Perfect Superstar - ตอนที่ 133 กดดันมากจริงๆ!
ตอนที่ 133 กดดันมากจริงๆ!
วันศุกร์ที่ 28 เดือนสิงหาคม
ห้องถ่ายทำรายการโทรทัศน์ T1 ของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง บรรยากาศการถ่ายทอดสดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศทั่วประเทศของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’
ห้องถ่ายทำรายการโทรทัศน์แห่งใหม่นี้เพิ่งจะเริ่มใช้เมื่อครึ่งเดือนก่อน กินพื้นที่หนึ่งชั้นของอาคารใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ ไม่เพียงแต่มีอุปกรณ์ครบครันทันสมัย นอกจากนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีขนาดใหญ่และดีที่สุดในจำนวนสถานีโทรทัศน์ทั้งหมดในประเทศ
สามารถบรรจุผู้ชมได้สามพันที่นั่ง เวทีมีพื้นที่รวมทั้งหมดสามพันห้าร้อยตารางเมตร การตกแต่งภายในที่กว้างขวางแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่กว้างของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งอย่างเห็นได้ชัด!
เวลาหกโมงครึ่ง ภายในห้องโถงใหญ่ของห้องถ่ายทำรายการมีที่นั่งเต็มหมดแล้ว ทีมงานทุกคนก็พร้อมประจำที่
คืนนี้เป็นการแข่งขันรอบสุดท้ายของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ และยังเป็นการแข่งขันสุดยอดผู้แข็งแกร่งทั้งสิบคน
รายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งแตกต่างจากรายการ ‘นักร้องนักแต่งสุดสตรอง’ ของสถานีโทรทัศน์เซียงหนาน ความสนุกที่แท้จริงคือการแข่งขันร้องเพลงทั้งหกสถานที่ ซึ่งเข้ากับคอนเซ็ปต์ของรายการ ‘เดินไปร้องไป ขับร้องให้ก้องจีน’
การแข่งขันรอบสุดท้ายนี้ดึงดูดความสนใจของผู้ชมและเหล่าแฟนคลับมากมายนับไม่ถ้วน!
ใครจะสามารถคว้าแชมป์ไปครอง ใครจะชนะเงินรางวัลมูลค่าห้าล้าน ใครจะกลายเป็นดาวจรัสแสงที่สุดในค่ำคืนนี้
คำตอบทั้งหมดกำลังจะเปิดเผยในเร็วๆ นี้!
ด้านหลังเวทีห้องถ่ายทำรายการ T1 สิบสุดยอดนักร้องทั่วประเทศของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ กำลังรออยู่
สตูดิโอถูกจัดให้เป็นห้องโถงใหญ่ในการถ่ายทำรายการ ด้านหลังเวทีก็หรูหราพอสมควร สามารถรองรับนักแสดงกับทีมงานนับร้อยคนได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ผู้แข่งขันทั้งสิบคนก็ไม่อาจนั่งลงได้
แม้ว่าพวกเขาจะมีเพื่อนสนิทและญาติมิตรมาคอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้างก็ตาม
ทุกคนรักษาระยะห่างกัน ไม่มีใครพูดคุยหัวเราะเสียงดัง ความหนักหน่วงแฝงอยู่ในบรรยากาศที่น่าตึงเครียด
การแสดงครั้งนี้สำคัญมาก มีผลกระทบต่ออนาคตของทุกคนในระดับสูง
ด้วยเหตุนี้หากประสบความสำเร็จก็จะได้เข้าสู่เส้นทางดวงดาวจรัสแสง หรือไม่ก็หายไปเพียงชั่วข้ามคืน จะถูกคนนับหมื่นจับตาดู หรือว่าหายไปโดยไม่มีใครถามถึง ก็ต้องดูการแสดงของพวกเขาในคืนนี้
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนรวมทั้งลู่เฉินต่างก็เตรียมตัวสู้สุดฤทธิ์!
พวกเขาก็ไม่อยากแพ้ใคร!
เมื่อเทียบกันแล้ว ถือว่าลู่เฉินมีความผ่อนคลายทางจิตใจมากที่สุด
ข้างกายของเขามีทั้งญาติและผองเพื่อน นอกจากลู่ซีกับเฉินซิน ฉินฮั่นหยางกับสมาชิกทั้งสี่คนของวงเฮสิเทชั่นแล้ว ก็ยังมีพี่น่ากับเฉินเจี้ยนหาวที่มาด้วย ถือว่าเป็นกำลังคนที่มีความแข็งแกร่งมาก!
เวลาที่ตัวเองต้องขึ้นเวทียังอีกนาน ลู่เฉินนั่งพิงเก้าอี้นุ่มที่มีกลิ่นหนังใหม่กระจายออกมา จ้องมองเฉินเจี้ยนหาวกับพี่น่าทั้งสองคนที่อยู่ตรงข้าม
หรืออาจจะพูดว่าจ้องมองทั้งสองคนจับมือกันด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเป็นพิเศษ
พี่น่าเป็นผู้หญิงที่ใจกว้างตรงไปตรงมาก็ถูกเขามองจนหน้าแดง เผยความเขินอายเล็กๆ ที่ยากจะได้เห็น
เฉินเจี้ยนหาวพาลโกรธเอาดื้อๆ จึงขึงตาใส่ลู่เฉินแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “นายมองฉันหาพระแสงอะไร ยังไม่รีบไปเตรียมตัวจริงจังอีก!”
คนอื่นฝึกอุ่นเครื่องอย่างตื่นเต้น แต่ลู่เฉินเหรอ กลับจ้องมองเขาไม่จบไม่สิ้น
มีอะไรน่ามอง ก็แค่จับมือกัน!
ลู่เฉินยิ้มบอก “ยินดีกับพี่ทั้งสองคนด้วยนะครับ ไม่ทราบว่าจะได้ดื่มเหล้ามงคลเมื่อไร”
พอพูดออกไป แม้แต่ฉินฮั่นหยางและคนอื่นๆ ก็หัวเราะขึ้นมา
คนเก่าๆ ในบาร์เดย์ลิลลี่ต่างก็รู้ว่าพี่น่าชอบเฉินเจี้ยนหาวมานานแล้ว
แต่เธอไม่มั่นใจในหน้าตาของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่เคยแสดงตัวให้คนหลังได้รับรู้ กลัวว่าจะไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อน
แน่นอนว่าเฉินเจี้ยนหาวก็รู้ดี
เขาโสดมาตลอด แต่เคยมีแฟนมาสองสามคน ผ่านเรื่องราวมามากมาย ดังนั้นจึงเฉยๆ กับเรื่องแต่งงาน
เขามองพี่น่าเป็นเพื่อน เพื่อนที่ดี
จนกระทั่งตอนหลัง ลู่เฉินเขียนเพลงให้พี่น่าชื่อเพลงว่า ‘ฉันอยากมีบ้านสักหลัง’
ตอนที่พี่น่าร้องโชว์ในบาร์เดย์ลิลลี่เป็นครั้งแรก เฉินเจี้ยนหาวได้ฟังแล้วรู้สึกประทับใจโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นเมื่อคืน ทุกคนก็สร้างความเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ให้กับเขา
ตอนที่พี่น่าเข็นเค้กวันเกิดมาอยู่ตรงหน้าเขา น้ำตาไหลตอนที่ร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้กับเขา…
หัวใจของเฉินเจี้ยนหาวพังทลายลงในที่สุด!
รู้จักกันมานานหลายปี จู่ๆ เขาเพิ่งพบว่าความรักที่ตัวเองไม่เคยเชื่อมั่น แท้จริงแล้วกลับอยู่เคียงข้างตัวเองมาโดยตลอด
แสงเทียนตกกระทบใบหน้าของพี่น่าได้งดงามมาก
ดังนั้นตอนนี้เฉินเจี้ยนหาวจึงต้องอดทนกับการแซวของลู่เฉิน จับมือพี่น่าโดยไม่ปล่อยมือ
พี่น่าก็เป็นคนใจกว้าง หลังจากความเขินอายผ่านไปเธอจึงพูดอย่างเปิดเผยว่า “แค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว เรื่องแต่งงานไม่สำคัญ…”
“ไม่ได้!”
เฉินเจี้ยนหาวตัดบทคำพูดของเธอ “วันที่ 1 ตุลาคม วันชาติจีนคือวันแต่งงานของพวกเรา!”
อะไรนะ?
ทุกคนล้วนตกตะลึง…เร็วขนาดนี้เชียว!
ฉินฮั่นหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เขาถือว่าเป็นเพื่อนรักที่แท้จริงของพี่น่ากับเฉินเจี้ยนหาว ก่อนหน้านั้นก็ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะได้อยู่ด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับบอกว่าจะแต่งงานกันแล้ว
พี่น่าคือคนที่ตกใจมากกว่า เธออ้าปากค้างพูดไม่ออก
เฉินเจี้ยนหาวมองเธอ แล้วยิ้มบางๆ “ผมคิดไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเราแต่งงานกันเถอะ ขอแค่คุณยินดี”
ถ้าหากบอกว่านี่คือการขอแต่งงาน อย่างนั้นก็ไม่มีความโรแมนติกเลยสักนิด
เฉินเจี้ยนหาวก็ไม่ใช่คนพิถีพิถันกับความโรแมนติกอะไร
แต่พี่น่ายังคงซาบซึ้งน้ำตาไหลอาบหน้า พูดสะอึกสะอื้นว่า “ฉันยินดีค่ะ ก็แค่กลัวว่าคุณ…”
เฉินเจี้ยนหาวส่ายหน้า กระชับมือของเธอแน่น “ผมไม่วันเสียใจ!”
ลู่เฉิน ลู่ซี ฉินฮั่นหยาง…
ทุกคนปรบมือแสดงความยินดียกใหญ่ ถ้าหากไม่ใช่เพราะสถานที่ไม่อำนวย เกรงว่าคงจะร้องเพลงเฮฮาสนุกสนานกันไปแล้ว!
ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังดึงดูดสายตาคนมากมายโดยรอบได้เช่นกัน
เฉินเจี้ยนหาวยื่นมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของพี่น่า ก่อนพูดกับลู่เฉินว่า “แบบนี้นายพอใจแล้วหรือยัง ฉันกับพี่น่าของนายจะแต่งงานกันแล้ว คืนนี้ถ้านายคว้าแชมป์มาไม่ได้ อย่างนั้นนายก็ไม่ต้องมางานแต่งงานของพวกเรา”
“ผมก็ไม่อยากเสียหน้าเหมือนกันครับ!”
รอยยิ้มของลู่เฉินเปลี่ยนเป็นขมขื่นทันที…รู้สึกกดดันมากจริงๆ!
ทุกคนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ บรรยากาศของวงเล็กๆ เปลี่ยนเป็นความสุขในทันที
ลู่เฉินได้แต่หยิบกีตาร์ออกมา เริ่มนั่งฝึกอยู่ข้างๆ
ความพยายามและความยากลำบากในระยะเวลาเกือบสองเดือน ทัวร์ร้องเพลงเกือบครึ่งประเทศ ถ้าหากสุดท้ายยังแพ้คนอื่น อย่าพูดถึงครอบครัว เพื่อน หรือเหล่าแฟนคลับเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจยอมรับได้
เพลงที่ใช้แข่งขันถูกส่งขึ้นไปนานแล้ว หากยึดตามกฎระเบียบยังต้องฝึกซ้อมเป็นความลับอย่างเข้มงวดกับวงดนตรี เขามั่นใจในตัวเองมาก แต่ก็ไม่กล้าพูดว่ามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์
ผู้เข้าแข่งขันสุดยอดสิบนักร้องทั่วประเทศในรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ใช่ว่าจะเป็นผู้แข่งขันที่แข็งแกร่งที่สุด แต่คนที่มีคุณสมบัติมาเดินอยู่บนเวทีในคืนนี้ได้ ไม่มีใครที่เป็นคนธรรมดา
ก็เหมือนกับการแข่งขันที่เมืองปี้ไห่ สีเจียคู่แข่งขันของลู่เฉินเคยสร้างความกดดันมากมายให้กับเขาเช่นกัน
ใครก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าผู้เข้าแข่งขันอีกเก้าคนจะไม่หยิบไม้ตายออกมา!
เพราะฉะนั้นอย่ามองเพียงผิวเผินว่าลู่เฉินนิ่งมาก แต่ความจริงในใจของเขาตั้งมั่นรับมือกับคู่แข่งแล้ว ไม่ยอมให้ตัวเองตื่นเต้นจนเกินไป และก็ไม่ยอมให้ตัวเองผ่อนคลายจนเกินไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็เวลาหนึ่งทุ่มครึ่งแล้ว
การแข่งขันรอบสุดท้ายทั่วประเทศของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ!
เมื่อเทียบกับการแข่งขันในห้องถ่ายทำรายการเดิม การจัดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในห้องถ่ายทำรายการ T1 นี้ บรรยากาศการเปิดฉากและระดับความสวยงามห่างชั้นกันมากอย่างเห็นได้ชัด หน้าจอแอลอีดีขนาดยักษ์หลายเครื่องแสดงผลได้ดีมาก เข้ากับแสงไฟบนเวที สวยงามสะดุดตามากที่สุด
พิธีกรในงานเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน พูดบทสนทนาบนเวทีที่เต็มไปด้วยการกระตุ้นอารมณ์ช่วยดึงบรรยากาศคึกคักทั่วทั้งงานได้อย่างง่ายดาย
พิธีกรทั้งสองคนเชิญถานหงและเฉินเฟยเอ๋อร์ขึ้นมาบนเวที ต่างคนต่างก็โชว์การแสดงร้องเพลงของตัวเอง
นับตั้งแต่การคัดเลือกนักร้องในย่านปักกิ่ง นักร้องเพลงป็อปชื่อดังทั้งสองคนทำหน้าที่เป็นกรรมการมาตลอด แต่การขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีด้วยตัวเองเพิ่งมีเป็นครั้งแรก สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมที่อยู่ในงานและนอกงานอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะถานหงที่อยู่ในสถานะถอนตัวออกจากวงการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังไม่รับงานร้องโชว์อีกด้วย เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้เห็นเขาร้องเพลงบนเวทีจึงมีน้อยมากจริงๆ
ราชาก็คือราชา เพลงคลาสสิกอมตะ ‘เร่ร่อนสุดขอบฟ้า’ ภายใต้การแสดงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของเขา ทำให้ผู้ชมทั้งสามพันคนต่างเคลิบเคลิ้ม กระทั่งสุดท้ายก็ร้องประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน ผลักดันให้บรรยากาศทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด!
เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ไม่ทำให้คนผิดหวัง เธอใช้เสียงสวรรค์ของตัวเองแสดงการร้องเพลงชื่อ ‘ความทรงจำแสนหวาน’ ทำให้ผู้ชมย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่สวยงามอย่างช่วยไม่ได้
บุคคลดังทั้งสองคนใช้ความเรียบง่ายก็สามารถแย่งบรรยากาศที่สวยงามไปได้ทั้งหมด!
เพียงแต่ถานหงและเฉินเฟยเอ๋อร์ดื่มด่ำกับช่วงเวลาความรุ่งโรจน์จนหมดแล้ว ทั้งสองคนไม่โหยหาชื่อเสียงแบบนี้อีก ไม่ว่าผู้ชมที่อยู่ในงานจะขอร้องเพียงใด ทุกคนก็กลับไปนั่งประจำที่นั่งของกรรมการ
เนื่องจากเวทีของคืนนี้เป็นของผู้เข้าแข่งขันสุดยอดทั้งสิบคนของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’!
ผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบคนเดินขึ้นไปบนเวทีตามลำดับที่จัดไว้ มู่เสี่ยวชูคือคนที่ขึ้นเวทีเป็นคนแรก
การแข่งขันรอบสุดท้ายของการเดินทางทัวร์ร้องเพลงทั่วประเทศ จางจวิ้นหวาแพ้ให้กับหลินเหม่ยหรูหนึ่งในสิบผู้แข็งแกร่งของปี้ไห่ เพราะฉะนั้นผู้เข้าแข่งขันที่มาจากย่านปักกิ่งจึงเหลือแค่เพียงเธอกับลู่เฉินสองคน
อาศัยเสียงร้องที่อ่อนหวานกับความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของสาวน้อยบ้านๆ ตอนที่มู่เสี่ยวชูแข่งขันในรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ถึงแม้เธอจะไม่มีความสามารถโดดเด่นเหมือนลู่เฉิน แต่ก็ยังฝ่าด่านยากๆ จนมาถึงรอบชิงชนะเลิศจนได้
แม้แต่พวกแฟนคลับของเธอก็ยังไม่ค่อยเชื่อ ในบล็อก โพสต์ และฟอรัมต่างก็พูดคุยกัน
แน่นอนว่าล้วนแต่เป็นการชื่นชม
การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศคืนนี้ พ่อแม่ของมู่เสี่ยวชูก็มาให้กำลังใจเช่นกัน ลู่เฉินเองก็ไปทักทายกับเธอก่อนหน้านี้แล้ว
เพลงที่เธอจะร้องแสดงในคืนนี้มีชื่อว่า ‘ดอกบัวเทียนซาน’
เพลง ‘ดอกบัวเทียนซาน’ ไม่ใช่ผลงานเพลงที่มีชื่อเสียงมากนัก สไตล์ค่อนข้างเอนไปทางทำนองเพลงหลัก และต้องใช้พลังในการร้องที่สูงมาก หากจัดระเบียบลมหายใจไม่ถูกต้องจะหน้าแตกได้ มีนักร้องจำนวนไม่น้อยที่ไม่กล้าลอง
มู่เสี่ยวชูหยิบเพลงนี้ออกมาใช้เพื่อตั้งใจสู้เต็มที่อย่างไม่ต้องสงสัย!
ลู่เฉินเพ่งความสนใจไปที่หน้าจอโทรทัศน์แอลซีดีขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนัง แอบเช็ดเหงื่อให้เธออยู่เงียบๆ
จากนั้นหญิงสาวที่อ่อนโยนราวกับกิ่งหลิวคนนี้ก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เธอใช้เส้นเสียงเฉพาะของตัวเองร้องเพลงนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่ แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ของการร้องเพลงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ถ้าหากจะต้องพูดถึงข้อเสีย นั่นก็คือส่วนของเสียงสูงที่ยังบกพร่องไปนิด ด้อยกว่าเพลงต้นฉบับไปนิดเดียว
แต่ก็ทำให้คนใจสั่นได้มากพอแล้ว
หนึ่งเพลงจบไป เสียงปรบมือดังทั่วทั้งงาน ผู้ชมมากมายลุกขึ้นยืนปรบมือให้เธอ
ลู่เฉินก็ลุกขึ้นยืนเหมือนกัน
แต่เขาเพิ่งจะปรบมือได้สองที จู่ๆ ก็เห็นลู่ซีซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามจ้องมองโทรศัพท์ สีหน้าแปลกไปเล็กน้อย
ลู่เฉินจึงอดถามไม่ได้ “พี่ เป็นอะไรครับ”
…………………………………………………………………………