Perfect Superstar - ตอนที่ 142 เตรียมให้เฉินเฟยเอ๋อร์
ตอนที่ 142 เตรียมให้เฉินเฟยเอ๋อร์
จางอ้ายหลิงเคยกล่าวว่ารีบมีชื่อเสียงตั้งแต่เนิ่นๆ
เวินจื้อหย่วนคลุกคลีอยู่ในวงการมาสิบกว่าปี เห็นศิลปินมีชื่อเสียงที่มีอายุน้อยมาก็มาก แต่เขาไม่เคยเห็นเด็กวัยรุ่นคนไหนที่มีนิสัยใจเย็นสุภาพเหมือนอย่างลู่เฉิน ไม่เย่อหยิ่งใจร้อนและอ่อนน้อมถ่อมตนแบบนี้
เด็กใหม่จำนวนไม่น้อยมักจะแสดงความถ่อมตัวมากๆ ต่อหน้าคำสรรเสริญและความรุ่งโรจน์ แต่ในใจของพวกเขายังคงหยิ่งผยองเหมือนเดิม อารมณ์ของพวกเขาสามารถเผยออกมาทางแววตาและการกระทำที่ละเอียดอ่อน
คนที่มีสายตาเฉียบแหลมและประสบการณ์ช่ำชองอย่างเวินจื้อหย่วนมองออกทุกอย่าง
แต่ลู่เฉินกลับไม่ใช่ ความถ่อมตนของเขาล้วนออกมาจากใจ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเด็ดขาด สำหรับความรู้สึกของเวินจื้อหย่วน เขาเหมือนกับสระน้ำลึกที่ยากจะคาดเดาได้ มองไม่เห็นก้นบึ้งเลยด้วยซ้ำ
ความจริงเวินจื้อหย่วนไม่รู้ว่าลู่เฉินเมื่อสองสามเดือนก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้เลย
ลู่เฉินผ่านเหตุการณ์ในชีวิตที่ไม่เหมือนกันทั้งสามช่วงในความฝันอันยาวนาน หลอมรวมความทรงจำของคนทั้งสามคนในโลกแห่งความฝัน ชะล้างความเป็นวัยรุ่นและไร้เดียงสาเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นจึงไม่เหมือนคนอื่นเป็นธรรมดา
สมบัติอันล้ำค่าในโลกของความฝัน ทำให้ลู่เฉินมีความมั่นใจสุดๆ
แต่เขาก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่ตัวเองครอบครองอยู่ตอนนี้ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ดูถูกคนอื่น
การผสมผสานกันอย่างน่าอัศจรรย์ สร้างลู่เฉินให้มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร
เด็กวัยรุ่นสมัยนี้เก่งจริงๆ!
เวินจื้อหย่วนแอบชื่นชม และยิ่งมั่นใจในความคิดที่เชิญลู่เฉินมาแต่งเพลงให้
ถังเฉียวเฉี่ยวก็เป็นเด็กดี โอกาสของเธอมาถึงแล้ว
หลังจากพูดกันตามมารยาทแล้ว เวินจื้อหย่วนจึงแนะนำหลี่จื้อเกากับถังเฉียวเฉี่ยวสองคนให้ลู่เฉิน
ลู่เฉินไม่รู้ว่าก่อนที่เขาจะมาถึง ฝ่ายจัดหานักแสดงของบริษัทแผ่นเสียงอีเอ็มไอเกิดสงครามเล็กๆ ขึ้น เป็นผลทำให้เกิดการเปลี่ยนตัวศิลปินทดสอบเสียง แต่นี่ก็ไม่มีผลกระทบต่อความจริงใจในการร่วมงานครั้งนี้ของเขา
หลังจากเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ โด่งดังไปแล้ว ก็มีบริษัทจัดหานักแสดงหลายแห่งไปหาลู่เฉินที่สตูดิโอเพื่อขอให้เขียนเพลงให้ ผลสรุปคือรีบเผ่นกลับกับการเสนอราคาของเขา
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนนั้น ลู่เฉินในตอนนี้คว้าแชมป์ในรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ มาแล้ว ในขณะเดียวกันก็ยังออกผลงานเพลงต้นฉบับที่โดดเด่นออกมาหลายเพลง แสดงให้เห็นถึงความสามารถและพรสวรรค์ของเขา และราคาเดิมจึงยากที่จะยอมรับได้อีกต่อไป
ลู่เฉินบอกให้ลู่ซีเพิ่มราคา
ผลงานแต่ละเพลงที่อยู่ในความทรงจำของเขาล้วนเป็นผลงานชั้นยอดถึงกระทั่งเป็นผลงานคลาสสิก เขายอมให้เพลงเน่าอยู่ในมือ ก็จะไม่ยอมขายทิ้งไปแย่ๆ เด็ดขาด
นอกจากบริษัทชิงอวี่มีเดียที่ได้ลิ้มรสผลประโยชน์ไปแล้ว บริษัทแผ่นเสียงอีเอ็มไอก็เป็นบริษัทแรกที่ยอมร่วมงานกับลู่เฉินในด้านนี้ด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง ดังนั้นเขาถึงยอมเป็นฝ่ายมาหาเพื่อทดสอบเสียง
มีนักแต่งเพลงบางคนที่เขียนเพลงอะไรก็ขายแบบนั้น ขอแค่ให้ได้เงินก็พอ และจะให้ใครร้องก็ได้
แต่ก็มีนักแต่งเพลงบางคนที่จะแต่งเพลงมาจากเส้นเสียงและรูปลักษณ์ภายนอกจนกระทั่งนิสัยของนักร้อง ตำแหน่งของฝ่ายหลังมักจะสูงกว่าคนหน้า
ลู่เฉินอยากจะเป็นคนหลัง…ผลงานที่อยู่ในความทรงจำของเขามีมากเหลือเกิน สามารถหาความต้องการที่เหมาะสมได้แน่นอน!
เวินจื้อหย่วนยังไม่รู้ ถ้าหากรู้เกรงว่าคงจะงงเป็นไก่ตาแตก
หัวหน้าฝ่ายจัดหานักแสดงของบริษัทแผ่นเสียงอีเอ็มไอพาทุกคนมาที่ห้องทดสอบเสียง
บริษัทแผ่นเสียงอีเอ็มไอเป็นบริษัทขนาดกลาง มีศิลปินในสังกัดไม่น้อย แต่ไม่มีห้องอัดเสียงเป็นของตัวเอง มักจะว่าจ้างบริษัทอื่นในการผลิตผลงาน อาคารเต๋อหลงก็มีฝ่ายผลิตชั้นหนึ่งอย่างเทียนไล่เวิร์กชอป
แต่ห้องทดสอบเสียงก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
หลังจากการทำอัลบั้มเพลงของนักร้องเสร็จแล้ว ก็ต้องเอากลับมาให้คนที่เกี่ยวข้องในบริษัทได้ทดสอบฟัง เพื่อยืนยันแผนส่งเสริมการขาย
ด้วยเหตุนี้ห้องทดสอบฟังของบริษัทแผ่นเสียงอีเอ็มไอถือว่ามีความเป็นมืออาชีพพอสมควร อุปกรณ์เครื่องเสียงครบครัน แม้แต่หน้าจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ก็มี พร้อมด้วยเพลงประกอบอิเล็กทรอนิกส์และไมค์ สามารถทำเป็นห้องคาราโอเกะระดับไฮเอนด์ได้เลย
ถังเฉียวเฉี่ยวร้องเพลงให้ลู่เฉินฟังสองเพลง แบ่งเป็นเพลงรักและเพลงเร็วอย่างละหนึ่งเพลง
ลู่เฉินฟังอย่างตั้งใจ
ถ้าหากคะแนนเต็มสิบคะแนน รูปลักษณ์ภายนอกของถังฉียวเฉี่ยวอย่างน้อยได้เจ็ดคะแนน การแต่งหน้าแต่งตัวพอได้แปดคะแนน
เส้นเสียงของเธอมีเสียงขึ้นจมูกนิดๆ ให้ความรู้สึกถึงความขี้เกียจของเด็กผู้หญิงที่งดงามรางๆ พอฟังแล้วรู้สึกสบายมาก เป็นประเภทเสียงพิเศษมีศักยภาพแฝงอยู่ บริษัทแผ่นเสียงอีเอ็มไอเซ็นสัญญากับเธอใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
แต่ปัญหาคือความพิเศษของถังเฉียวเฉี่ยวยังไม่แข็งแกร่งและชัดเจนพอ พลังในการร้องก็ยังไม่โดดเด่นมาก เมื่ออยู่ท่ามกลางคนเก่งที่เบียดเสียดกันในเมืองหลวง ถ้าอยากจะเด่นดังไม่เหมือนใครจึงเป็นเรื่องยาก
เว้นเสียแต่ว่ามีเพลงที่ดีสักเพลงมาช่วยเธอ!
หลังจากลู่เฉินฟังจบแล้วก็ตกอยู่ในห้วงความคิด
นักแต่งเพลงคนอื่นหลังจากฟังเสียงของนักร้องแล้ว ก็ต้องคิดว่าจะตั้งธีมอะไร ทำนองอะไร เรียบเรียงอย่างไรให้เหมาะสมกับลักษณะพิเศษของอีกฝ่าย
แต่ความคิดของลู่เฉินไม่เหมือนกัน ปัญหาที่เขาพิจารณาไม่ได้ซับซ้อนมาก
นั่นก็คือต้องเลือกเพลงไหนถึงจะเหมาะสม!
ถ้าหากไม่อยากเป็นที่น่าตกใจจนเกินไป เขาสามารถเขียนเพลงให้ถังเฉียวเฉี่ยวสิบกว่าเพลงตอนนี้ได้ไม่มีปัญหา
ตอนที่ลู่เฉินกำลังค้นหาความทรงจำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นถังเฉียวเฉี่ยว หลี่จื้อเกาหรือเวินจื้อหย่วนต่างก็ปิดปากสนิท ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยการรอคอยมองเขา หลี่จื้อเกากระทั่งมีเหงื่อเล็กๆ ผุดออกมาบนหน้าผากด้วยความตื่นเต้น
ในขณะเดียวกัน ภายในออฟฟิศห้องหนึ่งของบริษัทแผ่นเสียงอีเอ็มไอ จางซูฮุ่ยกำลังพูดสายกับคนอื่น “อืมๆ ฉันรู้แล้ว…”
เธอเดินไปเดินมาในห้องเล็กๆ ปากก็ขานรับ และขมวดคิ้วบ่อยมาก
จางฉงนั่งอยู่บนโซฟา มองหลานสาวที่กระวนกระวายใจอยู่ตรงหน้า แล้วจึงส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
เด็กคนนี้ชอบทำตัวลุกลี้ลุกลนตลอด เจอเรื่องเล็กๆ เข้าหน่อยก็สับสน
เธอบอกว่าคุณน้าเป็นผู้จัดการส่วนตัว ความจริงแล้วไม่ต่างอะไรจากพี่เลี้ยง
เวลาผ่านไปสักพัก จางซูฮุ่ยจึงพูดสายจบ
เธอกำโทรศัพท์แน่น แล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า “คุณน้า ลู่เฉินคนนั้นมาแล้วค่ะ เสี่ยวเฉินบอกหนูว่าหัวหน้าเวินพาเขาแล้วก็หลี่จื้อเกากับถังเฉียวเฉี่ยวไปที่ห้องทดสอบเสียงแล้ว!”
“อะไรนะ!”
พอได้ยินข่าวนี้ จางฉงก็ตกใจเหมือนกัน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แต่ไม่ช้าเธอก็เข้าใจ แล้วพูดอย่างเย้ยหยัน “หลี่จื้อเกาคนชั้นต่ำคงใช้เล่ห์กลเล็กน้อย เข้าไปประจบเวินจื้อหย่วนแน่นอน เพื่อให้ลู่เฉินคนนั้นเขียนเพลงให้ถังเฉียวเฉี่ยว เขาตั้งใจหาเรื่องฉัน!”
ตอนแรกจางฉงจงใจหายไปจากบริษัท ก็เพราะอยากทำให้เวินจื้อหย่วนเสียหน้า
คิดไม่ถึงว่าหลี่จื้อเกาจะคว้าโอกาสนี้ไว้ได้
จางซูฮุ่ยลังเลเล็กน้อย แล้วถามว่า “คุณน้า ถ้าหากถังเฉียวเฉี่ยวเธอ…”
ถึงแม้จะเป็นศิลปินที่อยู่ในมือของเวินจื้อหย่วนเหมือนกัน แต่จางซูฮุ่ยไม่เคยเห็นถังเฉียวเฉี่ยวที่เข้าวงการมาก่อนเธออยู่ในสายตา คนหลังมีระดับต่ำกว่าเธอถึงสองขั้น จึงไม่มีอำนาจในการข่มขู่ใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ครั้งนี้ถังเฉียวเฉี่ยวได้เจอกับลู่เฉิน เธอจึงเกิดความระแวงขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ
สำหรับลู่เฉิน จางซูฮุ่ยรู้สึกคุ้นเคย เพราะเธอเคยดูการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’
ความสามารถของลู่เฉินนั้นไร้ซึ่งข้อกังขา จางซูฮุ่ยชอบมากที่สุดก็คือเพลง ‘ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี’ ที่ร้องในรอบการแข่งขันชิงชนะเลิศ เพราะมันร้องเข้าไปถึงหัวใจของเธอ
ดังนั้นพอรู้ว่าเวินจื้อหย่วนยื่นเสนอขอเงินกับทางบริษัทเพื่อขอให้ลู่เฉินแต่งเพลงให้เธอ จางซูฮุ่ยจึงดีใจมาก
แต่จางฉงคัดค้านสุดขีด
เหตุผลที่จางฉงคัดค้านมีน้ำหนักเพียงพอ สไตล์ของลู่เฉินไม่เหมาะสมกับเธอ และราคาก็แพงเกินไป
ตามคำพูดของจางฉง ดาราดังแบบนี้มีเพียงเด็กใหม่ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเท่านั้น ถึงจะพูดส่งเดชได้ เวินจื้อหย่วนมั่วแบบนี้ อยากทำเรื่องตลกเหรอ? เธอจางซูฮุ่ยจะเอามาคุยเป็นเรื่องตลกไม่ได้
จางฉงแนะนำซีอวี่ให้จางซูฮุ่ย และเงินสองแสนห้าหมื่นก็มากพอที่จะซื้อผลงานที่ดีได้ถึงสามเพลง
จางฉงออกแรงในการยื่นเสนอขอเงินทุน เธอจะปล่อยให้เวินจื้อหย่วนควบคุมได้อย่างไร
จางซูฮุ่ยเชื่อฟังความคิดเห็นของจางฉง เพราะเธอรู้ว่าน้ารักตัวเองมากที่สุด และจะไม่ทำร้ายเธอ
แต่พอได้ยินข่าวนี้ เธอจึงว้าวุ่นใจอีกครั้ง
ถ้าหากเพลงที่ลู่เฉินเขียนให้ถังเฉียวเฉี่ยวดีมากๆ แล้วถังเฉียวเฉี่ยวมีชื่อเสียงขึ้นมาจะทำอย่างไร
เดิมทีโอกาสนี้เป็นของเธอด้วยซ้ำ!
จางซูฮุ่ยคิดอะไร จางฉงนั้นรู้ดี เธอจึงตัดบทเป็นคนแรกอย่างไม่คิดมาก แล้วเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “ถังเฉียวเฉี่ยวไม่มีโอกาสหรอก เธอมีคุณสมบัติขอเงินทุนก้อนนี้ได้ที่ไหน”
“เวินจื้อหย่วนจงใจทำให้พวกเราดู เพราะลู่เฉินคนนั้นก็มาแล้ว เขาจะให้อีกฝ่ายกลับไปโดยตรงได้ยังไง ดังนั้นต่อให้ต้องเสแสร้งแกล้งทำขึ้นมา ก็จะผิดใจกับคนอื่นไม่ได้”
“ไม่แน่หลี่จื้อเกากับถังเฉียวเฉี่ยวอาจจะมาจากการไหว้วานกะทันกันของเวินจื้อหย่วน!”
จางฉงยิ่งคิดก็มั่นใจว่าตัวเองเดาไม่ผิด จึงตบมือทันที “ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์!”
ราวกับว่าการตบนี้ถูกตบไปบนใบหน้าของเวินจื้อหย่วน
จางซูฮุ่ยได้ฟัง แล้วจึงคิดว่าคุณน้าของเธอพูดมีเหตุผลมาก เธอจึงเผยรอยยิ้มบนใบหน้าทันที
จางฉงลุกขึ้นดึงมือเล็กๆ ของเธอ พูดปลอบใจว่า “ซูฮุ่ย หนูไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวฉันจะติดต่อซีอวี่ตอนนี้ ให้เขาเขียนเพลงดีๆ สักสองสามเพลงให้หนู จากนั้นพวกเราก็ออกอัลบั้ม!”
“ดีจังเลยค่ะ!”
จางซูฮุ่ยตื่นเต้นมีความสุขมาก รีบกอดจางฉงห้อมแก้มเธอทันที “คุณน้า ดีกับหนูที่สุดเลยค่ะ!”
“เด็กคนนี้!”
จางฉงขึงตาใส่เธออย่างไม่สบอารมณ์
เธอแอบสะใจ…เวินจื้อหย่วน แกคิดจะสู้กับฉันเรอะ หลงกลฉันซะแล้ว!
เวินจื้อหย่วนไม่รู้ว่ามีคนกำลังคิดหลอกเขาอยู่ และกำลังจ้องมองลู่เฉินอย่างใจจดใจจ่อ
ภายในห้องทดสอบเสียง ในที่สุดลู่เฉินก็คิดออกแล้ว เขาจึงพูดกับเวินจื้อหย่วนว่า “หัวหน้าเวิน ผมคิดเพลงของคุณถังเฉียวเฉี่ยวได้แล้ว วันมะรืน ผมจะเอาเพลงมาแล้วเซ็นสัญญาโอนลิขสิทธิ์นะครับ”
“อะไรนะ”
เวินจื้อหย่วนสงสัยว่าหูของตัวเองจะมีปัญหาหรือเปล่า
“อาจารย์ลู่เฉิน ความหมายของคุณคือวันมะรืนก็เขียนเพลงให้ถังเฉียวเฉี่ยวเสร็จแล้วใช่ไหมครับ”
นี่มันเร็วเกินไปแล้ว!
ควรทราบว่าราคาสองแสนห้าหมื่นที่ลู่เฉินต้องการเป็นราคาของคนมีชื่อเสียงในวงการ ถึงแม้จะเทียบกับดาราใหญ่ระดับสูงไม่ได้ แต่เมื่ออยู่ในบริษัทแผ่นเสียงอีเอ็มไอแล้วถือว่าน่าตกใจเป็นอย่างมาก
ลู่เฉินบอกว่าสองวันก็ทำเสร็จแล้ว
หลี่จื้อเกากับถังเฉียวเฉี่ยวก็เผยสีหน้าแทบไม่อยากจะเชื่อออกมา
ลู่เฉินพูดอย่างราบเรียบ “เดิมทีเพลงนี้ผมเขียนเตรียมไว้ให้เฉินเฟยเอ๋อร์ครับ แต่รู้สึกว่าเหมาะสมกับถังเฉียวเฉี่ยวมากกว่า”
เฉินเฟยเอ๋อร์ราชินีเสียงหวาน!
ทุกคนต่างพูดไม่ออก พวกเขานึกได้ว่าเฉินเฟยเอ๋อร์ชื่นชอบลู่เฉินมาก
เธอกระทั่งเชิญลู่เฉินไปเป็นแขกรับเชิญในรายการคอนเสิร์ตของเธอ
ดังนั้นสิ่งที่ลู่เฉินกล่าวจึงเป็นความจริงแปดเก้าส่วน
…………………………………………………………………………