Perfect Superstar - ตอนที่ 157 พี่สะใภ้ช่วยด้วย
ตอนที่ 157 พี่สะใภ้ช่วยด้วย
นับตั้งแต่วันที่เงินทุนเกิดขึ้นมา ทุกรูขุมขนก็เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกและคาวเลือด
คำคมที่ยอดเยี่ยมที่สุดสองประโยคนี้ได้อธิบายถึงธาตุแท้ของธุรกิจออกมาทั้งหมด การบุกเบิกในตอนต้นของอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตในประเทศจีน เป็นกระบวนการเข่นฆ่าที่แดงฉานไปด้วยเลือดและการยึดครอง ทำตามกฎแห่งป่าของผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะชนะ ยักษ์ใหญ่ในวงการสองสามรายไม่ได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดในตลาดน่านน้ำสีแดง[1] แต่ในสายเลือดนั้นเต็มไปด้วยนิสัยที่โหดเหี้ยมอยากจะกลืนกินทุกสิ่งต่างหาก
พวกมันถูกเรียกว่าเป็นกฎเกณฑ์ทางธุรกิจ
อย่างไรก็ตามระบบการเมืองภายในประเทศ กำหนดว่าการขยายตัวและความโหดร้ายอย่างไร้ขอบเขตนี้จะต้องถูกกำจัด เนื่องจากผลของการผูกขาดโดยยักษ์ใหญ่ของวงการทำให้จิตวิญญาณของความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้ถูกพัฒนา ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กยากที่จะตั้งหลักได้
และในประเทศจีนบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเติบโตขึ้นโดยกลืนกินผู้อ่อนแอกว่า การเผชิญหน้ากับองค์กรใหญ่ที่มีอำนาจของต่างประเทศ จึงมีความอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด
เหตุการณ์เช่นนี้กระตุ้นให้เกิดความระแวดระวังและคิดย้อนกลับในสังคมชนชั้นสูงในที่สุด หลังจากผ่านเกมการแข่งขันที่ยากลำบาก ในเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2005 ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองลิขสิทธิ์ผลงานสร้างสรรค์เชิงพาณิชย์ก็ออกมาอย่างเป็นทางการ และใช้เป็นกฎหมายเพิ่มเติมของลิขสิทธิ์สิทธิบัตร
กฎระเบียบนี้มุ่งเป้าหมายไปที่อุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตแบบใหม่เป็นหลัก ปกป้องธุรกิจที่มีความคิดสร้างสรรค์ไม่ให้ถูกคัดลอก เลียนแบบและครอบครองโดยผู้อื่น ช่วยส่งเสริมการยกระดับและขยายอุตสาหกรรม สร้างบรรยากาศการแข่งขันทางการตลาดที่ดี หลีกเลี่ยงการเข้าสู่วงจรอุบาทว์
ตามกฎระเบียบ ลิขสิทธิ์ผลงานสร้างสรรค์เชิงพาณิชย์จะรับเฉพาะการยื่นคำขอจากหน่วยงานธุรกิจเท่านั้นหลังจากผ่านการตรวจสอบแล้วจะออกหนังสือรับรองการคุ้มครองลิขสิทธิ์ผลงานสร้างสรรค์ โดยมีระยะเวลาสิบสองเดือน
กล่าวคือ ให้เวลาคุณพัฒนาหนึ่งปี หลังจากหนึ่งปีผ่านไป คุณจะเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่รุนแรงดุเดือดในตลาด ถ้าหากคุณไม่สามารถพัฒนาและสร้างตำแหน่งที่โดดเด่นได้ในช่วงระยะเวลาคุ้มครอง เช่นนั้นคุณก็ไม่ควรบ่นที่ถูกคนอื่นตีพ่ายแพ้
หลังจากกำหนดและดำเนินการตามข้อบังคับเกี่ยวกับการคุ้มครองผลงานสร้างสรรค์เชิงพาณิชย์แล้ว กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศและหน่วยงานบริหารจัดการด้านลิขสิทธิ์ของรัฐบาลทั้งสามฝ่ายได้ร่วมกันจัดตั้งสำนักงานคุ้มครองลิขสิทธิ์ผลงานสร้างสรรค์เชิงพาณิชย์ขึ้นเรียกว่า ‘สำนักงานลิขสิทธิ์แห่งชาติจีน’
สำนักงานลิขสิทธิ์แห่งชาติจีน รับผิดชอบงานอนุมัติ ดูแลตรวจสอบ และวินิจฉัยลิขสิทธิ์ผลงานสร้างสรรค์เชิงพาณิชย์ ถึงจะเป็นหน่วยงานเล็กแต่อำนาจไม่ได้เล็กตาม
การปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับและการจัดตั้งสำนักงานลิขสิทธิ์แห่งชาติจีน ได้ปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทอินเทอร์เน็ตขนาดกลางและขนาดเล็กในระดับที่ดีมากจริงๆ มอบพื้นที่การอยู่รอดและพัฒนาให้พวกมัน
ปัจจุบันบริษัทอินเทอร์เน็ตยักษ์ใหญ่สามในเจ็ดแห่งของประเทศ เติบโตขึ้นโดยอาศัยกฎหมายคุ้มครองนี้นอกจากนี้ยังมีบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย เปิดโอกาสให้ทุกคนกล้าคิดสร้างสรรค์ กล้าคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ!
สิ่งที่น่าสนใจคือ เนื่องจากความสำเร็จที่โดดเด่นของกฎหมายคุ้มครองผลงานสร้างสรรค์เชิงพาณิชย์ในประเทศ ประเทศในยุโรปและอเมริกาที่ประสบปัญหาเดียวกันได้ผ่านวิธีการที่คล้ายคลึงกัน จัดตั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขึ้น
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ลู่เฉินให้ลู่ซีใช้ชื่อของสตูดิโอลู่เฉิน ยื่นคำขอรับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ผลงานสร้างสรรค์ในรูปแบบของการระดมทุนไปยังสำนักงานลิขสิทธิ์แห่งชาติจีน แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีข่าวคาว
การยื่นคำขอคุ้มครองลิขสิทธิ์ไม่ใช่เรื่องง่าย สำนักงานลิขสิทธิ์แห่งชาติจีนไม่ใช่ ‘ห้องสมุดดนตรีจีน’ ที่ควบคุมโดยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ แต่จำเป็นต้องใช้คนในการตรวจสอบ เป็นงานที่ยุ่งยากน่าเบื่อ ดังนั้นจึงใช้เวลานานเป็นธรรมดา
และเนื่องจากปัจจัยบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นรูปแบบความคิดแปลกใหม่ แต่ก็ใช่ว่าจะได้รับการอนุมัติในขั้นสุดท้าย
ในอุตสาหกรรมนี้ ใบรับรองการคุ้มครองยังได้รับการขนานนามว่า ‘สูติบัตรทองคำ’
ว่ากันว่าหากบริษัทได้รับใบรับรองนี้แล้ว ก็จะได้รับความสนใจในการร่วมลงทุนทันที!
ลู่เฉินไม่ได้มีความคิดทะเยอทะยานในอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ต แต่เขาไม่อยากเสียความคิดสร้างสรรค์นี้ไปเปล่าๆ ดังนั้นเขาจึงขอให้หลี่มู่ไป๋ช่วยสอบถาม อย่างน้อยก็ถามถึงความคืบหน้าของการตรวจสอบ ว่ามีหวังที่จะผ่านหรือไม่
ถ้าหากไม่มีหวัง อย่างนั้นเขาก็จะนำเว็บไซต์ดำเนินการระดมทุนออนไลน์โดยตรง ไม่ต้องทนรออีกต่อไป
หลี่มู่หรงอ่านร่างผลงานสร้างสรรค์ของลู่เฉินจบแล้ว เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แนวคิดโปรเจคนี้ของนายน่าสนใจมาก แต่ไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุนส่วนตัวใช่ไหม”
การระดมทุนส่วนตัวเป็นเขตต้องห้าม และโทษฐานความผิดของการระดมทุนที่ผิดกฎหมายนั้นร้ายแรงมาก เพราะรูปแบบการระดมทุนมีความคล้ายคลึงกันจริงๆ
ลู่เฉินตอบอย่างไม่คิดอะไร “หากมองจากมุมมองของธุรกิจและกระแสเงินสด การระดมทุนแท้จริงแล้วคือรูปแบบการรวมกลุ่มกันซื้อประเภทหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากการระดมทุนผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิงครับ!”
“การระดมทุนของโปรเจคทั้งหมดไม่สามารถตอบแทนเป็นสิทธิของผู้ถือหุ้นหรือเงินทุนได้ ผู้ริเริ่มโปรเจคไม่สามารถให้คำมั่นสัญญาเกี่ยวกับผลประโยชน์ของเงินทุนใดๆ แก่ผู้สนับสนุน และจำเป็นต้องตอบแทนเป็นเนื้อหาของสิ่งของที่จับต้องได้อย่างเช่นการบริการ หรือสื่อมีเดียอื่นๆ”
“การสนับสนุนโปรเจคนี้เป็นพฤติกรรมของการซื้อ ไม่ใช่พฤติกรรมของการลงทุนครับ!”
สีหน้ามั่นใจเผยออกมาบนใบหน้าของเขา และพูดจาฉะฉานมีหลักฐานต่อว่า “อย่างเช่นผมอยากออกอัลบั้ม ก็จะมาประกาศขอระดมทุนบนแพลตฟอร์ม เพื่อเรียกร้องให้แฟนคลับมาซื้อล่วงหน้า ขอแค่ได้เงินลงทุนตามจำเป็นสำหรับการผลิตและการจำหน่ายอย่างเพียงพอก็จะประกาศความสำเร็จครับ”
“รูปแบบนี้ยังสามารถขยายไปได้อีกหลายระดับ เช่นเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ ระดมทุนการออกอัลบั้ม ระดมทุนการทำหนังสือ ระดมทุนการทำหนัง หรือแม้แต่ระดมทุนช่วยเหลืองานการกุศลก็สามารถใช้วิธีการระดมทุนออนไลน์ได้ครับ!”
เพื่อโปรเจคนี้ ลู่เฉินพยายามค้นความทรงจำในโลกแห่งความฝันของตัวเองอย่างเต็มที่ เก็บรายละเอียดมากมายไว้ในใจ ดังนั้นเมื่อเจอความสงสัยของหลี่มู่หรง คำตอบของเขาจึงตอบได้ทุกอย่างไม่มีพลาด
ความมั่นใจที่เตรียมตัวมาดีแบบนี้ แสดงให้เห็นถึงบุคลิกอันมีเสน่ห์บางอย่างที่ไม่ค่อยสอดคล้องกับอายุของเขา
ซูไต้หว่านที่นั่งอยู่ข้างๆ หลี่มู่หรงมีดวงตาเป็นประกาย
ไม่รู้ว่าเธอนึกถึงอะไร พยักหน้าเล็กน้อย นัยน์ตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
แปะๆ!
เพิ่งจะสิ้นเสียงของลู่เฉิน หลี่มู่หรงก็ปรบมือเสียงดัง
คุณชายใหญ่ตระกูลหลี่คนนี้เอ่ยชมว่า “ยอดเยี่ยมมาก นี่คือรูปแบบความคิดสร้างสรรค์แนวใหม่ที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมาในช่วงหลายปีนี้”
เขาหันหน้าไปพูดกับหลี่มู่ไป๋ “มู่ไป๋ ในบรรดาเพื่อนที่นายรู้จัก มีเพียงลู่เฉินที่ควรค่าให้นายคบหาอย่างแท้จริง ไม่เสียแรงที่ฉันมาที่นี่คืนนี้”
หลี่มู่ไป๋เกาศีรษะแกรกๆ หัวเราะขึ้นมา หัวเราะแบบเอ๋อๆ นิดหน่อย
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยว่า “พี่หลี่ชมเกินไปแล้วครับ ความจริงเป็นไอเดียเล็กๆ เท่านั้นเอง”
หลี่มู่หรงส่ายหน้า “ถึงแม้จะเป็นไอเดียเล็กๆ ก็มีมูลค่าดั่งทองคำ หัวใจหลักของการทำกำไรของแพลตฟอร์มระดมทุนนี้คือค่าคอมมิชชั่นของโปรเจคใช่ไหม นายจะรับประกันได้ยังไงว่าความสำเร็จของโปรเจคกับผู้ริเริ่มจะไม่ฮุบเงินแล้วหนีซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่น่ากลัวมาก จำเป็นต้องมีการตรวจสอบโปรเจคอย่างเข้มงวด หากอาศัยแค่คนเดียวไม่สามารถทำได้แน่นอน”
รูปแบบการระดมทุนประกอบด้วยกันสามอย่างคือผู้ริเริ่ม ผู้สนับสนุนและแพลตฟอร์ม ถ้าการระดมทุนล้มเหลวนั้นก็ง่ายมาก แค่คืนเงินให้ผู้สนับสนุนก็พอแล้ว แต่ถ้าหากโปรเจคล้มเหลวในช่วงดำเนินการ นั่นก็หมายความว่าผู้สนับสนุนจะไม่ได้ค่าชดเชยใดๆ
นี่คือมาตรการยกเว้นไม่ต้องรับผิดชอบของแพลตฟอร์มแบบนี้ แต่ความล้มเหลวของโปรเจคก็สามารถทำลายความกระตือรือร้นและความมั่นใจของผู้สนับสนุนไปด้วย สำหรับแพลตฟอร์มระดมทุนแล้วหมายถึงการสูญเสียความน่าเชื่อถือ
คำถามของหลี่มู่หรงพูดตรงจุดมาก!
ลู่เฉินกล่าวอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา “ถูกแล้วครับ เนื่องจากตอนนี้ผมสร้างแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมาเพื่อบริการตัวเอง ถ้าหากมีการขยับขยายให้ใหญ่ขึ้นในอนาคต ก็จะต้องมีผู้จัดการมืออาชีพ กำหนดมาตรการที่ดีพร้อมและรับประกันได้ออกมาครับ”
หลี่มู่หรงพยักหน้าอย่างพอใจ
ในบรรดาคนหนุ่มสาวสมัยนี้ มีน้อยมากที่จะใจเย็น ทำอะไรโดยพิจารณาอย่างลึกซึ้งรอบคอบเหมือนอย่างลู่เฉิน
เขาหัวเราะและพูดว่า “ฉันเกือบลืมไปแล้ว นายเป็นศิลปินคนหนึ่งเหมือนกัน”
นี่ไม่ใช่การดูถูก แต่เป็นการชื่นชม เพราะว่าลู่เฉินแสดงตัวเหมือนนักธุรกิจฉลาดหลักแหลมคนหนึ่งมากกว่า!
“ศิลปินแล้วยังไงคะ”
เป็นผลให้ซูไต้หว่านโต้ตอบ และพูดดุว่า “ฉันก็เป็นศิลปินคนหนึ่งเหมือนกันค่ะ!”
หลี่มู่หรงหัวเราะเหอะๆ ไม่ได้อธิบายอะไร ได้แต่กุมมือของเธอเบาๆ กับนัยน์ตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักลึกซึ้ง
ซูไต้หว่านถึงกับหน้าแดง ก้มหน้าอย่างเขินอาย
ในที่สุดหลี่มู่ไป๋ก็อดทนไม่ไหว พูดบ่นว่า “พี่ใหญ่ พี่อย่าเพิ่งอวดความรักกับพี่สะใภ้โชว์สิ พูดมาตั้งเยอะ สรุปแล้วช่วยได้ไหมครับ”
คุณชายสามตระกูลหลี่คนนี้มีความคิดเรียบง่ายมาก ได้ไม่ได้แค่ประโยคเดียวก็พอ พูดจาเวิ่นเว้ออะไรให้มากความ
พี่ชายคนโตไม่พอใจแล้ว!
ด้วยความสามารถควบคุมอารมณ์ของหลี่มู่หรง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะขึงตาใส่น้องชายตัวเองหนึ่งที
เขาคิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ลู่เฉิน นายเตรียมจะทำโปรเจคนี้ไปถึงระดับไหน”
ลู่เฉินหัวใจสั่นเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “เดิมทีความคิดของผมก็แค่อยากได้เงินก้อนโตไวๆ ถ้าหากพี่หลี่สนใจ ผมยินดีต้อนรับเป็นอย่างมากให้เข้าถือหุ้น และเป็นหุ้นส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหาครับ!”
เดิมทีลู่เฉินคิดว่าหลังจากได้ ‘สูติบัตรทองคำแล้ว’ ก็จะเอามาใช้บริการให้ตัวเองก่อน ถ้าหากมีคนสนใจอยากร่วมลงทุนด้วย ขอแค่เสนอราคาที่เหมาะสมก็จะขายทิ้ง เขาเชื่อว่าเงินก้อนนี้มีมากพอที่จะชดใช้หนี้สินที่เหลือของครอบครัวได้
ถ้าหากหลี่มู่หรงสนใจ อย่างนั้นก็จะดีมากๆ!
ด้วยฐานะที่ไม่ธรรมดาของอีกฝ่าย เป็นไปไม่ได้ที่จะปล้นเขา ต่อให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ถือเสียว่าเป็นการชดใช้น้ำใจของหลี่มู่ไป๋ก็แล้วกัน
ได้ครอบครองความมั่งคั่งของความทรงจำในโลกแห่งความฝัน ลู่เฉินไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น
ความฝันของเขา คือการยืนบนเวทีสูงเจิดจรัสบนนั้นมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
แต่ความรู้สึกโดยตรงของลู่เฉินบอกว่า หลี่มู่หรงยังไม่สนใจ
หลี่มู่หรงยิ้มและกล่าวว่า “ฉันบอกแล้วว่ามู่ไป๋เจอเพื่อนแท้คนหนึ่งแล้ว…”
“เอาอย่างนี้ดีไหม พวกนายสองคนเป็นหุ้นส่วนกันทำแพลตฟอร์มนี้ให้ดี เรื่องหุ้นส่วนอะไรพวกนายก็ปรึกษากันเอาเอง”
“อะไรนะ”
หลี่มู่ไป๋กระโดดขึ้นมาทันทีแล้วบ่นว่า “ผมไม่ทำ ผมจะแย่งหุ้นส่วนของพี่เฉินได้ยังไง!”
“นั่งลง!”
หลี่มู่หรงพูดดุ “อะไรเรียกว่าแย่ง นายต้องควักเงินของตัวเองมาลงทุนเพื่อแลกกับหุ้น ช่วยทำกิจการของเพื่อนให้ดำเนินไปได้ แกจะได้ไม่ต้องไปจีบสาวดื่มเหล้าทำตัวว่างไม่มีอะไรอยู่ทุกวัน ดูแกตอนนี้สิว่าเละเทะขนาดไหน!”
“อีกอย่าง ถ้าหากไม่มีหุ้นส่วนของนาย อย่างนั้นฉันจะเข้าไปช่วยเรื่องนี้ในฐานะอะไร นายคิดว่าสำนักงานลิขสิทธิ์แห่งชาติจีนพูดง่ายเหรอ แค่เลี้ยงข้าวสักหนึ่งมื้อพวกเขาก็ยอมช่วยแล้วเรอะ”
หลี่มู่ไป๋เหมือนมะเขือเทศถูกน้ำค้างแข็งผิวแห้งเหี่ยว กลับไปนั่งที่เดิมไม่ขยับ กรอกตาหมุนไปมาไม่หยุด
หลี่มู่หรงพูดเยาะเย้ยว่า “นายอย่าคิดหนีไม่รับผิดชอบนะ หลังจากลงทุนเข้าถือหุ้นแล้ว ที่บ้านก็จะไม่ให้เงินนายอีก นายต้องหาเงินด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นนายก็ต้องเชื่อฟังที่บ้าน แต่งงานมีลูกกับคนนั้นของตระกูลหวัง!”
หลี่มู่ไป๋เหมือนกับถูกฟ้าผ่าดังสนั่น ทำสีหน้าเหมือนชีวิตไร้ความหมาย
หลี่มู่หรงพูดแทงใจดำอีกหนึ่งประโยค “เดือนหน้ามู่ซือก็จะกลับมาแล้ว จะได้เอาโปรเจคนี้มาให้เธอฝึกมือพอดี แล้วก็คอยกำกับนายไปด้วย ธุรกิจของครอบครัวในอนาคตแกก็ต้องมีส่วนร่วม จะให้เงินของครอบครัวอย่างเดียวไม่ได้!”
“หลี่มู่ซือ…”
พอได้ยินชื่อนี้ สหายหลี่ไป๋ก็สั่นไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไป
เขาพลันกลิ้งลงไปบนพื้น กอดขาของซูไต้หว่าน
“พี่สะใภ้ ช่วยผมด้วย!”
…………………………………………………………………………
[1] ตลาดน่านน้ำสีแดง(Red Ocean) หมายถึงตลาดที่มีการแข่งขันสูงจนทำให้แต่ละฝ่ายมุ่งเน้นไปที่การแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก หรือที่เรียกว่าสงครามราคา (Price War) ที่ต่างฝ่ายต่างแข่งกันตัดราคาสินค้าเพื่อแข่งกับคู่แข่ง เนื่องจากสินค้ามีความแตกต่างกันน้อย
ไอคอนเหรียญทอง