Perfect Superstar - ตอนที่ 137 ทำดีแค่ไหนก็ถูกเขาปฏิเสธ
ตอนที่ 137 ทำดีแค่ไหนก็ถูกเขาปฏิเสธ
วันที่ 28 เดือนสิงหาคม สิ้นสุดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’
รายการโชว์วาไรตี้ซีซั่นที่หนึ่งของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น เรตติ้งผู้ชมรายการของคืนนั้นอยู่ที่ 6.87 เปอร์เซ็นต์
ถึงแม้จะไม่สามารถทะลุสถิติเจ็ดเปอร์เซ็นต์ได้ แต่สถานีโทรทัศน์ปักกิ่งก็พอใจเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่กำหนดให้จัดทำรายการซีซั่นที่สองของปีหน้า ขณะเดียวกันก็ยังเผยแพร่ข่าวที่น่าตื่นตะลึงในบล็อกอย่างเป็นทางการอีกด้วย
นั่นก็คือแชมป์ของซีซั่นที่หนึ่งจะรับหน้าที่เป็นกรรมการในซีซั่นที่สอง ซึ่งเป็นธรรมเนียมนิยมไปแล้ว!
และแชมป์ของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ซีซั่นที่หนึ่งก็คือลู่เฉิน
ข่าวนี้ทำให้จำนวนแฟนคลับของลู่เฉินในบล็อกล่างฉาวพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มากมาย
ทางฝ่ายสตูดิโอลู่เฉินได้รับการติดต่อถามราคางานโชว์ตัวสองราย แถมยังมีบริษัทโฆษณากับบริษัทเอเจนซี่ที่เคยติดต่อกันก่อนหน้านี้เข้ามาพบเขาอีกครั้งเพื่อจะขอซื้อเพลงของเขา
แล้วก็ยังมีทางเฟยซวิ่นมิวสิคที่อยากขอสัมภาษณ์ลู่เฉิน!
เพราะฉะนั้นไม่เพียงแต่ลู่เฉินจะไม่ว่างเลยหลังจากจบรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ตรงกันข้ามเขากลับยุ่งมากขึ้น
แต่ก่อนที่จะจัดการงานพวกนี้ ลู่เฉินต้องไปต้อนรับแขกคนสำคัญมากที่สุดคนหนึ่งก่อน
หลินจื้อเจี๋ย นักดนตรีที่มีชื่อเสียง ผู้อำนวยการเพลงของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด
และก็เป็นหนึ่งในสี่กรรมการของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’
ทว่าวันนี้เขามาในฐานะตัวแทนของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด
ภายในร้านกาแฟหลันถิงชั้นบนสุดของโรงแรมปักกิ่งที่อยู่ติดกับศูนย์ความคิดสร้างสรรค์หลันเทียน ลู่เฉินกับลู่ซีมาต้อนรับแขกคนสำคัญคนนี้พร้อมกับผู้ช่วยอีกสองคนของเขาด้วยกัน
“ลู่เฉิน คุณไม่ลองพิจารณาดูอีกทีจริงๆ เหรอ”
หลินจื้อเจี๋ยถามอย่างจริงจัง ท่าทางของเขาดูเคร่งขรึมมาก “โอกาสแบบนี้ ถ้าพลาดไปแล้วก็น่าเสียดายจริงๆ!”
ผู้อำนวยการเพลงของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดคนนี้อายุสี่สิบปีกว่า รูปร่างของเขาผอมสูงหน้าตาเคร่งขรึม ไม่ชอบพูดจาล้อเล่นให้มากความ
ในวงการเพลงป็อปของประเทศ ถึงแม้อาจจะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังมากนอกวงการ แต่ถ้าเป็นแวดวงภายในแล้วทุกคนต่างก็รู้จักเขา
เขาเคยเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาอยู่เบื้องหลังและร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด เขาผลิตอัลบั้มขายดีให้กับซูเปอร์สตาร์ดังมากมาย เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องที่เขามีความสามารถสูงและทัศนคติในการทำงานที่เข้มงวด
ลู่เฉินรู้จักหลินจื้อเจี๋ยจากรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ หลินจื้อเจี๋ยเองก็ชื่นชอบความสามารถในการแต่งเพลงของลู่เฉินเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาถึงมาเชิญลู่เฉินให้ไปอยู่ใต้สังกัดบริษัทของเขาด้วยตัวเอง
ในมุมมองของหลินจื้อเจี๋ย หากลู่เฉินเซ็นสัญญากับบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดจะเป็นเรื่องดีมากที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย
ทว่าลู่เฉินกลับปฏิเสธอย่างเกรงใจมาก
แถมลู่เฉินยังปฏิเสธเงินกองทุนฝึกอบรมดาวดวงใหม่มูลค่าสี่ล้านด้วย!
เงินรางวัลของแชมป์รายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ มีมากถึงห้าล้าน แต่แบ่งเป็นเงินสดหนึ่งล้านและเงินกองทุนฝึกอบรมดาวดวงใหม่สี่ล้าน
เงินรางวัลหนึ่งล้านได้รับการสนับสนุนจากสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งหลังจากหักภาษี บวกกับเงินรางวัลที่ได้จากการชนะการแข่งขันทั้งหกรอบและเงินรางวัลจากการแข่งขันร้องเพลงในเขตปักกิ่ง ลู่เฉินที่ผ่านเข้ารอบการแข่งขันครั้งนี้ ชนะเงินรางวัลรวมทั้งหมดมากถึง 1.4 ล้าน
เป็นเงินหลังจากหักภาษีแล้ว!
สถานีโทรทัศน์ปักกิ่งยอมทุ่มเงินหนักขนาดนี้ เมื่อเทียบกับผลประโยชน์โฆษณาของพวกเขาแล้วถือว่านิดเดียว ขนหน้าแข้งไม่ร่วง
เงินกองทุนฝึกอบรมดาวดวงใหม่จำนวนสี่ล้านระดับแชมป์นั้นน่าตกใจมาก คนที่จ่ายก็ไม่ใช่สถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง แต่เป็นบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด!
นี่ไม่ใช่เงินที่ส่งถึงมือโดยตรง แต่เป็นค่าใช้จ่ายในการอบรมฝึกหัดศิลปิน การพัฒนาบุคลิกภาพ การแต่งตัว และการโปรโมท นอกจากนี้จะต้องเซ็นสัญญาเป็นศิลปินของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดก่อน
บริษัทเฟยสือเรคคอร์ดเป็นฝ่ายร่วมงานจัดทำรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง ตอนที่ประกาศเงื่อนไขนี้ในรายการก็ระบุชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องการหลอกลวงแน่นอน
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเด็กใหม่ธรรมดาทั่วไปก็ไม่สำคัญอะไรมาก เพราะการได้เซ็นสัญญากับบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดคือความปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง!
บริษัทเฟยสือเรคคอร์ดเป็นค่ายเพลงที่มีชื่อเสียงมากในประเทศจีน ยุคที่รุ่งโรจน์ที่สุดถือว่าเป็นจ้าพ่อแห่งอุตสาหกรรมเพลงก็ว่าได้
ตอนนั้นมีนักร้องดังเสียงดีระดับดีวาทั้งชายหญิงเข้ามาอยู่ใต้สังกัดมากมาย ยุค 80-90 เป็นช่วงที่อัลบั้มเพลงขายดีที่สุด อย่างน้อยหนึ่งในสามต้องมีการผลิตออกมาจากบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด
สัญลักษณ์คือ…ภาพหินสีทองมีปีกสีขาวยาวคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักและคุ้นเคยของคนจำนวนมาก
แต่หลังจากเข้าสู่ศตวรรษใหม่ และการเกิดขึ้นของสื่อมีเดียปริมาณมาก การเติบโตเต็มที่และการแพร่หลายของเสียงเพลงแบบดิจิตอล บวกกับผลกระทบอย่างมากของการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ ทำให้ยุคทองของอุตสหกรรมแผ่นเสียงล่วงเลยผ่านไปโดยไม่หวนกลับมา!
เริ่มตั้งแต่ปี 2003 การบริหารงานของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดเริ่มตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เกือบจะถึงขั้นล้มละลาย
จนกระทั่งปี 2007 บริษัทจวี้ซิงคัลเจอร์มีเดียกรุ๊ปจำกัดได้ร่วมทุนกับบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด เปลี่ยนผู้บริหารระดับสูงที่ไม่คิดแสวงหาความก้าวหน้า บุกเบิกพัฒนากิจการหลายด้านตามกระแสนิยม ดึงบริษัทดังที่ชื่อเสียงใกล้ตกหน้าผากลับมาได้ในที่สุด
ถึงแม้อิทธิพลของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดจะไม่เจริญรุ่งเรืองเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังคงจัดอยู่ในแถวหน้าเหมือนเดิม
การร่วมงานกับสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งครั้งนี้ ก็เพื่อแสดงความปรารถนาอันแรงกล้าของบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด
ตอนนี้บริษัทเซ็นสัญญากับนักร้องเสียงดีไปหลายคนแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือมู่เสี่ยวชูที่มีความสัมพันธ์อันดีกับลู่เฉิน
แต่หลินจื้อเจี๋ยคิดว่านักร้องที่เซ็นสัญญาเหล่านั้นยังสู้ลู่เฉินคนเดียวไม่ได้!
ดังนั้นเขาจึงแสดงความพยายามเป็นครั้งสุดท้าย
ลู่เฉินรู้สึกซาบซึ้งกับท่าทีจริงใจของหลินจื้อเจี๋ยเป็นอย่างมาก ควรทราบไว้ว่าตำแหน่งและฐานะของอีกฝ่ายที่อยู่ในวงการใช่ว่าคนตัวเล็กๆ อย่างเขาจะเทียบได้ นอกจากนี้สถานีโทรทัศน์ปักกิ่งกับบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดก็ไม่ได้กำหนดกฎกติกาซ่อนเร้นในการแข่งขันของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ เพื่อให้เขาคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ
รายการแข่งขันวาไรตี้โชว์มากมาย มักจะมีบริษัทบันเทิงและจัดหานักแสดงร่วมมือกัน เพื่อค้นหาคนใหม่และจัดฝึกอบรม หากค้นพบต้นกล้าที่ดีก็จะรีบชิงให้เซ็นสัญญาก่อน ถ้าผู้เข้าแข่งขันไม่เซ็นสัญญาหรือเซ็นกับบริษัทอื่นแล้ว ถ้าอยากจะโดดเด่นไม่เหมือนใครในการแข่งขัน นั่นก็เป็นความเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนชัดๆ!
แต่ก่อนสถานีโทรทัศน์เซียงหนานชอบใช้วิธีนี้มากที่สุด เอาเปรียบผู้เข้าแข่งขันก็ไม่น้อย สุดท้ายพอถูกแฉมากขึ้นถึงได้หยุดไป
ทว่าความซาบซึ้งก็ส่วนของความซาบซึ้ง การตัดสินใจจะเป็นศิลปินอิสระของลู่เฉินไม่มีสั่นคลอน
กิจการของเขากำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และกำลังจะพัฒนาใหญ่ขึ้น ถ้าหากไปเซ็นสัญญากับเฟยสือเรคคอร์ดใหม่อีกครั้ง ต่อให้มีเงินทุนสำรองในการฝึกอบรมดาวดวงใหม่สี่ล้านก็ยังได้ไม่คุ้มเสีย
“ผู้อำนวยการหลิน ผมพิจารณาชัดเจนแล้วครับ…”
ลู่เฉินกล่าวอย่างเกรงใจมาก “ผมไม่อยากเซ็นสัญญากับค่ายเพลงหรือบริษัทจัดหานักแสดงใดๆ ทั้งสิ้น ต้องขอโทษจริงๆ ครับ”
“อย่างนั้นก็น่าเสียดายมากจริงๆ”
หลินจื้อเจี๋ยเสียดายมากๆ เหมือนกับนายช่างใหญ่ที่เจอวัสดุชั้นดีแต่ไม่อาจครอบครองได้
ทว่าผู้อำนวยการเพลงบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดคนนี้ก็ไม่พาลโกรธอะไร เพราะเขาไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น
แต่ผู้ช่วยสองคนของหลินจื้อเจี๋ยต่างหากที่แสดงสีหน้าไม่เห็นด้วยออกมา
คิดอะไรผิดหรือเปล่า โอกาสดีขนาดนี้กลับไม่เอา สมองของคุณกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย!
คนใหม่ข้างนอกจำนวนไม่น้อยแทบอยากจะโผล่หน้าเข้ามา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสนับสนุนจากหลินจื้อเจี๋ยเลย
ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลินจื้อเจี๋ยไมได้แสดงท่าทีอะไร ผู้ช่วยสองคนนี้ก็อยากจะสั่งสอนเขาให้รู้ว่าคนใหม่ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมนั้นเป็นอย่างไร!
เด็กใหม่สมัยนี้ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ
“ขอโทษจริงๆ ครับ!”
ลู่เฉินประนมสองมือเข้าหากันเพื่อขอโทษอีกครั้ง
หลินจื้อเจี๋ยก็หัวเราะอย่างคนใจกว้าง โบกมือแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร อนาคตยังมีโอกาสได้ร่วมงานกันอีก”
แน่นอนว่าเขาก็พูดไปตามมารยาทเท่านั้น พูดจบก็เตรียมตัวกลับ
แต่ลู่เฉินได้ยินกลับตาสว่างทันที รีบพูดว่า “ผู้อำนวยการหลิน ผมยังมีธุรกิจที่อยากร่วมมือกับบริษัทของพวกคุณ ไม่ทราบว่าพอจะคุยกับคุณอีกสองสามประโยคได้ไหมครับ”
หลินจื้อเจี๋ยกำลังจะลุกขึ้น พอได้ยินคำพูดของลู่เฉิน เขาจึงนั่งลงนิ่งๆ อีกครั้ง “ธุรกิจอะไรลองพูดมาสิ”
ผู้ช่วยทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน ได้แต่ถอนใจกับความใจดีของหลินจื้อเจี๋ย
บริษัทเฟยสือเรคคอร์ดทำธุรกิจกับเขาได้คนเดียวเท่านั้นเหรอ
ก่อนหน้านั้นถูกปฏิเสธถึงสองครั้งสองครา หลินจื้อเจี๋ยไม่ทำแม้แต่สะบัดหน้าเดินหนี แถมยังให้โอกาสเขาอีก
พูดไม่ออกจริงๆ
“ผู้อำนวยการหลิน คือแบบนี้ค่ะ…”
คราวนี้ถึงตาพี่สาวออกโรงบ้าง เธอเล่างานสำคัญที่สุดในตอนนี้ของสตูดิโอลู่เฉินให้หลินจื้อเจี๋ยฟัง
หลินจื้อเจี๋ยฟังจบแล้วตกใจมาก “พวกคุณอยากมอบอัลบั้มแรกของลู่เฉินให้เฟยสือเรคคอร์ดของพวกเราบันทึกเสียงและจัดจำหน่ายเหรอ”
ลู่ซียิ้มพูดว่า “ใช่ค่ะ เพราะเฟยสือเรคคอร์ดเป็นบริษัทที่ดีที่สุดในประเทศจีน เรื่องนี้เป็นโชคดีของเรา ลู่เฉินมีเกียรติมากที่ได้พบกับผู้อำนวยการหลิน”
ถึงแม้นิสัยของพี่สาวจะค่อนข้างดื้อรั้น แต่การพูดจาไพเราะเธอก็ยังพูดเป็น และยังพูดได้น่าฟังมากอีกด้วย
อัลบั้มชุดนี้มีความสำคัญมากจริงๆ สำหรับลู่เฉิน
ในวงการเพลงป็อป ถ้าหากนักร้องอยากจะออกอัลบั้ม บริษัทเฟยสือเรคคอร์ดคือช่องทางที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีอย่างอื่นแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบของวงการหรือว่าเส้นสาย ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้นำที่โดดเด่นมาก
ถึงแม้ทุกวันนี้วงการบันเทิงจะเดินเข้าสู่เส้นทางไอดอล แต่การออกอัลบั้มก็มีความจำเป็นเช่นกัน นอกจากนี้ยังใช้ช่องทางจัดจำหน่ายทางออนไลน์ได้ ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากบริษัทค่ายเพลงมืออาชีพอย่างเฟยสือเรคคอร์ดแบบนี้
แต่ความต้องการทางด้านนี้ก็ยังมีอยู่ มีคนมากมายในยุค 80 และยุค 90 ที่ยังคิดถึงความทรงจำเก่าๆ เวลาเจอนักร้องที่ชื่นชอบ ก็จะซื้อซีดีเก็บไว้เป็นที่ระลึก มีจำนวนไม่น้อยที่ชอบหยิบมาฟังยามว่าง
เพราะฉะนั้นเฟยสือเรคคอร์ดจึงยังมีธุรกิจในการผลิตและจัดจำหน่ายอัลบั้มอยู่เสมอ ทว่าขนาดธุรกิจไม่ได้ใหญ่โตเหมือนเมื่อก่อน
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ สตูดิโอลู่เฉินอยากจะร่วมงานด้วยก็เป็นแค่ธุรกิจขนาดเล็กเท่านั้น
หลินจื้อเจี๋ยกลับสงสัยมาก “ทำไมถึงอยากออกอัลบั้ม จำหน่ายทางออนไลน์ไม่ดีเหรอ แบบนั้นต้นทุนจะต่ำมาก ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออกและขาดทุน ตอนนี้การออกซีดีสิบอัลบั้มจะมีเก้าอัลบั้มที่ขาดทุนนะ”
แต่ก่อนนักร้องหาเงินจากการขายอัลบั้ม ตอนนี้ต้องอาศัยการเพิ่มขึ้นของจำนวนแฟนคลับ หากอาศัยการออกอัลบั้มอย่างเดียวคงอดตายพอดี!
ลู่ซีเอ่ยพูดอย่างมั่นใจมาก “พวกเราเตรียมจัดจำหน่ายทางออนไลน์ไปพร้อมๆ กับการออกซีดีค่ะ ประเด็นหลักก็คือการจำหน่ายให้กับกลุ่มแฟนคลับ ถ้าหากเป็นไปได้ ฉันอยากขอไปเยี่ยมฝ่ายผลิตของบริษัทของคุณแล้วเจรจาต่อหน้าค่ะ”
“แค่ต้องการการแนะนำจากคุณเท่านั้นค่ะ”
เมื่อเทียบกับเฟยสือเรคคอร์ด สตูดิโอลู่เฉินดูอ่อนกำลังจนน่าสงสาร ถ้าหากไม่มีคนแนะนำไปที่บริษัท เกรงว่าอีกฝ่ายคงไม่ให้ความสำคัญ และไม่รู้ว่าต้องเจอความยุ่งยากอีกเท่าไร
ลู่เฉินวางแผนการจัดจำหน่ายอัลบั้มไว้เรียบร้อยแล้ว เคยปรึกษากับลู่ซีมาหลายครั้งแล้วเช่นกัน
สำหรับความคิดของน้องชาย ลู่ซีรู้สึกนับถือมากๆ
หลินจื้อเจี๋ยแอบถอนหายใจกับความมั่นใจของพี่น้องสองคนนี้
แต่เรื่องเล็กแค่นี้เขายินดีที่จะช่วยเหลือ สั่งให้ผู้ช่วยของตัวเองหยิบนามบัตรส่งให้ลู่ซี
“คุณเอานามบัตรของผมไปหาอิ่นเฮ่าอินผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัทเรา เขาจะช่วยคุณเอง”
ลู่เฉินกับลู่ซีมองหน้ากัน แล้วพูดอย่างพร้อมเพรียงว่า “ขอบคุณผู้อำนวยการหลินครับ/ค่ะ!”
…………………………………………………………………………