก็เป็นได้ เพื่อไม่ให้เป็นเช่นนั้นเขาน่าจะต้องทำการลบมันเพียงบางส่วนที่ไม่ได้อยู่ในส่วนที่ร่างกายจะนำมาเป็นพลังงานทดแทน น่าจะช่วยได้บ้างในขณะนี้
“เบาหวานประเภทที่ 1 นี่มันอะไรเหรอ?”
เอเลนกระซิบพูดกับฟาร์มา แน่นอนว่าตัวผู้ป่วยไม่ได้ยินคำดังกล่าว
“สำหรับฟาร์มาคุงน่าจะวินิจฉัยผู้ป่วยได้ไม่ยาก แต่สำหรับพวกเราแล้วจะวินิจฉัยมันได้ยังไงบ้างล่ะ?”
“กรดคีโตหากเอเลนหรือคนอื่นๆ อยากจะตรวจสอบมันสามารถทำได้ด้วยการทดสอบ วิธีง่ายๆ ก็เช่นการตรวจค่าpHด้วยกระดาษทดสอบ โดยนำผลของเลือดที่ได้จากการใช้เข็มแทงเข้าไปที่นิ้ว มาวัดค่าpHตรงกระดาษได้เลย”
จริงๆ ก็มีวิธีการอื่นเช่นการวัดค่าระดับน้ำตาลภายในเลือด แต่เนื่องจากวิทยาการของโลกใบนี้ยังไม่ไปถึงจุดนั้นได้จึงขอละเอาไว้
“นายกำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ย…..”
“เอาเป็นว่า เด็กคนนี้ต้องรีบเข้ารีบการรักษาโดยด่วนเลย นี่มันเหตุฉุกเฉิน”
แล้วฟาร์มาก็เริ่มเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่ม
“อะไรนะ? ไม่เห็นเป็นไรเลย เดี๋ยวข้ากลับไปนอนพักที่บ้านก็สบายแล้ว…”
เด็กหนุ่มตอบกลับไปเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก่อนที่ฟาร์มาจะตะคอกใส่เขา
“…ไม่ได้ครับ! แบบนั้นคุณได้ตายแน่ ภาวะกรดคีโตในเลือดกำลังแสดงอาการอยู่ภายในร่างกายของคุณนะครับ จะให้พูดง่ายๆ คือ เลือดในร่างกายของคุณตอนนี้จะกลายเป็นกรดหมดแล้ว”
ฟาร์มาเริ่มรู้สึกถึงอันตรายเพราะเด็กหนุ่มจ้องมองเขาด้วยแววตาว่างเปล่ามากขึ้น
“เหมือนนมกลายเป็นโยเกิร์ตหรือเปล่า?”
“ก็ใช่ครับ แต่ยังจะเล่นอีกนะ”
“แต่ข้าคงต้องขอผ่าน เพราะถ้าหนักถึงขั้นนั้นยังไงก็คงไม่พ้นยาแพงๆ อยู่แล้วสินะ”
เด็กหนุ่มพยายามปฏิเสธการรักษา
“ค่ารักษาคิดเป็นนม 3 ขวดครับ ผมไม่เก็บเกิดกว่านั้นแค่ๆ หรือถ้าไม่มั่นใจเดี๋ยวเรามาเขียนสัญญาตกลงกันเลยก็ได้!”
แล้วฟาร์มาก็เขียนร่างสัญญาก่อนจะนำให้เด็กหนุ่มดู
“ให้ตายสิ ทำอย่างกับข้าจะอ่านออก”
พอเซดริกได้ยินแบบนั้น เขาจึงนำร่างสัญญามาอ่านให้ฟัง
“ร่างสัญญานี้ได้ระบุไว้ว่า ค่ารักษาพยาบาลที่เรียกเก็บจากผู้ป่วยคือนม 3 ขวด และทางร้านขายยาจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนอกจากนั้นโดยไม่คิดส่วนต่างดังกล่าวกับผู้ป่วยอย่างแน่นอน ข้อตกลงดังกล่าวได้ทำการประทับตราของทางร้านขายยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสัญญาจะเป็นผลทันทีเมื่อคุณทำการลงนามภายในสัญญาครับ”
“โห~ เกินคาดเลยนะเนี่ย เอาสิข้าจะลงสัญญา ท่านแน่ใจใช่ไหมว่าจะรักษาข้าได้? ว่าไงท่านแพทย์โอสถคิดว่าตัวเองไหวหรือเปล่า!”
“ีนี่นายรู้อะไรเกี่ยวกับฟาร์มาคุงบ้างเนี้ย?”
แทนที่จะโกรธเอเลนกลับรู้สึกประหลาดใจจนขมวดคิ้วแทนมากกว่า
“ส่วนตัวผมก็ไม่ได้สนหรอกนะว่าคุณจะรู้อะไรเกี่ยวกับผมบ้าง เพราะโรคนี้มันรักษาให้หายทันทีไม่ได้อยู่แล้ว แต่อย่างน้อยก็จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้บ้างระหว่างการรักษา แต่ผมบอกได้เลยว่าถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ อีกไม่กี่วันคุณได้ตายจริงๆ แน่ ทีนี้จะเอายังไงล่ะครับ?”
“โอ่~, โอ้…”
“ถ้างั้นก็รีบไปที่โรงพยาบาลเลย! ดูท่าทางของคุณตอนนี้สิแค่ยืนก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว!”
ฟาร์มาได้รับการยินยอมแล้ว แต่ถ้าพาไปถึงโรงพยาบาลอาจจะสายไปก็ได้ เขาจึงได้นำตัวเด็กหนุ่มไปยังห้องรักษาชั้นบนแทน
“ฟาร์มาคุงนี่ก็เอาเรื่องเหมือนกันนะ”
เอเลนดันแว่นตาขึ้น
“ผมไม่เคยเห็นท่านฟาร์มาตะคอกแบบนั้นมาก่อนเลยนะครับ แปลว่าอาการของผู้ป่วยคงจะหนักหนาจริงๆ”
เซดริกพึมพำขณะจัดการเอกสาร
ที่ห้องรักษาบริเวณชั้นสอง
หลังจากเด็กหนุ่มได้วัดส่วนสูงชั่งน้ำหนักเสร็จ เด็กหนุ่มก็ได้เอนตัวนอนไปที่เตียงก่อนจะมีอาการคลุ้มคลั่งออกมาให้เห็น
มันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ฟาร์มากำลังคำนวณออสโมลาลิตี้พลาสมา โดยพิจารณาจากการตรวจความชุ่มชื้นภายในดวงตา เพื่อวัดปริมาณน้ำปริมาณน้ำในเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย
หลังจากที่เขาคำนวณเรื่องที่จำเป็นสำหรับการรักษาเสร็จ…
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! นี่ข้าไม่ได้บอกให้ท่านเอาเข็มนั่นมาแทงซะหน่อย! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! ให้ตายสิข้าไม่น่าเชื่อใจพวกแพทย์โอสถเลย!!”
“ถ้าเด็กคนนี้ยังเอาแต่ดิ้นไปมาแบบนี้ท่าจะแย่นะครับ ขอรบกวนด้วยนะครับ”
ฟาร์มาเรียกโรเจอร์ให้เข้ามาช่วยอีกแรง
“ฉีดยาเข้าเส้นเลือด (Infusion) สินะครับ รับทราบแล้วครับ”
โรเจอร์นั้นเป็นแพทย์โอสถที่มาจากเนเดล โดยประเภทงานของเขานั้นมักจะอยู่ในส่วนของการแก้ไขปัญหาด้วยกล้ามเนื้อของเขา
“ฟาร์มาคุง สัดส่วนการฉีดจะเอาที่เท่าไหร่?”
เอเลนกำลังทำหน้าที่เตรียมของที่จะใช้ในการฉีดยา โดยมีฟาร์มาที่พร้อมสำหรับขั้นตอนการฉีดยาด้วยวิตามินบำบัดแล้ว
“น้ำเกลือที่ 0.9% โดยค่อยๆ ให้เป็นเวลาสองชั่วโมง หลังจากนั้นก็ลดลงเหลือ 0.45% โดยหลังจากนี้จะทำการเสริมด้วยโพแทสเซียมไปอีกทีตามความเหมาะสมของอาการ”
“หากข้าตายขึ้นมาข้าจะตื่นมาเป็นผีคอยสาปแช่งพวกท่านให้หมดเลย!”
เด็กหนุ่มพยายามขัดขืนด้วยการขยับมือซ้ายของเขาไปมา ฟาร์มาจึงคิดเอาว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นคนถนัดซ้าย
“คุณเป็นคนถนัดซ้ายสินะ งั้นเดี๋ยวผมจะฉีดยาเข้าที่แขนขวาก็แล้วกัน”
หลังจากนำหนังยางมันรัดแขนของเด็กหนุ่มคนนั้นเสร็จ เขาก็ทำการสอดเข็มเข้าไปที่เส้นเลือดดำบริเวณมือขวาของเด็กหนุ่ม ก่อนจะทำการต่อเข็มเข้ากับท่อที่มีดริปเปอร์
“จะไม่ดีกว่าเหรอถ้าหากว่าเราให้สารอาหารเร็วกว่านี้ เพราะภาวะเลือดเป็นกรดมันต้องรีบจัดการให้เร็วนี่”
คำถามของเอเลนมีดูเป็นเหตุเป็นผล
“หากร่างกายมีอาการขาดน้ำ การจะใช้วิธีการที่เร่งรีบหน่อย บางคนก็คิดว่าอาจจะไม่เป็นปัญหา แต่หากมันเร็วจนเกินไปอาจจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะสมองบวมน้ำขึ้นได้ ดังนั้นเราจึงต้องค่อยๆ ให้ในปริมาณที่เหมาะสมแทนน่ะ”
การแก้ไขภาวะเลือดเป็นกรดอย่างรวดเร็วจนเกิดไปจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดลงซึ่งส่งผลไปสู่ภาวะสมองบวมน้ำได้ ฟาร์มาอธิบายเพิ่มเติมไปถึงการเลี่ยงใช้โซเดียมไบคาร์บอเนตในการรักษาอาการ ยิ่งในผู้ป่วยเด็กแล้วโอกาสเกิดภาวะดังกล่าวยิ่งง่ายขึ้นกว่าเดิม ทางที่ดีคือการรักษาอาการขาดน้ำ ตามด้วยการให้อินซูลินแทน
“เพราะถ้าเกิดภาวะสมองบวมขึ้นมาคงจะแย่เอา”
ฟาร์มา เอเลน และโรเจอร์หารือเกี่ยวกับการให้ยาขั้นต่อไป
หลังจากที่สอดเข็มเข้าไปในตัวเด็กหนุ่มเสร็จโดยแพทย์โอสถทั้งสาม เขาก็เริ่มแสดงอาการต่อต้านที่น้อยลง
“แล้วก็อย่าปล่อยให้เขาดึงเข็มออกมาได้นะครับ เดี๋ยวเราจะส่งตัวเขาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลวันนี้ แล้วให้พักรักษาตัวอยู่ที่นั่นสักสองอาทิตย์ ถ้าหากเด็กคนนี้ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ปกครองแล้วรบกวนแจ้งผมด้วยนะครับ เดี๋ยวจะผมลงนามผู้ดูแลในนามของร้านขายยาให้เอง”
“ถ้าแบบนั้นคงต้องขอความร่วมมือจากรัฐในการประสานงานขอข้อมูลครับ”
“โอเคครับ”
แล้วฟาร์มาก็ส่งข้อความไปยังเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อขอข้อมูลที่อยู่ของเด็กหนุ่มคนนั้น พร้อมกับแจ้งถึงอาการป่วยให้ทางเจ้าหน้าที่ทราบเพื่อส่งต่อให้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล
“ฟาร์มาคุง ยาสำหรับรักษาเบาหวานชนิดที่ 1 ….. อินซูลินสินะ พออาการเลือดเป็นกรดดีขึ้นแล้วเราควรให้ยาตัวนั้นทันทีไม่ใช่เหรอ?”
เอเลนอ้างอิงจากตำราของฟาร์มาที่อยู่ในมือของเธอข้างหนึ่ง
“อ้อใช่ เป็นตามที่ว่าเลย”
ฟาร์มาพยักหน้าตอบ แต่กลับไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติมเหมือนที่ผ่านมา
“แปลว่าตอนนี้…เรามีอินซูลินที่ว่าสินะ?”
แล้วเอเลนก็แสดงสีหน้าที่ซีดออกมา
(…ท้ายที่สุด ก็ถึงเวลาแล้วสินะ?)
ฟาร์มากำหมัดแน่น
“จะบอกว่ามีก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะมันมีอีกหลายๆ ปัจจัยให้พูดถึงเยอะเลย”
“สรุปแล้วมันยังไงกันแน่เนี่ย?”
“คือถึงจะบอกว่ามีแต่มันก็ไม่พอที่จะใช้ได้น่ะสิ เอาเถอะก็ใช่ว่าเราจะสร้างมันขึ้นมาไม่ได้เสียหน่อย..…”
ถึงจะบอกไปแบบนั้น แต่กับอินซูลินแล้วแม้แต่ความสามารถในการสร้างสสารของฟาร์มาก็ไม่สามารถทำขึ้นมาได้
ในอดีตการสร้างอินซูลินนั้น จะถูกสกัดจนบริสุทธิ์มาจากหมูและวัวที่ใช้ในพาณิชย์ แต่เทคโนโลยีในอดีตนั้นจะติดปัญหาตรงการปรับแต่งที่ยังไม่มีความเสถียรทั้งในด้านของปริมาณและคุณภาพ พอผู้ป่วยได้รับตัวอินซูลินไปก็อาจจะเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ ถึงแม้ห้องปฏิบัติการของฟาร์มาที่มีอยู่ตอนนี้จะพัฒนาไปจนถึงขั้นแรกๆ ของยุคที่เขาจากมาแต่ก็ใช่จะวางใจได้เสียทั้งหมดว่ามันจะสามารถสกัดตัวโปรตีนและทำให้มันบริสุทธิ์จนเป็นอินซูลินที่ดีได้
แถมคงจะไม่ทันการหากจะต้องไปหาหมูหรือวัวเพื่อใช้ในการสกัด แถมยังต้องคิดไปถึงการสกัดตัวอินซูลินที่ต้องทำอีกหลายครั้งในอนาคตด้วยแล้ว ทำให้ทางเลือกของฟาร์มายิ่งน้อยลงไปอีก หรือจะใช้พวกสารที่ฟาร์มาหยิบมาจากห้องปฏิบัติการในโลกเดิมของเขามาช่วยในการดัดแปลงพันธุ์กรรมของเอสเชอริเชีย โคไลเพื่อสกัดเอาอินซูลินจำนวนมากก็ใช่ว่าจะได้ เพราะแม้จะทราบลำดับในการผลิตซึ่งใช้เวลาหลายวัน แต่ไม่ทราบถึงรหัสทางโครงสร้างของการสังเคราะห์ วิธีดังกล่าวก็จะไม่สามารถใช้ได้เลย
ตัวเขาต้องการอินซูลินเดี๋ยวนี้เลย
“อินซูลินไม่ใช่สารที่มีองค์ประกอบทั่วไปซะด้วย”
“ก็แค่ทำมาจากโปรตีนไม่ใช่หรือไง”
เอเลนเปิดตำราของฟาร์มาแล้วแสดงคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกรดอะมิโนให้พวกพนักงานในร้านดู ซึ่งทั้งสองกำลังเสร็จสิ้นจากการดูแลผู้ป่วยและขึ้นมาที่ห้องพักรักษาตัวพอดี
“ใช่แล้ว กรดอะมิโนพวกนี้เป็นกรดที่ใช้ในร่างกายของมนุษย์เรา”
ฟาร์มายิ้มออกมาเล็กน้อยขณะดูไปที่ตารางของกรดอะมิโนพวกนั้น
“โปรตีนแต่ละตัวก็จะมีกรดอะมิโนแต่ละชนิดต่างกันไปครับ ซึ่งแสดงออกมาเป็นเปปไทด์ซึ่งเชื่อมโยงกันเป็นกรดอะมิโนแต่ละชนิดรูปแบบที่เฉพาะของตัวเอง คล้ายลูกปัดตามรูป พูดง่ายๆ ก็คือ เราสามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้หากเชื่อมต่อกรดอะมิโนตามลำดับเฉพาะชนิดนั้นๆ ครับ…”
ฟาร์มาอธิบายให้เหล่าแพทย์โอสถและเอเลนฟัง ทางเอเลนก็ดูเหมือนจะอ่านตำราไปเยอะพอสมควรจึงทำได้ตามทันได้ประมาณหนึ่ง
“ทีนี้ปัญหามันอยู่ตรงที่ลำดับที่ว่านั่นแหละครับ เพราะเราจะรู้ได้ยังไงกันว่าอินซูลิน มีลำดับทางโครงสร้างเป็นอย่างไร?”
เพราะมันต้องใช้การเรียงลำดับกันของกรดอะมิโนจำนวนมากเพื่อให้ออกมาเป็นอินซูลิน แน่นอนว่าฟาร์มาจำลำดับที่ว่านั้นไม่ได้เลย
(เราไม่น่าปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไว้เลย เราน่าจะวิเคราะห์ลำดับของมันด้วยจากโครงดีเอ็นพีด้วยการศึกษาลำดับนิวคลีโอไทด์ของแซงเจอร์ หากลองทำซ้ำไปเรื่อยๆ ก็น่าจะได้ผลออกมาแท้ๆ)
สายเกินไปแล้วที่จะเสียใจ
“แน่นอนครับว่า ผมก็จำไม่ได้”
ฟาร์มาทำได้เพียงเอามือแตะหน้าผาก ราวกับรู้สึกเจ็บปวด
(ถ้าเรามีโอกาสกลับไปที่ห้องปฏิบัติการอีกครั้ง ก็คงจะไปตรวจสอบลำดับของอินซูลินได้แท้ๆ แต่ว่า….…)
มันคงจะเสียเวลามากจนเกินไปสำหรับตอนนี้ที่เขาจะต้องเดินทางไปยังบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เพื่อข้ามไปอีกโลก
“แล้วเราจะมีวิธีไหนที่จะทราบถึงลำดับของมันได้อีกล่ะ เพราะอินซูลินก็มองผ่านกล้องจุลทรรศน์ไม่ได้ซะด้วย”
แล้วฟาร์มาก็จุดประกายความคิดบางอย่างได้จากคำพูดของเอเลน
“เดี๋ยวก่อนนะ…บางทีผมน่าจะหาวิธีได้ รอสักครู่นะครับ”
ขอบคุณสำหรับคำใบ้นะเอเลน! ฟาร์มาตะโกนออกมาก่อนจะพุ่งออกจากห้องนั้นไป
เขารีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องปฏิบัติการชั้น 4 ของร้าน ขอบคุณเอเลนที่ทำให้เขาได้ไอเดียบางอย่าง เพราะตอนที่เขาไปยังห้องปฏิบัติการอีกโลกหนึ่งนั้นหนึ่งในสารที่เขาได้หยิบมามีอินซูลินอยู่ภายในนั้นด้วย ซึ่งก็น่าจะพอใช้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่ถ้าหลายครั้งก็คงจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ แถมถ้าไม่สามารถสังเคราะห์มันขึ้นมาได้ ประมาณสองถึงสามวันเด็กคนนั้นก็คงจะต้องเสียชีวิตไป
ขวดที่เก็บอินซูลินเอาไว้ถูกนำออกมาจากที่เก็บสาร ก่อนเขาจะทำการถกแขนเสื้อขึ้นมาเพื่อถอดเอาตัวสะกดพลังที่ซาโลม่อนให้เขาออก เนื่องจากหากเขาผนึกพลังเอาไว้ เขาอาจจะไม่สามารถหาบางสิ่งที่เขาต้องการพบได้
“เจอแล้ว!”
เขาได้ใช้พลังที่เขาไม่ได้ใช้มันมานานแล้ว นั่นคือการใช้พลังขยายภาพการมองเห็น ซึ่งมีหน้าที่ในการเพิ่มกำลังขยายการมองเห็นของวัตถุ ในกรณีนี้เขาจะใช้มันในการส่องดูลำดับกรดอะมิโนของอินซูลินด้วยตาของตัวเองเลย แน่นอนว่ามันค่อนข้างบ้าบอพอสมควรหากไปพูดให้ใครฟังว่าดูโครงสร้างของมันโดยไม่ใช้กล้องจุลทรรศน์ที่กำลังขยายสูงระดับอะตอม แต่ใช้เพียงแค่กล้องจุลทรรศน์ที่เรียกกันว่าวงแหวนนิ้วมือ
“มาสังเกตกันต่อเลยแล้วกัน!”
ฟาร์มาค่อยๆ ดูกรดอะมิโนแต่ละตัวไปเรื่อยๆ ก่อนจะเขียนลำดับของมันลงในสมุดบันทึก แม้จะดูเป็นเรื่องที่ง่ายและตัวฟาร์มาก็สามารถดูลำดับเหล่านั้นออก แต่มันก็มีกรดบางตัวที่ลักษณะโครงสร้างของมันนั้นคล้ายกันมากจนยากที่จะแยกได้ว่าเป็นชนิดไหนกันแน่ ในกรณีนี้จึงใช้วิธีไดไนโตรฟีนิเลชันเพื่อกำกับกรดอะมิโนเฉพาะตัวไป รวมเข้ากับความสามารถในการสลายสสารของเขาช่วยเดาสิ่งที่จะหายไปจากการสลายนั้นเพื่อแยกกรดอะมิโนดังกล่าวได้ และแล้วปริศนาที่ผ่านการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ในที่สุดเขาก็สามารถยืนยันลำดับทางโครงสร้างของอินซูลินได้สำเร็จผ่านความสามารถสลายสสาร
ก่อนที่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเขาจะกลับลงมาข้างล่าง
“เสร็จสักที….นี่แหละอินซูลิน”
“เยอะแยะไปหมดเลยนี่นา ว่าแต่นายไปสังเคราะห์มันได้ยังไงกันเนี่ย?”
“โดยหลักการแล้วก็คือใช้วิธีสังเคราะห์เปปไทน์ซอลเฟทน่ะ หรือถ้าให้เรียกง่ายๆ ก็คือการเอาพวกกรดอะมิโนแต่ละตัวมาต่อๆ กันจนได้ของที่ว่านี่แหละ”
“แต่ไอ้ที่นายบอกมามันไม่เห็นเหมือนในวิธีที่เคยพูดไว้เลยนี่”
ทั้งหมดนั้นน่าจะเป็นผลมาจากพลังแห่งเทพที่ฟาร์มาใช้ เพราะเอเลนสังเกตเห็นแขนของสองข้างของเขานั้นไม่มีผนึกที่ซาโลม่อนได้มอบไว้ให้ก่อนหน้านี้ ดูท่าเขาจะลืมติดมันกลับเข้าไป
“เพราะเป็นเรื่องด่วนน่ะ ระหว่างทำก็เกือบจะหมดสติจนคิดว่าจะตายให้ได้เลยด้วยสิ แต่ผลที่ได้ก็อย่างที่เห็นแหละนะ”
“จากที่ฉันเห็นก็คิดว่าคงอย่างที่นายว่า ดูตาของนายสิแดงก่ำซะขนาดนั้นฟาร์มาคุง”
เอเลนชี้ไปที่ดวงตาของฟาร์มา
“เหนื่อยหน่อยนะคะ”
ลอตเต้ยื่นผ้าขนหนูอุ่นๆ ให้ฟาร์มาอย่างนุ่มนวล แล้วเธอก็กลับไปยังมุมห้องแล้วคอยดูเหล่าแพทย์โอสถพูดคุยกัน เขานำมันมาโปะบริเวณดวงตาของเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณจากหัวใจ
(สุดท้ายก็จำเป็นต้องใช้มันอยู่ดีสินะ)
สำหรับครั้งนี้ยังดีว่าที่จำนวนของกรดอะมิโนที่ต้องนำมาเชื่อมกันด้วยพันธะของเปปไทด์นั้นมีไม่มากนัก หากต้องเชื่อมเป็นร้อยกว่าตัวแล้วฟาร์มาก็ไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะทำได้สำเร็จหรือไม่ และท้ายที่สุดอาจจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็ได้ วิธีดังกล่าวต้องแลกมากับหยาดเหงื่อจำนวนมาก และไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้โดยง่ายเลย
(เนื่องจากปัจจุบันที่นี่ยังไม่มีวิธีการสังเคราะห์ทางเคมีเกิดขึ้น พวกเราก็คงต้องรีบพัฒนาชีวเภสัชภัณฑ์ให้ก้าวหน้ากว่านี้เสียแล้ว)
หากเราสามารถใช้เทคโนโลยีชีวภาพได้ มันจะนำพามาซึ่งยาจำนวนมากที่ไม่สามารถทำได้ด้วยการสังเคราะห์ทางเคมีเพียงอย่างเดียว ด้วยความที่ฟาร์มานั้นก็เป็นถึงนักเภสัชวิทยา เขาย่อมรู้ในเรื่องที่ควรรู้หมดอยู่แล้วด้วย
“ท่านฟาร์มา ไม่ใช่ว่าจะอินซูลินเลยเหรอคะ?”
ฟาร์มาออกมาจากภวังค์ความคิดหลังรีเบคก้าทักเขาเรื่องนี้
“อ้อ จริงด้วยครับ”
แล้วในวันนั้นเอง เด็กหนุ่มคนนั้นก็ได้รับอินซูลินเพื่อใช้รักษาอาการเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งนั่นเป็นยาเปปไทด์ตัวแรกของร้านขายยาต่างโลกเลยทีเดียว
“ตอนนี้เขาน่าจะปลอดภัยแล้วครับ…”
เหล่าแพทย์โอสถค่อยๆ มาผลัดกันสังเกตอาการของเด็กหนุ่มขณะพูดคุยกับเขาไปด้วย ซึ่งท้ายที่สุดก็มีการตัดสินใจให้ค้างคืนที่ร้านก่อน โดยมีเอเลนและฟาร์มารับหน้าที่เป็นคนดูแลหลักตามกฎของแพทย์โอสถประจำของร้าน พอถึงช่วงเที่ยงคืนผู้ดูแลของเด็กหนุ่มก็เข้ามาเยี่ยมเข้า แล้วบอกให้เด็กหนุ่มหยุดงานขายนมไปก่อนแล้วกลับบ้านไป
“ผู้ดูแลก็ดูเป็นคนดีไม่ใช่เหรอครับ?”
ในเย็นวันต่อมา ฟาร์มาได้เข้าไปคุยกับเด็กหนุ่มสองต่อสอง
“ข้าไม่อยากพูดกับท่าน”
“ที่จริงผมมีเรื่องอยากจะถามหน่อยน่ะ คุณคงจะมีความแค้นต่อแพทย์โอสถด้วยใช่ไหมล่ะ เพราะอะไรกัน?”
แล้วจากบทสนทนาดังกล่าวก็ได้ความว่า ตัวเขายารักษาที่ได้จากแพทย์โอสถขั้นสามนั้นไม่ได้ผลจนทำให้เขาต้องเสียแม่ของเขาไป
(เป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วไปเลยสินะ…)
เรื่องราวดังกล่าวสามารถเกิดได้ทุกที่ในโลกนี้ ไม่ใช่แค่กรณีของเด็กคนนี้เท่านั้น ก่อนที่ฟาร์มาจะเริ่มจัดหายาแผนปัจจุบันให้กับพลเมืองของจักรวรรดิสถานการณ์ทางการแพทย์ของเหล่าสามัญชนก็เลวร้ายไม่แพ้กัน
“แล้วตอนนี้พอจะเชื่อใจแพทย์โอสถได้บ้างหรือยังครับ?”
พอถามไปเด็กหนุ่มกลับตอบกลับด้วยการหันหน้าหนีแทน
“ถึงคุณจะไม่เชื่อผมก็ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่ถ้าเกิดยามันได้ผลขึ้นมาจริงจะทำยังไงล่ะ? คิดคำตอบไว้ด้วยก็แล้วกัน”
“…”
เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากของเขาอย่างโศกเศร้าด้วยความเงียบงัน
“จากนี้ไป คุณจะสามารถใช้ยาตัวนี้ด้วยตัวเองได้เลยนะ ทุกๆ วันจากนี้ไป จะบอกว่าเป็นหัวหน้าแพทย์โอสถด้วยตัวเองเลยก็ได้นะ”
ฟาร์มาสอนให้เด็กหนุ่มรู้จักวิธีบริหารอินซูลิน วิธีละลายอินซูลิน วิธีจัดการกับหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยา ระยะเวลาในการให้ยา นอกจากนั้นยังมีความรู้ต่างๆ มากเท่าที่เด็กหนุ่มต้องการ นอกจากนั้นยังมอบเข็มฉีดยาสำหรับใช้แล้วทิ้งให้อีกด้วย เนื่องจากตัวเด็กหนุ่มไม่สามารถวัดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยตนเอง เขาจึงกำหนดปริมาณอินซูลินตามปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่คำนวณจากการทานของเด็กหนุ่ม แล้วเขายังสอนถึงวิธีการเลือกทานอาหารหลังจากนี้อีกด้วย
“คิดว่าไงครับ ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ คิดซะว่าการฉีดยาตัวนี้เป็นความสัมพันธ์ชั่วชีวิตของคุณก็ได้ คุณอาจลดปริมาณลงได้ แต่โดยพื้นฐานแล้วคุณไม่สามารถหยุดการฉีดยานี้ได้ครับ”
“ตลอดชีวิตเลยเหรอ…”
เด็กชายพึมพำออกมา ก่อนจะคิดถึงช่วงชีวิตหลังจากนี้ที่เขาต้องเผชิญ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้นอีก จนพูดไม่ออก
“แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่เรื่ององค์ความรู้ในตอนนี้เท่านั้นครับ หากผมหาทางอื่นได้แล้วผมสัญญาครับว่าจะรีบมาบอกคุณทันที”
“ทะ-ท่านก็ดูเป็นคนดีนี่นะ”
เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่เบา จนฟาร์มาไม่ได้ยิน
“ถือว่าตอนนี้ก็จบไปอีกหนึ่งเรื่องสินะ?”
เอเลนถาม
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ครับ เพราะผมยังกังวลเรื่องนี้อยู่พอสมควร เห็นทีคงต้องทำเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบง่ายมาไว้ด้วย อินซูลินที่ออกฤทธิ์เร็วและออกฤทธิ์ยาวนานก็ควรจะเตรียมไว้ให้พร้อมเผื่ออนาคตด้วย”
ปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเงาตามตัว
สองสัปดาห์ต่อมา ฟาร์มาได้รับนมสามขวดเป็นค่าบริการสำหรับการรักษาของเด็กหนุ่มคนนั้น ซึ่งได้ออกมาจากการรักษาตัวแล้ว
“แน่นอนว่านี่คือค่าใช้จ่ายส่วนของการรักษา แต่การรักษาจริงๆ คือต่อจากนี้นะครับ”
ตัวเด็กหนุ่มจำเป็นจะต้องดูแลสุขภาพของตนเองจากนี้ไปด้วยตัวเอง เด็กหนุ่มคนนั้นก็น่าจะตระหนักถึงเรื่องนี้ได้
“ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว ท่านแพทย์โอสถหลวง ขอบคุณสำหรับเจ้า….อินซูลินสินะ?”
“ฮ่ะๆ เดี๋ยวนี้มาเรียกกันว่าแพทย์โอสถหลวงแล้วเหรอครับ ทั้งที่ก่อนหน้านี้บ่นว่าแพทย์โอสถจอมปลอมแท้ๆ”
“หนวกหูน่า!”
“หากเป็นไปได้ก็มาหาผมทุกๆ วันด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะได้ให้ยาด้วย”
“ตามนั้นก็แล้วกัน”
วันรุ่งขึ้น นมอีกสามขวดก็ได้ถูกจัดส่งมายังร้านขายยา และมันก็เป็นเช่นนี้เสมอนับจากวันนั้น นอกเหนือจากการตรวจสุขภาพแล้ว ฟาร์มายังได้มอบกลูโคสรูปแบบแท่งเพื่อแลกกับนมที่เด็กหนุ่มนำมาให้อีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แน่นอนว่าอินซูลินก็ถูกส่งมอบให้เช่นเดียวกัน
“ถึงจะบอกให้มาหาทุกวัน แต่ก็ไม่เห็นต้องเอานมมาให้กันตลอดเลยนี่ครับ”
ด้วยเหตุนี้เหล่าพนักงานร้านขายยาจึงได้ดื่มนมกันก่อนทำงานเสมอ ในบางครั้งลอตเต้ก็นำมันมาประกอบการทำอาหารด้วย
ไม่นานนักฟาร์มาได้สอนให้เด็กหนุ่มรู้จักวิธีจัดการน้ำนมดิบผ่านการพาสเจอร์ไรส์เพื่อให้ชาวเมืองได้ดื่มอย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยเขาได้คุยกับผู้ดูแลเพื่อทำชุดยูนิฟอร์มสำหรับงานส่งนมเพิ่มด้วย เท่านั้นยังไม่พอเขายังได้ทำการดูแลรูปร่างหน้าตาและความสะอาดของเขาเป็นอย่างดีเพื่อให้เหมาะสมกับของที่ขายซึ่งก็ได้ฟาร์มาแนะนำมา แน่นอนว่าเรื่องการพาสเจอร์ไรส์นมนั้นย่อมต้องนำไปรายงานกับจักรพรรดินี ซึ่งผลที่ได้คือเธอชอบมันเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่นั้นเด็กหนุ่มขายนมถูกเรียกว่าเป็น “ผู้จัดส่งนมชั้นสูงให้แก่ราชสำนัก” ส่งผลให้มันกลายเป็นที่นิยมในหมู่ผู้คนในเมืองไปด้วย นั่นทำให้เด็กหนุ่มต้องวุ่นอยู่กับการทำงานมากยิ่งขึ้นจนท้ายที่สุดก็ต้องทำการปรับปรุงรถเข็นส่งนมเสียใหม่ให้ดีและงดงามยิ่งขึ้น
ในทุกๆ วันชาวเมืองก็จะได้เห็นเด็กหนุ่มคนนี้วิ่งไปรอบๆ เมืองหลวงของจักรวรรดิด้วยท่าทางที่กระฉับกระเฉง
———–
Note 1 : ตอนยาวและเนื้อหาแน่นเหมือนคนเขียนไปโกรธใครมา // sanity -999
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913