Perfect Superstar - ตอนที่ 140 มองข้ามความหวังดีของผู้อื่น
ตอนที่ 140 มองข้ามความหวังดีของผู้อื่น
อาคารเต๋อหลง ถนนวงแหวนรอบที่สี่ของปักกิ่ง
อาคารเต๋อหลงที่เป็นตึกสูงระฟ้าแห่งนี้ มีชื่อเสียงมากในย่านธุรกิจ เพราะรวบรวมกลุ่มบริษัทผลิตสื่อบันเทิงและดนตรีชั้นหนึ่งในปักกิ่งมากมายมาอยู่ด้วยกัน อย่างเช่นเทียนไล่มิวสิคเวิร์กชอป จินเตี๋ยคัลเจอร์ ซันไรส์เรคคอร์ดเป็นต้น
เพราะฉะนั้นคนที่ทำงานอยู่ในตึกสูงแห่งนี้ จึงเห็นดาราไอดอลเข้าออกอยู่บ่อยครั้ง เพียงแค่หามุมข้างนอกตรงไหนสักที่ ไม่แน่ก็อาจจะเห็นนักข่าวบันเทิงและพวกที่ได้ชื่อว่าเป็นปาปารัสซี่นั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น
บริษัทแผ่นเสียงอีเอ็มไอก็อยู่ในอาคารเต๋อหลงเช่นกัน เพียงแต่กำลังของบริษัทจัดหานักแสดงขนาดกลางแห่งนี้ไม่สามารถเทียบกับบริษัทจินเตี๋ยคัลเจอร์ได้ และตำแหน่งของออฟฟิศก็อยู่ที่ชั้นเจ็ดซึ่งค่อนข้างแย่
ในวงการบันเทิงมีคำกล่าวอย่างหนึ่ง ถ้าหากมีหลายบริษัทอยู่ในอาคารเดียวกัน ยิ่งมีความแข็งแกร่งและยิ่งมีชื่อเสียงมักจะได้อยู่ชั้นที่สูงขึ้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะไปหาที่ใหม่ จะไม่ยอมอยู่ต่ำกว่าคนอื่น
ถึงแม้คำพูดแบบนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไร แต่อย่างน้อยในอาคารเต๋อหลงแห่งนี้ ก็มีสถานการณ์แบบนี้อยู่จริง
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สามารถอยู่ในพื้นที่ของอาคารเต๋อหลงได้ก็ไม่ใช่บริษัทธรรมดาแน่นอน
บริษัทแผ่นเสียงอีเอ็มไอมีดาราสิบกว่าคนและศิลปินฝึกหัดอีกหลายร้อยคนอยู่ในสังกัด ศิลปินที่เดบิวต์และเข้าวงการไปแล้วก็จะเป็นดาราไอดอลระดับสองระดับสาม ถือว่ามีความสามารถค่อนข้างดีทีเดียว
ได้ยินว่าบริษัทบันเทิงจัดหานักแสดงในปักกิ่งมีมากถึงสองพันแห่ง แต่มีเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้นที่มีคุณสมบัติอย่างแท้จริง
เวลาบ่ายโมงกว่า เป็นช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวมากที่สุด
ถึงแม้ว่าแอร์ส่วนกลางของอาคารเต๋อหลงจะทำงานได้ดี ให้อากาศเย็นเต็มที่ แต่เวินจื้อหย่วนที่นั่งอยู่ในออฟฟิศยังคงรู้สึกอึดอัดเช่นเดิม เขาดื่มน้ำแร่เย็นๆ ติดต่อกันสองขวด ก็ยังคงรู้สึกถึงไฟอันชั่วร้ายวิ่งพลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกาย ทำให้หน้าผากของเขามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ผู้ชายอ้วนวัยกลางคนอายุสี่สิบปีคนนี้คือหัวหน้าฝ่ายจัดหานักแสดงของบริษัทแผ่นเสียงอีเอ็มไอนั่นเอง
ฝ่ายจัดหานักแสดงคือฝ่ายที่สำคัญที่สุดของบริษัท ระดับตำแหน่งหัวหน้างานคือระดับกลางและระดับสูงของบริษัท
อย่างไรก็ตามเวินจื้อหย่วนไม่เคยกุมอำนาจในมืออย่างมีความสุขสักครั้ง เนื่องจากฝ่ายจัดหานักแสดงมีอำนาจสูงและงบประมาณที่มาก ดังนั้นจึงมีพวกป้าๆ อีกหลายคนที่ยื่นมือเข้ามาควบคุมอยู่เหนือเขาขึ้นไป ไกลสุดก็คือผู้จัดการทั่วไป ผู้อำนวยการ รองผู้จัดการทั่วไป รองผู้อำนวยการ ใกล้สุดก็คือผู้จัดการแผนกกับรองผู้จัดการ มีสามคนที่มีระดับหัวหน้าเท่าเทียมกับเขา
ยังไม่ต้องพูดถึงหัวหน้าฝ่ายศิลปินฝึกหัดและคนอื่นอีกสองคนซึ่งไม่ใช่คนที่รับมือง่ายอะไร
ด้านหนึ่งเวินจื้อหย่วนก็ต้องดูแลผู้จัดการส่วนตัวดารากับศิลปินที่อยู่ในมือของตัวเอง อีกด้านหนึ่งเขาก็ต้องคอยป้องกันศัตรูทั้งในที่ลับและที่แจ้งกับการแข่งขันที่ดุเดือดในแผนก อย่าให้พูดเลยว่าใช้ชีวิตในแต่ละวันไม่มีความสุขมากแค่ไหน
โดยเฉพาะช่วงนี้ ศิลปินที่เซ็นสัญญากับเวินจื้อหย่วนสองสามคนก็อยู่ไม่สุข มีคนหนึ่งสร้างข่าวฉาวถูกสื่อเปิดเผย เขาจึงต้องตามเช็ดก้นอย่างเต็มที่ และยังถูกคนของฝ่ายประชาสัมพันธ์หัวเราะเยาะอีก
เวินจื้อหย่วนอยากจะลาออกจริงๆ แต่พอนึกถึงเงินกู้ซื้อบ้านที่ต้องใช้คืนอีกสิบห้าปี…
เขาจึงได้แต่อดทน
ปังๆ!
ทันใดนั้นก็มีคนมาเคาะประตู
เวินจื้อหย่วนยืดตัวตรง หยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะมาเช็ดเหงื่อที่อยู่บนใบหน้า
เขาทิ้งกระดาษทิชชูเปียกอย่างรวดเร็ว แล้วพูดเสียงหนักว่า “เชิญเข้ามาได้!”
ต่อหน้าลูกน้อง เวินจื้อหย่วนยังคงรักษาภาพลักษณ์มาก ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะมีคนเคารพ
ประตูถูกคนผลักออก ผู้หญิงสองคนทยอยเดินตามกันเข้ามา
เมื่อเห็นผู้หญิงวัยกลางคนเดินนำหน้า เวินจื้อหย่วนรู้สึกว่าหัวของตัวเองที่ใหญ่อยู่แล้วกลับใหญ่ขึ้นอีกกว่าเดิม!
ปวดสมองจริงๆ
ผู้หญิงวัยกลางคนคนนี้แต่งตัวโก้หรู สวมชุดกระโปรงยาว ใส่รองเท้าส้นสูง กระเป๋าหนังและเครื่องประดับล้วนเป็นของแบรนด์ดัง แต่รู้สึกอยากขอโทษกับเครื่องประดับราคาแพงพวกนั้นแทนหน้าตาของเธอจริงๆ ไม่เพียงแต่มีหน้าตาบ้านๆ ธรรมดาแถมยังหน้าดุอีกต่างหาก
แต่เธอก็ไม่สำนึกถึงความเงอะงะของตัวเอง เชิดจมูกด้วยความหยิ่ง ราวกับว่าเธอคือเจ้าของที่นี่
ผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังผู้หญิงวัยกลางคนกลับสวยและอ่อนวัยกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ดวงตาสวยดั่งนกการเวก คิ้วใบหลิว แต่งหน้างดงาม แต่สีหน้าและอารมณ์ กลับไม่ต่างจากคนที่อยู่ข้างหน้าเท่าไร
พอเดินมาถึงตรงหน้าเวินจื้อหย่วน ผู้หญิงที่ดูสาวกว่าคนนั้นจึงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวทักทาย
“หัวหน้าเวิน…”
เวินจื้อหย่วนแอบถอนหายใจ เค้นรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า
“ซูฮุ่ยคุณมาแล้วเหรอ”
จางซูฮุ่ย เป็นศิลปินที่เซ็นสัญญากับบริษัทแผ่นเสียงอีเอ็มไอ เพิ่งเข้าวงการเมื่อสองเดือนก่อน
และผู้หญิงวัยกลางคนที่มากับจางซูฮุ่ย ก็คือจางฉงผู้จัดการส่วนตัวของเธอ ทั้งยังเป็นน้าแท้ๆ ของเธออีกด้วย
ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา อารมณ์ร้ายปากจัด และยังมีความสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับสูง
ถึงแม้ในนามจะเป็นลูกน้องใต้อาณัติของเวินจื้อหย่วน แต่ความจริงแล้วเขาไม่สามารถควบคุมคนนี้ได้เลย
ดังที่กล่าวว่าทหารและขุนพลที่หยิ่งผยอง ก็คือสองคนนี้นั่นเอง!
และไม่จำเป็นต้องเดา เวินจื้อหย่วนก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดีแน่นอน
ในใจของเขารู้สึกเบื่อหน่ายมาก แต่ก็ยังคงยิ้มให้อยู่ดี “นั่งสิๆ”
จางฉงไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด ดึงจางซูฮุ่ยไปนั่งบนโซฟา จากนั้นก็ถามตรงประเด็นว่า “หัวหน้าเวิน ฉันได้ยินว่าคุณยื่นเสนอเงินทุนขอซื้อเพลงมาให้จางซูฮุ่ยใช่ไหมคะ”
เวินจื้อหย่วนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่ครับ ทั้งหมดสองแสน ผมได้…”
ตามกฎระเบียบของบริษัท ศิลปินเซ็นสัญญาอย่างจางซูฮุ่ย เรื่องที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายสำคัญเช่นค่าฝึกหัดการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ ค่าโปรโมทส่งเสริมการขายล้วนต้องยื่นเรื่องเสนอ หลังจากผ่านการตรวจสอบและอนุมัติแล้วจึงจะจัดสรรเงินจ่ายให้
นี่คือหนึ่งในอำนาจใหญ่ที่สุดที่เวินจื้อหย่วนมีในฐานะหัวหน้าฝ่ายจัดหานักแสดง
เขายื่นเรื่องเสนอเงินทุนให้จางซูฮุ่ย เพราะอยากให้แม่สาวคนนี้อยู่เงียบๆ บ้าง เพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้
“ฉันรู้ค่ะ!”
จางฉงพูดตัดบทเวินจื้อหย่วนโดยตรง แล้วซักถามว่า “ฉันได้ยินอีกว่าคุณจะให้เด็กใหม่ช่วยแต่งเพลงให้ เพลงหนึ่งมีราคาถึงสองแสนห้าหมื่น เป็นแบบนี้ใช่ไหมคะ”
เวินจื้อหย่วนเก็บความไม่พอใจไว้ อธิบายอย่างอดทนว่า “คืออย่างนี้ครับ…”
“เด็กใหม่คนนี้ไม่ธรรมดา เขาเป็นแชมป์ของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ผลงานเพลงต้นฉบับของเขาก็ยังติดชาร์ตเพลงประกอบยอดฮิตอันดับหนึ่งสี่สัปดาห์ติดต่อกัน เป็นนักร้องนักแต่งที่มีพรสวรรค์มาก ผมคิดว่า…”
“หัวหน้าเวิน!”
จางฉงตัดบทอีกครั้ง “ฉันคิดว่าไม่มีผลงานเพลงของเด็กใหม่คนไหนมีมูลค่าถึงสองแสนห้าหมื่นหรอกนะคะ ต่อให้ผลงานเพลงของเขาจะติดชาร์ตเพลงประกอบยอดฮิตแล้วยังไง สไตล์เพลงของเขาไม่เข้ากับจางซูฮุ่ยของฉันแม้แต่น้อย แล้วจะเขียนเพลงที่ดีได้ยังไง”
“สามารถยื่นขอเงินก้อนนี้ได้ ฉันกับซูฮุ่ยก็ออกแรงไปไม่น้อย ดังนั้นฉันไม่เห็นด้วยที่ให้คุณไปซื้อเพลงจากเด็กใหม่ที่ชื่อลู่เฉิน มันเสี่ยงเกินไป ฉันคิดว่าซีอวี่จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า”
เธอยิ้มมุมปากแล้วพูดเย้นหยันเบาๆ
“สองแสนห้าหมื่น ซื้อเพลงได้ตั้งสามเพลง!”
เวินจื้อหย่วนถูกสายตา ‘คุณได้ค่านายหน้าใช่ไหม’ ของเธอกระตุ้นเส้นเลือดบริเวณขมับของเขาให้ปูดขึ้นมา
เขาอยากจะวิ่งหนีไปตอนนี้!
สวรรค์ ช่างน่าสงสารจริงๆ! เขาขอซื้อเพลงจากลู่เฉินเพราะคำนึงถึงจางซูฮุ่ยอย่างใจจริง
จางซูฮุ่ยเป็นนักร้องรุ่นใหม่ที่เข้าวงการมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ถึงแม้บริษัทจะออกเงินสร้างกระแสและเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ไปไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ยังดันไม่ขึ้นอยู่ดี เนื่องจากตอนนี้คนใหม่ที่มีคุณสมบัติคล้ายกันในวงการมีอยู่มากมาย
ถ้าพูดถึงหน้าตา จางซูฮุ่ยก็ไม่ได้สวยมาก หากพูดถึงพลังในการร้องเพลง เธออยู่แค่ระดับธรรมดา หากพูดถึงความสามารถพิเศษ…
อะแฮ่ม! อย่าพูดถึงความสามารถเลย เธอไม่มีคุณสมบัติพิเศษแปลกใหม่และข้อได้เปรียบอะไรเลย ถ้าอยากจะดังจำเป็นต้องหาวิธีอื่น
การซื้อผลงานเพลงโดดเด่นที่เหมาะสมกับจางซูฮุ่ย ก็คือวิธีที่เวินจื้อหย่วนคิดขึ้นมา
ในวงการเพลงป็อป มักมีคนกล่าวเสมอว่า ‘คนดังเพราะเพลงดี’ เดิมทีนักร้องธรรมดาได้ร้องเพลงที่ดีเพลงหนึ่ง ไม่แน่ก็อาจจะดังขึ้นมา ต่อให้ตอนนี้จะเน้นการสร้างกระแสและภาพลักษณ์ แต่ปัจจัยของผลงานก็ยังคงสำคัญอยู่ดี
หลายคนพยายามเรียบเรียง ร้องเพลง และเลียนแบบเพลงของคนอื่นกระทั่งคัดลอกผลงานเพลงของสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่นและเกาหลี เพื่ออะไรล่ะ
ในฐานะนักร้องนักแต่งเพลงที่เพิ่งเติบโตอย่างรวดเร็วในวงการเพลงป็อป เวินจื้อหย่วนจับตามองลู่เฉินมานานแล้ว หลังจากรู้ว่าคนหลังเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง เขาจึงส่งคนไปติดต่อโดยเฉพาะ
จนกระทั่งรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ สิ้นสุดลง ในที่สุดเวินจื้อหย่วนก็ตัดสินใจยอมซื้อเพลงของลู่เฉินโดยไม่เสียดายว่าราคาแพง
เพราะเขาเชื่อว่าลู่เฉินมีความสามารถในการสร้างสรรค์ที่แข็งแกร่งพอ
แต่กลับคาดไม่ถึงว่าความตั้งใจและความหวังดีของเขาจะทำให้จางฉงเกิดความสงสัย!
อีกฝ่ายพูดว่า ‘ซีอวี่’ นั่นคือนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงมานานแล้ว ถนัดเพลงรักและเพลงฮิตติดปาก มีความสัมพันธ์กับบริษัทแผ่นเสียงอีเอ็มไอมาตลอด
สองแสนห้าหมื่นสามารถซื้อเพลงของซีอวี่ได้สามเพลง แต่เวินจื้อหย่วนคิดว่าความสามารถของคนคนนี้ใกล้จะหมดไฟแล้ว
ถ้าหากนำมาเปรียบเทียบกัน ลู่เฉินเหมือนกับพระอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้น การสร้างผลงานจึงเต็มไปด้วยพลังและความสดใสมีชีวิตชีวา
ซีอวี่ก็คือพระอาทิตย์ยามเย็นที่ใกล้จะตกดิน!
ส่วนปัญหาของสไตล์ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรจริงๆ
เวินจื้อหย่วนอยากจะอธิบายอย่างอดทนต่อไป แต่สายตาของจางฉงทำให้เขาท้อแท้ใจ
หลังที่ยืดตรงของเขาโน้มลงอีกครั้ง แล้วพูดอย่างหมดพลังว่า “คุณพูดมีเหตุผล งั้นก็ได้ ทำตามความต้องการของคุณก็แล้วกัน ให้ซีอวี่เป็นคนเขียนเพลงเถอะ”
เมื่อเห็นเวินจื้อหย่วนทำสีหน้าท้อแท้แบบนี้ จางซูฮุ่ยที่ไม่พูดมาตลอดรู้สึกทนไม่ไหวเล็กน้อย หันหน้าไปพูดกับจางฉงว่า
“คุณน้า…”
จางฉงหยิกมือของเธอแล้วพูดว่า “ฟังฉันน่ะถูกแล้ว ในเมื่อหัวหน้าเวินตกลงแล้ว ก็ไม่มีปัญหา”
เธอลุกขึ้นบอก “รบกวนแล้วค่ะ พวกเราขอตัวกลับก่อน”
เวินจื้อหย่วนโบกมืออย่างหมดแรง ขี้เกียจมองสีหน้าได้ใจของอีกฝ่าย
เขารู้ว่าเจตนาที่แท้จริงของจางฉงคืออยากแย่งอำนาจ
หลังจากจางฉงกับจางซูฮุ่ยกลับไป เวินจื้อหย่วนถึงได้ผ่อนคลายลง กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
แม่งเอ้ยนี่มันอะไรกันวะ!
กริ๊ง~
ในตอนนี้เอง เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น
เวินจื้อหย่วนยื่นมือไปรับ
เสียงอ่อนหวานของพนักงานต้อนรับดังเข้ามาในโทรศัพท์
“หัวหน้าเวินคะ คุณลู่เฉินมาขอพบคุณค่ะ”
ทันใดนั้นเวินจื้อหย่วนก็นึกได้ว่าตอนบ่ายตัวเองนัดกับสตูดิโอลู่เฉินเรียบร้อยแล้ว
อีกฝ่ายมาหาเพื่อทดลองเสียง!
คราวนี้ซวยแล้วจริงๆ เวินจื้อหย่วนอยากเอามือตบหน้าตัวเองแรงๆ สักหนึ่งที
เขาสามารถบอกให้ลู่เฉินกลับไปก่อนได้อย่างแน่นอน แต่ทำแบบนี้จะเป็นการผิดใจกับเขาอย่างมาก หากถูกแพร่ออกไปก็คงขายหน้า จึงไม่ใช่วิธีเลือกที่ชาญฉลาดเด็ดขาด
แต่เวินจื้อหย่วนจะพูดกับลู่เฉินอย่างไรดี บอกว่าศิลปินของตัวเองดื้อ ไม่อยากซื้อเพลงของเขาเหรอ
ก็ยังผิดใจกับเขาอยู่ดี!
“ฮัลโหลๆ! หัวหน้าเวินอยู่ไหมคะ”
เวินจื้อหย่วนได้สติกลับมา รีบพูดว่า “อยู่ครับ คุณเชิญคุณลู่ไปนั่งรอที่ห้องรับแขกก่อน และต้องต้อนรับอย่างดีนะ เดี๋ยวผมเคลียร์งานที่อยู่ในมือเสร็จแล้วจะรีบไป!”
พนักงานต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์ตอบรับ “ได้ค่ะ”
พอวางสาย เวินจื้อหย่วนเหงื่อไหลเต็มหน้า และเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว
ก๊อกๆ!
ประตูของออฟฟิศถูกคนเคาะอีกครั้ง
…………………………………………………………………………