Perfect Superstar - ตอนที่ 150 นี่คือความรู้สึกที่ต้องการ!
ตอนที 150 นี่คือความรู้สึกที่ต้องการ!
อดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านไม่อยู่จริงๆ!
ตอนที่เฉินเจี้ยนหาวได้ยินลู่เฉินพูดว่ามีผลงานเพลงที่เหมาะสมกับความต้องการของจางเหวินเทียนนั้น เขาแอบรู้สึกแย่อยู่ในใจ
ลู่เฉินรีบร้อนแสดงศักยภาพของตัวเอง ต่อหน้าผู้กำกับคนนี้เร็วเกินไป
คนหนึ่งคือศาสตราจารย์ประพันธ์เพลงของสถาบันจิงอิน อีกคนหนึ่งคือศาสตราจารย์สอนภาษาจีนของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง บุคคลระดับอาจารย์ที่ปรึกษาทั้งสองคนร่วมมือกัน ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะทำผลงานที่พอใจกับความต้องการของจางเหวินเทียนได้ แต่ลู่เฉินกลับกล้าพูดโม้อยู่ตรงนี้
เฉินเจี้ยนหาวหน้าแดงเล็กน้อย
วันนี้เฉินเจี้ยนหาวเรียกลู่เฉินมาที่นี่ ประเด็นหลักก็คือเรื่องทำบัตรเข้าร่วมฟังบรรยาย เขากับเกาเยวี่ยเป็นญาติห่างๆ กัน เพราะฉะนั้นจึงเรียกอีกฝ่ายว่าลุง แต่ไม่ได้เป็นญาติที่สนิทกันมากนัก ทว่าการช่วยทำบัตรเข้าร่วมฟังบรรยายนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
จางเหวินเทียนอยู่ที่นี่ เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น
ลู่เฉินสามารถทำความคุ้นเคยกับผู้กำกับใหญ่คนนี้ได้ จะมีประโยชน์มากกับการตั้งหลักในวงการบันเทิง กระทั่งการเข้าสู่วงการภาพยนตร์โทรทัศน์ในอนาคต
แต่เฉินเจี้ยนหาวคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าลู่เฉินจะใจร้อนรีบทำผลงานขนาดนี้!
แน่นอนว่าเขาคิดว่าตัวเองเข้าใจความคิดของลู่เฉินดีพอ
ในวงการบันเทิง ตำแหน่งสูงต่ำและความเด่นดังมากน้อย มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นกับสายงานอาชีพนี้
โดยทั่วไปแล้ว ระดับความสามารถของนักแสดงภาพยนตร์ถือว่าสูงที่สุด ถ้าหากใครมีคุณค่าสามารถเป็นราชาภาพยนตร์หรือราชินีภาพยนตร์ได้ เช่นนั้นก็สมควรได้เป็นดาราใหญ่ในวงการ ได้รับการเคารพนับถือจากทุกคน
ถึงแม้การเป็นนักร้องอาจจะได้รับความนิยมมากกว่านักแสดงมาก แต่ถ้าพูดถึงระดับความสามารถถือว่ายังห่างกันนิดหน่อย
ดังนั้นนักร้องหลายคนหลังจากที่มีชื่อเสียงแล้ว ก็พยายามผลักดันตัวเองเข้าไปอยู่ในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์ กลายเป็นดาราระดับสาม!
ก็เหมือนกับไอดอลรุ่นใหม่พวกนั้น หลังจากเดบิวต์แล้วก็จะชอบถ่ายละครโทรทัศน์มากที่สุด ต่อให้น้ำเน่าแค่ไหนก็จะแสดงออกมาได้อย่างมีอรรถรส เพื่อจะได้มีโอกาสพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือจากบทตัวประกอบที่แสดงสองสามตอน และไม่รู้ว่าต้องสร้างข่าวซุบซิบมากเท่าไร
ดังนั้นไม่มีเด็กใหม่คนไหนที่สามารถรักษาอารมณ์เป็นปกติได้ยามที่อยู่ต่อหน้าจางเหวินเทียน
ถ้าหากได้รับความโปรดปรานจากผู้กำกับใหญ่คนนี้ ขอแค่ได้โผล่หน้าในภาพยนตร์ของเขา ก็ควรค่าพอที่จะสร้างเป็นกระแสได้อย่างเต็มที่!
แต่ความเข้าใจก็ส่วนของความเข้าใจ เฉินเจี้ยนหาวรู้สึกผิดหวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และเกาเยวี่ยที่รู้สึกดีต่อลู่เฉิน จากสามส่วนก็ลดลงไปเหลือหนึ่งส่วนภายในพริบตา
ที่พูดว่าลู่เฉินเป็นลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือนั้นเป็นคำพูดน่าฟังแบบเกรงใจ และต้องพูดว่าเขาไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำถึงจะถูกต้องมากกว่า
ถึงอย่างไรจางเหวินเทียนก็เป็นมือเก๋ามีประสบการณ์ หลังจากความตกใจผ่านไปเขาก็ทำสีหน้าเรียบเฉยในไม่ช้า พยักหน้ายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม
ความจริงเขาไม่เห็นด้วย
เขาไม่ได้ถามถึงผลงานของลู่เฉิน ก็เป็นการแสดงทัศนคติของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว
เฉินผู่เผยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม แล้วพูดว่า “จริงเหรอ งั้นนายลองร้องให้คนแก่สองสามคนอย่างพวกเราฟังหน่อยสิ”
เขากลับเป็นคนที่ยอมให้โอกาสลู่เฉินเพียงคนเดียว ถึงแม้จะเต็มไปด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยก็ตาม
ลู่เฉินเข้าใจทันที รู้ว่าคำพูดของตัวเองทำให้ผู้อาวุโสสองสามคนไม่พอใจ
แต่ในเมื่อเขากล้าพูด อย่างนั้นเขาก็มีความมั่นใจอยู่แล้ว!
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลู่เฉินจึงหยิบตะเกียบที่ปลอดเชื้อซึ่งวางอยู่บนโต๊ะน้ำชาขึ้นมา หยิบตะเกียบไม้ไผ่อันหนึ่งออกมาจากซองกระดาษ
เขาใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ขวาบีบปลายตะเกียบ ก่อนพูดอย่างถ่อมตัวว่า “หากผู้น้อยทำตัวตลกก็ขออภัยด้วยนะครับ…”
พอสิ้นเสียง หัวตะเกียบก็ตกลงบนโต๊ะในขณะเดียวกัน
เขาใช้ตะเกียบเป็นไม้และโต๊ะเป็นกลอง เสียงดนตรีบรรเลงดังกังวาน พร้อมกับเสียงร้องเพลงตามจังหวะดนตรี
“เผชิญหน้าอย่างหยิ่งผยอง
เลือดร้อนแรงดั่งแสงอาทิตย์!
กระดูกและเส้นเอ็น
แกร่งดั่งเหล็กกล้า
ความคิดกว้างไกลนับหมื่นลี้
ปฏิญาณไว้
ให้เป็นหนึ่งวีรบุรุษ!
…”
ลู่เฉินเพิ่งร้องสองสามประโยค สีหน้าของศาสตราจารย์สองคนกับจางเหวินเทียนล้วนเปลี่ยนไป
เฉินผู่ตะลึง
เกาเยวี่ยตกใจ!
และจางเหวินเทียนพลันเบิกตาโต เขาจ้องเขม็งไปที่ลู่เฉิน ราวกับค้นพบของล้ำค่าอะไรบางอย่าง!
จางเหวินเทียนเป็นคนที่ดื้อรั้นมาก ดื้อรั้นถึงขั้นเป็นคนยึดติดหรือคลั่งไคล้บางสิ่งบางอย่าง
เขามีความต้องการที่เข้มงวดมากต่ออาชีพของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทำละครโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ เขาไม่เคยทำแบบขอไปทีมาก่อน ถ้าหากสามารถทำงานได้เต็มสิบ เขาจะไม่ใช้พลังแค่เก้าส่วนในการทำงานให้สำเร็จเด็ดขาด
ในปี 1991 จางเหวินเทียนเริ่มถ่ายทำละคร ‘สามก๊ก’ และถ่ายทำเสร็จในปี 1994
กองถ่ายทำนับร้อยคนวิ่งวุ่นเกือบครึ่งประเทศจีน เลือกโลเคชั่นมากมายสร้างฉากนับไม่ถ้วน เสื้อผ้าของตัวละคร อุปกรณ์ประกอบฉาก ตึกอาคารที่เกี่ยวข้องในละครทุกอย่างล้วนอิงตามประวัติศาสตร์จริงอย่างเคร่งครัด เป็นผลทำให้งบประมาณสุดท้ายเกินจากที่ตั้งไว้สูงมาก จนฝ่ายลงทุนรู้สึกกดดันมาก และเกือบจะประกาศยกเลิกโครงการไปแล้ว
แต่สุดท้ายก็ถ่ายทำเสร็จ และออกอากาศในช่วงเวลาทองในรายการที่เป็นโปรแกรมแรกของสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน สร้างสถิติเรตติ้งผู้ชม 89.35% ถึงแม้ในตอนนั้นจะยังไม่มีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม แต่ก็เป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง
ถ่ายทำละครโทรทัศน์ยังเป็นแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการถ่ายทำภาพยนตร์ ระดับความตั้งใจและความดื้อรั้นของจางเหวินเทียน มักจะทำให้ฝ่ายลงทุนอยากจะร้องไห้ตลอดเวลา หลังจากปี 2000 การถ่ายทำภาพยนตร์สองสามเรื่องของเขาต้องขาดทุนด้วยเหตุนี้ เขาจึงค่อยๆ เงียบไป
แต่อูฐตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า จางเหวินเทียนยังคงยิ่งใหญ่อยู่ในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์เหมือนเดิม หลังจากเก็บตัวมาสิบปีครั้งนี้เขาจะออกจากภูเขาอีกครั้ง เขาเต็มไปด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่ อยากจะเป็นตำนานเล่าขานและทำรายได้สูงจากบ็อกซ์ออฟฟิศ
ผู้กำกับใหญ่คนนี้เผยความดื้อรั้นออกมาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่บทก็เขียนเสร็จแล้ว ทีมงานกองถ่ายทำและทีมนักแสดงก็พร้อมแล้ว แต่เป็นเพราะยังกำหนดเพลงประกอบภาพยนตร์หลักไม่ได้ถึงยังไม่ยอมเปิดกล้อง ทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ
แต่จางเหวินเทียนไม่คิดแบบนั้น ที่เขาต้องการก็คือความรู้สึกแบบนี้
ความรู้สึกมาแล้ว เช่นนั้นการถ่ายทำก็ราบรื่นเหมือนสายน้ำ มิฉะนั้นก็เหมือนกับขาดจิตวิญญาณ ไม่สามารถถ่ายทำสิ่งที่เขาต้องการออกมาได้อย่างแท้จริง
เพลงประกอบภาพยนตร์หลักก็คือจิตวิญญาณของภาพยนตร์เรื่องนี้!
เหตุผลที่จางเหวินเทียนมาหานักแต่งเพลงสี่ห้าคนด้วยตัวเอง ก็เพื่อเพลงประกอบภาพยนตร์หลัก
หากพูดอย่างเป็นธรรม คุณภาพผลงานเพลงพวกนี้ก็ไม่เลว แต่ไม่มีเพลงไหนที่ทำให้จางเหวินเทียนรู้สึกพอใจ
เขาจึงมาหาเพื่อนรักสองคนนี้ด้วยความจนใจ และหวังว่าจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง
และผลลัพธ์ที่ได้ทำให้จางเหวินเทียนคาดไม่ถึง ว่าเด็กใหม่ในวงการคนหนึ่งที่มาได้จังหวะพอดีบอกว่าผลงานของตัวเองมีความเหมาะสม กระทั่งกล้าร้องออกมาในตอนนี้
ตอนแรกผู้กำกับจางมีความคิดอยากดูเรื่องตลกจริงๆ ถือเสียว่าลู่เฉินมาเล่นตลกคลายความเครียด
ทว่าเขากลับตกใจและและงงมาก!
ลู่เฉินใช้ตะเกียบเคาะจังหวะเหมือนแสดงละคร เขากดเสียงต่ำและไม่ได้ร้องเสียงดังก้อง แต่การโชว์เสียงลำคอของเขาเมื่อครู่ เนื้อเพลงและท่วงทำนองที่แฝงไปด้วยพลังอานุภาพบางอย่าง กลิ่นอายความเลือดร้อนที่พลุ่งพล่านปะทะหน้าเข้ามานั้น สั่นสะเทือนจิตวิญญาณภายในพริบตาเดียว
ซึ่งไม่เหมือนกับเฉินผู่และเกาเยวี่ย ศาสตราจารย์ทั้งสองคนแค่รู้สึกตกใจท่านั้นเอง ไม่ได้พูดว่าซาบซึ้งหรืออะไรอย่างอื่น แต่จางเหวินเทียนกลับตกตะลึงนิ่งอึ้งจริงๆ
เขาค้นหาด้วยความยากลำบากมาตลอด ก็คือความรู้สึกแบบนี้ เสน่ห์อันน่าดื่มด่ำที่แฝงอยู่ในเพลงนี้!
ปัง!
วินาทีต่อมา จางเหวินเทียนตบโต๊ะอย่างกะทันหัน เบิกดวงตากลมโตทั้งสองข้าง
“หยุด!”
เขาตบโต๊ะแรงมาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะโต๊ะน้ำชาในห้องส่วนตัวที่หรูหรานี้ ได้ออกแบบถึงการใช้งานในระดับสูงมาก ไม่เช่นนั้นถ้วยน้ำชาบนโต๊ะคงสั่นและพลิกคว่ำไปแล้ว
ลู่เฉินตกใจ รีบหยุดร้องตะโกนทันที
ถูกแล้ว เพลงนี้ต้องใช้ลมหายใจในการ ‘ตะโกน’ ออกมา ไม่อย่างนั้นจะร้องไม่ได้อรรถรส
“ไม่ใช่ๆ…”
จางเหวินเทียนก้มหน้าครุ่นคิด เดินไปเดินมาสองสามก้าว เหมือนพยายามค้นหาอะไร
เฉินผู่กับเกาเยวี่ยมองหน้ากันทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าผู้กำกับใหญ่คนนี้เกิดบ้าอะไร
ผลงานเพลงนี้ของลู่เฉินท่อนแรกฟังแล้วสนุกมาก แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เขาต้องเสียอาการขนาดนี้มั้ง
เกาเยวี่ยยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “พ่อหนุ่ม เพลงนี้นายใช้ท่วงทำนองของคำสั่งนายพลใช่ไหม”
ศาสตราจารย์ประพันธ์เพลงของสถาบันจิงอินคนนี้รู้สึกละอายใจเล็กน้อย เมื่อครู่เขาคิดว่าลู่เฉินอยากออกหน้าอยากได้รับคำยกยอปอปั้น ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าคนหลังมีความสามารถจริงๆ
ลู่เฉินรีบตอบทันที “ใช่ครับศาสตราจารย์เกา”
เกาเยวี่ยถามอีก “แล้วชื่อเพลงอะไรล่ะ”
“ชายชาตรีต้องแข็งแกร่งครับ!”
เพลงนี้ในโลกแห่งความฝันของลู่เฉิน เป็นผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์หลักระดับคลาสสิกเพลงหนึ่ง อิทธิพลของมันใหญ่มากกดทับผลงานเพลงประเภทที่คล้ายกันทั้งหมด เป็นผลงานสร้างสรรค์จากบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง
ในความทรงจำของเขา คนที่ชอบเพลงนี้มากที่สุดไม่ใช่สวีป๋อ และก็ไม่ใช่โม่หราน แต่เป็นฟางหมิงอี้!
“ชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง!”
เกาเยวี่ยพูดซ้ำอีกรอบ แล้วเอ่ยชมว่า “ชื่อดี ทำนองก็เพราะ!”
เฉินผู่ก็พยักหน้า “เนื้อเพลงดียิ่งกว่า”
เนื้อเพลงของเพลงนี้ฟังแล้วอาจจะดูหยาบมาก แฝงไปด้วยกลิ่นอายของผู้กล้าวีรบุรุษที่มีความหนักแน่น แต่กลับขับดันท่วงทำนองดนตรีให้เด่นขึ้นมา ใครที่ฟังแล้วจะรู้สึกถึงอารมณ์ที่เดือดพล่านและความเป็นวีรบุรุษอย่างเต็มที่
“ดีทุกอย่าง!”
ในตอนนี้จางเหวินเทียนก็ได้สติกลับมาในที่สุด พูดเสียงดังว่า “ไม่ดีแค่อย่างเดียวก็คือดนตรีประกอบ เพลงนี้น่าจะใช้กลองใหญ่ตีถึงจะถูก และได้ความรู้สึกที่แท้จริง!”
ผู้กำกับใหญ่คนนี้มองลู่เฉินด้วยสายตาที่ร้อนแรง
“นายร้องอีกรอบสิ ร้องให้จบเพลง ใช้กลองเป็นดนตรีประกอบนะ!”
ใช้ตะเกียบเคาะ เหมือนเป็นการดูถูกผลงานชิ้นนี้อย่างแรง!
“เอ่อ…”
ลู่เฉินหมดแรงบ่น เพราะที่นี่คือโรงน้ำชาที่เงียบสงบและงดงาม จะไปหากลองใหญ่เป็นดนตรีประกอบได้จากที่ไหน
แต่เขาประเมินโรงน้ำชาที่ชื่อว่า ‘อวี่หมิงฉาย่วน’ แห่งนี้ต่ำเกินไปแล้ว เฉินเจี้ยนหาวเรียกพนักงานบริการเข้ามาบอกว่าต้องการยืมกลอง และคนหลังก็ไม่มีทีท่าแปลกใจหรือเผยสีหน้าลำบากใจแม้แต่นิดเดียว ไม่ช้าก็ไปหยิบมาตามคำสั่ง
หลังจากสั่งพนักงานบริการเสร็จแล้ว เฉินเจี้ยนหาวก็มองไปที่ลู่เฉินด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปมาก…ไอ้หนุ่มคนนี้ซ่อนตัวลึกนักนะ!
ดังคำกล่าวที่ว่าปกติไม่เคยทำผลงานโดดเด่น แต่จู่ๆ ก็ทำผลงานที่น่าตกใจ ซึ่งก็คงเป็นเหมือนแบบนี้!
ลู่เฉินสังเกตเห็นสายตาของเฉินเจี้ยนหาว เขาจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
ตัวเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเล่นใหญ่ขนาดนี้ เมื่อครู่ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฟังการเล่าบทภาพยนตร์ของจางเหวินเทียน แล้วความทรงจำที่อยู่ในหัวก็มีเพลง ‘ชายชาตรีต้องแข็งแกรง’ โผล่เข้ามา เขาจึงพูดออกไปแบบไม่ได้คิดอะไรมากมาย
เพลงนี้เหมาะสมกับโครงเรื่องเป็นอย่างมาก และเรื่องอันยิ่งใหญ่ของผู้กำกับจางเหวินเทียนก็ไม่ได้ทำให้ผลงานคลาสสิกต้องเสียเกียรติ
แต่คิดไม่ถึงว่า การตอบสนองของจางเหวินเทียนจะรุนแรงถึงเพียงนี้
แน่นอนว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้ลู่เฉินก็ต้องใจเย็น เขาไม่ได้คาดหวังว่าเพลงนี้จะเข้าไปมีบทบาทในภาพยนตร์ของ จางเหวินเทียน ขอเพียงแค่ได้สร้างมิตรภาพกับผู้กำกับใหญ่คนนี้ ก็ถือว่าเป็นประโยชน์มากแล้ว
และการสร้างสรรค์เพลงประกอบภาพยนตร์หลัก ก็ยังสามารถเพิ่มระดับความสามารถได้สูงมาก!
ระดับความสามารถในวงการคือตัวแทนของตำแหน่งและมูลค่า ระดับความสามารถของลู่เฉินยิ่งสูง ผลงานของเขาก็ยิ่งคุ้มค่าคุ้มราคา
และโอกาสที่ยากจะได้เจอเช่นนี้ ลู่เฉินไม่ปล่อยให้พลาดเด็ดขาด
ผ่านไปประมาณสิบนาที พนักงานบริการสองคนก็ยกกลองตัวหนึ่งเข้ามาในห้อง
และมีสาวสวยสวมชุดจีนโบราณอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วย
…………………………………………………………………………