Perfect Superstar - ตอนที่ 151 ชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง
ตอนที่ 151 ชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง
หญิงสาวในชุดจีนโบราณคนนี้มีอายุประมาณยี่สิบปี แต่เมื่อเห็นเธอสวมชุดตุ้ยจินซึ่งเป็นแบบชายหน้าเสื้อผ่ากลางปักลายดอกไม้เป็นชั้นๆ สีขาวครีมกับเสื้อกั๊กยาวของสตรีจีนในยุคโบราณ กระโปรงยาวลากพื้นปักลายดอกลิลลี่สีขาวครีมตรงเนื้อผ้าด้านหน้า ผมสีดำขลับสองข้างยาวลงมาถึงขอบเอว ม้วนทรงผมแกละง่ามคู่งดงามเฉพาะตัวอยู่บนศีรษะ
นี่คือการแต่งตัวสมัยโบราณที่ได้รับความนิยมในยุคนี้ การตัดเย็บชุดจีนโบราณหรือชุดชาวฮั่นที่สวยงามของผู้หญิงมีราคาไม่ธรรมดา นอกจากนี้ถ้าอยากจะใส่ให้สวยเหมือนสตรีสมัยโบราณก็ไม่ง่าย เพราะรูปร่างและหน้าตาก็เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้
แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
เธอเหมือนกับสตรีที่เดินออกมาจากภาพวาดโบราณ ผิวขาวราวหิมะเปล่งปลั่งเหมือนหยก ใบหน้างดงามนัยน์ตาเป็นประกายดุจดวงดาว บุคลิกงามสง่าและเย็นชา ซึ่งไม่มีใครกล้ามีความคิดสัปดน
ตอนที่เธอเดินเข้ามาในห้องส่วนตัวที่หรูหรานี้ เหมือนเป็นการเพิ่มแสงสว่างภายในห้อง
“เอ๊ะ!”
เมื่อเห็นหญิงสาวในชุดชาวฮั่นคนนี้ เกาเยวี่ยจึงถามอย่างประหลาดใจ “ฉินชิง เธอมาได้ยังไง”
หญิงสาวในชุดชาวฮั่นโน้มตัวและกล่าวอย่างมีมารยาท “สวัสดีศาสตราจารย์เกา สวัสดีศาสตราจารย์เฉิน สวัสดีผู้กำกับจาง และสวัสดีลุงเฉินค่ะ”
เธอกล่าวทักทายแขกทั้งสี่คนที่นั่งอยู่รวดเดียวจบ สุดท้ายดวงตาที่สวยงามเป็นประกายก็มองไปที่ตัวของลู่เฉิน
มีความสงสัยและสำรวจเล็กน้อย
เฉินผู่กับจางเหวินเทียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เฉินเจี้ยนหาวเอ่ยชมว่า “ฉินชิงนับวันยิ่งสวยขึ้น ถ้าหากเธอสวยมากกว่านี้ ฉันเกรงว่าต่อไปจะไม่มีใครเหมาะสมกับเธอแล้ว!”
ฉินชิงเม้มปากยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยว่า “ลุงเฉินชอบพูดตลก ไม่เวอร์ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
เสียงของเธอไพเราะน่าฟัง ราวกับหยกกลิ้งในถาดทองคำ หูได้ยินเสียงแต่ซาบซึ้งไปถึงหัวใจ ให้ความรู้สึกที่สบายมากๆ
ทว่ารอยยิ้มของเธอกลับปรากฏขึ้นมาแวบเดียวก็หายไป กลับสู่ใบหน้าที่นิ่งและงามสง่าเหมือนเดิม
เฉินเจี้ยนหาวพูดกับลู่เฉินว่า “เสี่ยวลู่ คนนี้ชื่อฉินชิง เรียนดนตรีโฟล์กอยู่ที่สถาบันจิงอิน วันหลังถ้านายไปนั่งฟังวิชาที่จิงอิน หากมีเรื่องอะไรก็ไปขอความช่วยเหลือจากเธอได้”
ลู่เฉินลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “สวัสดีครับ ผมชื่อลู่เฉิน ลู่ที่แปลว่าแผ่นดิน เฉินที่แปลว่าตอนเช้าครับ”
ฉินชิงพยักหน้า “สวัสดีค่ะ”
สีหน้าของเธอเรียบเฉย มีมาดบางอย่างที่ยากจะบรรยายด้วยคำพูด
หลังจากทักทายกันแล้ว ฉินชิงจึงพูดกับเกาเยวี่ยว่า “ศาสตราจารย์เกาคะ ได้ยินว่าพวกคุณอยากได้กลองใหญ่ แต่ในโรงน้ำชาของพวกเรามีแค่กลองชิเมะไดโกะ ไม่ทราบว่าพอจะเหมาะสมกับความต้องการไหมคะ”
เกาเยวี่ยยิ้มตอบอย่างใจดี “ได้สิ มีเพลงหนึ่งต้องการดนตรีประกอบ กลองชิเมะไดโกะก็ใช้ได้”
กลองชิเมะไดโกะเป็นไทโกะประเภทหนึ่ง ไทโกะมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน หลังจากที่ถูกนำเข้ามาในญี่ปุ่นแล้วก็ถูกส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรือง และกลับคืนสู่ประเทศในสมัยปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็นกลองโอไดโกะ กลองชิเมะไดโกะ และกลองสแนร์ ปกติจะเรียกว่ากลองใหญ่ กลองกลาง และกลองสแนร์
พนักงานบริการสองคนเอากลองชิเมะไดโกะตัวหนึ่งเข้ามาส่ง ลักษณะกลองมีสี่รู ร้อยเชือกสีแดงพันข้างบน กับไม้กลองที่เอาไว้ตีหนังกลอง เหมาะสมที่สุดให้ผู้ชายตีกลองเล่นโชว์
ฉินชิงตาเป็นประกาย ถามว่า “อย่างนั้นหนูขอฟังที่นี่ด้วยได้ไหมคะ”
จางเหวินเทียนยิ้มพูดว่า “เธอเข้ามา พวกเราต้อนรับแทบไม่ทัน ฟังเสร็จแล้วเสี่ยวฉินก็ช่วยเสนอความคิดเห็นหน่อยนะ”
ฉินชิงตอบกลับอย่างจริงจังมาก “ได้ค่ะ”
เธอนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้องส่วนตัว มีกู่ฉินวางอยู่ตรงนั้น
จางเหวินเทียนพูดกับลู่เฉินอย่างอดใจไม่ไหว “เสี่ยวลู่ ร้องอีกรอบนะ!”
ลู่เฉินพยักหน้า หยิบไม้กลองขึ้นมา
กลองชิเมะไดโกะแบบนี้เขาไม่เคยเล่นมาก่อน แต่เคยเห็นคนเล่น จึงรู้ว่ามีวิธีการใช้ที่พิถีพิถันมาก
ยังดีที่เขาใช้บรรเลงดนตรีประกอบเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคขั้นสูงมากมาย เขาจึงใช้สองมือจับไม้ตีบรรเลงดนตรีโหมโรง
ถึงแม้จะไม่ได้ใช้กลองจีน แต่เสียงของกลองหนังแท้ใช่ว่าตะเกียบเมื่อครู่จะเทียบได้ แค่เพียงดนตรีบรรเลงสั้นๆ ท่อนแรก ก็ทำให้คนฟังรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน
เมื่อเป็นการแสดงอีกครั้ง ลู่เฉินจงใจไม่ลดเสียงให้ต่ำลงอีก
“เผชิญคลื่นลมอย่างหยิ่งผยอง
เลือดร้อนแรงดั่งแสงอาทิตย์
กระดูกและเส้นเอ็นแกร่งดั่งเหล็กกล้า
ความคิดกว้างไกลนับหมื่นลี้
ปฏิญาณไว้ให้เป็นหนึ่งวีรบุรุษ
เพียรประพฤติเป็นผู้หาญกล้า
เลือดวีระบุรุษร้อนแรงดั่งแสงตะวัน!
…”
ในโลกความฝันของลู่เฉิน เพลงประกอบหลักคลาสสิกนี้หนีไม่พ้นภาพยนตร์กำลังภายใน เรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นสุดยอด เนื้อเพลงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่หาญกล้าของลูกผู้ชาย
มันดัดแปลงมาจากเพลงโบราณ ‘คำสั่งแม่ทัพ’ ที่ใช้ฝึกทหารในกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองและเนื้อร้องยังคงมีความสง่างาม แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของ ‘กษัตริย์ในใต้หล้า’ และอารมณ์ที่พลุ่งพล่านสามารถทำให้ผู้ฟังทุกคนตกใจได้ในคราวเดียว!
ท่วงทำนองเพลงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง หากพูดถึง ‘พลัง’ ไม่ใช่เพียงพลังที่ทรงอานุภาพ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือได้แสดงถึงความกล้าหาญของลูกหลานชาวจีน ความชอบธรรมอันน่าเกรงขามแห่งฟ้าดิน การผสมผสาน ‘พลัง’ เหล่านี้รวมกัน จึงกำเนิดเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์จีนที่น่าตื่นตาตื่นใจและน่าตื่นเต้นที่สุดในสมัยนั้น
ย้อนนึกถึงเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ที่อยู่ในความฝัน พลังของลู่เฉินพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน หลอมรวมความรู้สึกเข้าไปทั้งหมด
เขาร้องเพลงทรงพลังมากยิ่งขึ้น!
“…
ท้องฟ้ามหาสมุทรหลอมรวมมาสู่ข้า
พื้นดินเป็นพยานสะท้อนปณิธานของข้า
คลื่นสะท้าน
นภากว้างที่งดงามและกว้างใหญ่
บันทึกข้าไว้ในฐานะวีระบุรุษผู้กล้า
อุปสรรคใดไม่หวาดหวั่น ยืดอกดั่งปลายทวนไม่หวั่นไหว
เลือดร้อนแรงในกายลุกเป็นประกายเจิดจ้า
เป็นยอดผู้กล้าที่เจิดจ้า
ดุจตะวัน!
…”
บรรยากาศที่หรูหราในห้องน้ำชาถูกทำลายด้วยเสียงกลองและการร้องเพลงของลู่เฉินในทันที แต่ทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้ไม่รู้สึกว่าเขาทำลายบรรยากาศแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับฟังอย่างตั้งใจ
โดยเฉพาะจางเหวินเทียน เขายิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง อยากจะตบโต๊ะเอ่ยชมหลายครั้งแล้ว แต่ก็ต้องฝืนทนไว้
ฉินชิงวางมือกดลงไปบนสายกู่ฉินอย่างเบาๆ นัยน์ตาเป็นประกายอย่างแปลกประหลาด
เพราะเธอมาด้วยความสงสัย ตอนที่เห็นลู่เฉินครั้งแรก ความประทับใจแรกพบที่คนหลังมีให้เธอคือหน้าตาที่หล่อเหลาและมีมารยาท
ทว่าผู้ชายที่โดดเด่นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอมากมายจริงๆ ลู่เฉินที่ไม่มีความพิเศษเฉพาะใดๆ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกถึงความพิเศษอะไรที่ต้องกล่าวถึง และมองเป็นคนรู้จักธรรมดาทั่วไป
จนกระทั่งลู่เฉินเริ่มตีกลองและร้องเพลง!
ตอนเริ่มต้นเธอมองปราดเดียวก็รู้ว่าลู่เฉินไม่รู้วิธีและเทคนิคในการแสดงของกลองชิเมะไดโกะ จึงเคาะตีหนังกลองเหมือนกลองธรรมดาทั่วไป การเคลื่อนไหวจึงดุงุ่มง่ามเล็กน้อย
เพลง ‘ชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง’ ทำให้ความประทับใจแรกพบของเธอเปลี่ยนไปภายในพริบตา!
จังหวะการตีกลองของลู่เฉินมีพลังเป็นอย่างมาก เสียงร้องเพลงของเขาเต็มไปด้วยความกล้าหาญชาญชัยที่ไม่สอดคล้องกับอายุและบุคลิกหน้าตาของเขาแม้แต่น้อย เสียงดังสะท้อนก้องในหู แม้แต่ผู้หญิงอย่างเธอก็ยังรู้สึกถึงเลือดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาเล็กน้อย
เขาใช้สมาธิเป็นอย่างมาก ราวกับไม่มีสิ่งใดๆ อยู่รอบตัว พุ่งสมาธิและจิตใจทั้งหมดไปกับเพลงนี้
และด้วยท่าทางที่ตั้งใจสุดยอดเช่นนี้ จึงสะกิดหัวใจของฉินชิงโดยไม่ตั้งใจ
เกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นมาเล็กน้อย
“ที่เจิดจ้า ดุจตะวัน!”
เสียงกลองหยุดลง เสียงร้องเพลงหยุดลงกะทันหัน แต่เสียงดนตรีที่ยังอยู่นี้ดังอ้อยอิ่งอยู่
“ดี!”
จางเหวินเทียนปรบมือกล่าวชมว่าดีเป็นคนแรก ด้วยสีหน้าที่ปลื้มใจเป็นที่สุด “เพลงนี้แหละ!”
ทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้ เขาเป็นคนที่มีจิตใจรักในความชอบธรรมมากที่สุด มิฉะนั้นคงไม่เลือกบทภาพยนตร์แบบนี้ให้เป็นภาพยนตร์ระดับตำนานในการกลับมาอีกครั้ง เพราะฉะนั้นจึงประทับใจในเพลง ‘ชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง’ได้อย่างง่ายดาย
ความจริงตอนที่ลู่เฉินเริ่มร้องเพลง ผู้กำกับใหญ่คนนี้ก็ตัดสินใจแล้ว ว่าจะใช้เพลงนี้เป็นเพลงประกอบหลัก
เมื่อใช้เพลงนี้เป็นพื้นฐาน การปรับโทนเสียงพื้นฐานของเพลงประกอบภาพยนตร์ทั้งเรื่องนี้ก็สามารถกำหนดได้แล้ว
เมื่อเขาไม่ติดค้างคาใจอะไรอีก ก็สามารถทำงานได้อย่างสบายใจ
เพราะฉะนั้นจางเหวินเทียนจึงขอบคุณลู่เฉินมากๆ ขอบคุณที่เขานำผลงานดีเยี่ยมไร้ที่ตินี้มาให้ตัวเอง
เกาเยวี่ยกับเฉินผู่ก็ปรบมือตาม และคนหลังก็ยิ้มพูดว่า “เหล่าจาง ในที่สุดนายก็สมปรารถนาแล้ว”
“เพลงดีเนื้อเพลงก็ดี…”
เกาเยวี่ยกล่าวอย่างทอดถอนใจ “พวกเราแก่แล้วจริงๆ”
เพลง ‘ชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง’ ไม่ว่าจะเป็นทำนองเพลงหรือเนื้อร้อง สำหรับจางเหวินเทียนแล้วคือความสมบูรณ์แบบในการเริ่มถ่ายทำภายนตร์เรื่องนี้ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีข้อบกพร่องอะไร อย่างมากที่สุดก็แค่ทุ่มเวลาในการเรียบเรียบเพลงใหม่กับดนตรีประกอบ
หรือไม่ก็หาคนมาร้องใหม่
ลู่เฉินยังเด็กไปหน่อย แม้ว่าจะเป็นผลงานของเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะร้องได้ดีที่สุด
แน่นอนว่านี่ไม่มีผลกระทบต่อการชื่นชมลู่เฉินของเกาเยวี่ย เขาพิจารณาปัญหาจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
เฉินเจี้ยนหาวชูนิ้วโป้งให้ลู่เฉินโดยตรง
เขาคิดว่าตัวเองรู้จักลู่เฉินมากพอแล้ว ตอนนี้ถึงได้พบว่าที่เขารู้จักก่อนหน้านั้นตื้นเขินเกินไป
ลู่เฉินเป็นเหมือนทรัพย์สมบัติที่ขุดอย่างไรก็ไม่หมด และมักจะมอบความตื่นเต้นดีใจให้คนอื่นอย่างต่อเนื่อง
สไตล์ของเพลง ‘ชายชาตรีต้องแข็งแกร่ง’ ไม่เหมือนกับผลงานก่อนหน้านี้ของเขาอย่างสิ้นเชิง มีมาดของปรมาจารย์ที่ทรงพลัง สามารถใช้คำว่าไม่อาจหยั่งลึกได้ มาใช้บรรยายกำลังความสามารถของเขา
ฉินชิงประหลาดใจ ฟังพวกเขาพูดเหมือนมีความหมายแฝงอยู่ในนั้น ดูเหมือนว่าเพลงนี้จะเป็นผลงานต้นฉบับของลู่เฉิน
แบบนี้ก็น่าตกใจจริงๆ!
ลู่เฉินถือไม้กลองอยู่ในมือ ยิ้มเล็กน้อยโน้มตัวและเอ่ยว่า “ขอบคุณครับ”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำชมเชยและเกียรติยศชื่อเสียง ลู่เฉินไม่เคยหยิ่งจองหองและมั่นใจในตัวเองสูงมาก่อน เพราะเขารู้ดีถึงต้นกำเนิดของเกียรติยศเหล่านี้ของตัวเอง
และด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตัวนี้ จึงทำให้ศาสตราจารย์ทั้งสองกับจางเหวินเทียนมีความรู้สึกที่ดีด้วยเป็นพิเศษ
จางเหวินเทียนเอ่ยว่า “ลู่เฉิน ฉันต้องการเพลงนี้ นายเซ็นสัญญากับบริษัทไหนล่ะ”
แต่ละอาชีพก็มีกฎเกณฑ์ของมัน เขาขอซื้อเพลงจากลู่เฉิน ก็ต้องเจรจากับบริษัทที่ลู่เฉินเซ็นสัญญาด้วยก่อน
เพราะว่าตามสัญญาของศิลปินแล้ว ผลงานต้นฉบับของลู่เฉิน บริษัทที่เซ็นสัญญาจะมีสิทธิ์ในการครอบครองทั้งหมดหรือไม่ก็ได้สิทธิ์ของลิขสิทธิ์เป็นคนแรก
เว้นเสียแต่ว่าเขาเป็นตัวท็อปคนดัง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีกรณียกเว้นเป็นพิเศษโดยเฉพาะ
คำตอบของลู่เฉินกลับเกินความคาดหมายของจางเหวินเทียน “ผู้กำกับจางครับ ผมเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง ถ้าคุณชอบเพลงนี้ ผมสามารถมอบสิทธิ์ให้กับฝ่ายลงทุนภาพยนตร์นำไปใช้ฟรีได้ครับ”
เพลงประกอบหลักของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่มีการลงทุนหลายร้อยล้าน มีอิทธิพลเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่การมอบลิขสิทธิ์ฟรีเลย ต่อให้ต้องจ่ายเงินเองลู่เฉินก็ยอมทำด้วยความยินดี สามารถทำให้จางเหวินเทียนติดหนี้บุญคุณได้คือสิ่งที่ดีที่สุด
ถ้าอยากจะได้กำไรที่มากกว่านี้ ก็ต้องมีสายตาที่มองการณ์ไกล ความโลภในผลประโยชน์ที่เล็กเท่าหัวแมลงวันไม่ใช่การกระทำของคนฉลาด
จางเหวินเทียนตกตะลึงก่อนเป็นอย่างแรก เขาคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเอง ไม่อาศัยบริษัทอื่นๆ
แต่การตอบสนองของเขาก็เร็วมาก แล้วจึงหัวเราะฮ่าๆๆ “ให้ฟรีไม่ได้หรอก อะไรควรให้ก็ต้องให้…”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถามว่า “นักแสดงหลักในภาพยนตร์เรื่องนี้ของฉันก็ครบหมดแล้ว แต่ยังมีตัวประกอบเล็กๆ สองสามซีน ไม่รู้ว่านายสนใจอยากจะลองบ้างไหม”
ลู่เฉินตื่นเต้นดีใจทันที “ขอบคุณผู้กำกับจาง ผมสนใจมากๆ ครับ!”
ถ้าหากพลาดโอกาสแบบนี้ คงถูกฟ้าผ่าตาย!
…………………………………………………………………………
ไอคอนเหรียญทอง