Perfect Superstar - ตอนที่ 196 ความในใจของเฉินเฟยเอ๋อร์
ตอนที่ 196 ความในใจของเฉินเฟยเอ๋อร์
มองดูวิวแม่น้ำบนร้านอาหารว่างเจียงโหลว
สำหรับคนในเมืองจินหลังการจะมารับประทานอาหารที่ร้านว่างเจียงโหลงได้ จะต้องเป็นคนมีหน้ามีตามาก
ร้านอาหารเก่าแก่แห่งนี้เปิดมานานมาก ขายอาหารเจียงหนานพื้นเมือง ผสมกับอาหารสไตล์เซียงช่าย อาหารฮ่องกงและอาหารชื่อดังของต่างประเทศ ขายอาหารที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ได้รับการแนะนำจากร้านอาหารชื่อดังนับไม่ถ้วน
สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดคือร้านอาหารว่างเจียงโหลวอยู่ริมน้ำเพียงร้านเดียว นอกจากนี้ไม่มีร้านสาขา รสชาติต้นตำรับที่สุด กิจการเฟื่องฟูมาก การจองที่นั่งเต็มไปถึงอีกหลายเดือนข้างหน้า
โดยเฉพาะที่นั่งตำแหน่งข้างหน้าต่างเพื่อชมวิวริมน้ำ ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะจองได้
ร้านอาหารนี้สูงเพียงสามชั้น สร้างด้วยลักษณะอาคารโบราณ เสาสลักลวดลายล้วนเป็นลายโบราณ
สิ่งที่พิเศษที่สุดคือคานซุ้มประตูห้อยโคมไฟทั้งหมด108 ดวง เมื่อถึงกลางคืนแสงจากดวงไฟส่องสว่างไปทั่วทั้งตึกอย่างสวยงามราวกับพระราชวัง!
เมื่อลู่เฉินมาถึงร้านอาหารว่างเจียงโหลงนั้น พระจันทร์เสี้ยวเพิ่งปรากฎขึ้นที่ปลายขอบแม่น้ำอีกด้าน
ทิวต้นหลิวระเรี่ยบนพื้นน้ำพลิ้วไหว ภาพตรงหน้าทำให้คิดถึงบรรยากาศที่พรรณนาในบทกลอนว่า “ยอดหลิวเหนือเงาจันทร์ นัดกันหลังตะวันตกดิน”
ชั้นบนสุดของร้านอาหารว่างเจียงโหลว หรือก็คือชั้นบนของตึก ลู่เฉินได้เจอเฉินเฟยเอ๋อร์อีกครั้ง
ราชินีคนสวยเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อทีเชิ้ตแขนยาวลายดอกไม้ ท่อนล่างเป็นกระโปรงยีนส์สีดำแซมน้ำเงินความยาวระดับกลาง เผยผิวเนื้อน่องขาวผ่องดุจคริสตัล รองเท้ากีฬารับกับแว่นตา รวมองค์ประกอบแล้วดูเป็นวัยรุ่นทันสมัย
ผมยาวสีดำสนิทปล่อยตรงตามสบาย ส่วนใหญ่คลอเคลียอยู่บนบ่าของเธอ ดูสวยงามมาก
บนศีรษะติดโบว์กับอัญมณีสีแดงอันเล็กๆ ยิ่งขับเน้นให้ดูน่าทะนุถนอม
“พี่เฟย!”
ลู่เฉินชื่นชมภาพตรงหน้าประมาณ 1 วินาที จากนั้นก็ทักเธออย่างเป็นธรรมชาติ
เฉินเฟยเอ๋อร์ที่กำลังเลื่อนดูมือถือเงยหน้าขึ้นมา ถอดแว่นตาออก รอยยิ้มสะท้านใจ “มาแล้วเหรอ”
ลู่เฉินพยักหน้า “มาแล้วครับ”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันราวกับเป็นเพื่อนกันมานาน รู้ใจกันโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปาก
ลู่เฉินนั่งลงตรงข้ามกับเธอ ถามอย่างประหลาดใจว่า “พี่จางล่ะครับ”
เฉินเฟยเอ๋อร์ตอบว่า “คืนนี้มีแค่เราสองคน”
ลู่เฉินใจเต้นแรง ยิ้มถามว่า “พวกเราไม่นับว่าเป็นการนัดเดทใช่ไหม”
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้ม ถามกลับว่า “พี่สาวเลี้ยงข้าวน้องชายถือเป็นการนัดเดทหรือเปล่า”
ลู่เฉินยิ้มแหย
เฉินเฟยเอ๋อร์มองเขาอย่างเอ็นดู ส่งเมนูอาหารให้ “ฉันสั่งไปสองอย่างแล้ว นายสั่งอีกหลายอย่างหน่อย”
เธอเสริมว่า “อาหารที่นี่ไม่เลว”
“ถ้าอย่างนั้นต้องกินเยอะหน่อย!”
ลู่เฉินไม่เกรงใจ รับเมนูอาหารมาดูรอบหนึ่งแล้วเลือกอาหารเพิ่มอีกไม่กี่อย่าง
เขาหิวจนไส้บิดแล้ว
ตั้งแต่เริ่มฝึกการต่อสู้ทุกวัน ปริมาณอาหารของลู่เฉินเพิ่มขึ้นเท่าตัว ปกติรับประทานแต่อาหารพลังงานสูงเพื่อชดเชยพลังงานที่เสียไป วันนี้ยิ่งเหนื่อยกว่าปกติมาทั้งวันแล้ว
เขารู้สึกว่ากินวัวลงไปได้ทั้งตัว!
สำคัญกว่านั้นคือ ลางสังหรณ์บอกลู่เฉินว่า ต่อหน้าเฉินเฟยเอ๋อร์เขาไม่ต้องแสร้งทำเป็นเกรงอกเกรงใจ
สั่งอาหารแล้ว ลู่เฉินเรียกบริกรมา สั่งอาหารอย่างรวดเร็ว
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ ถามว่า “หิวมากเลยใช่ไหม”
ลู่เฉินพยักหน้าถามว่า “พี่เฟย ทำไมพี่มาอยู่ที่จินหลิงนี่”
เฉินเฟยเอ๋อร์เล่า “ฉันมาร่วมงานกิจกรรมพรีเซนเตอร์สินค้าแบรนด์หนึ่ง แล้วเห็นในบล็อกของนายเขียนว่ามาถ่ายโฆษณาที่จินหลิง เลยเรียกนายออกมาเลี้ยงข้าว”
ลู่เฉินถามต่อ “แล้วพี่จะกลับเมื่อไร”
“พรุ่งนี้เข้าร่วมงานเปิดร้านใหญ่ของผลิตภัณฑ์แล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรฉันจะกลับปักกิ่งเลย…”
เธอบอกอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “คืนนี้เดี๋ยวฉันต้องไปให้สัมภาษณ์ที่สถานีโทรทัศน์ด้วย คนมีเส้นมีสาย ปฏิเสธไม่ได้”
การเป็นศิลปิน โดยเฉพาะศิลปินที่มีชื่อเสียง แทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
ระดับซูเปอร์สตาร์อย่างเฉินเฟยเอ๋อร์ ปกติตารางงานแน่นขนัด มีเวลาส่วนตัวน้อยมาก
ด้วยเหตุนี้ คู่รักในวงการบันเทิงจึงคบๆ เลิกๆ กันให้เห็นอยู่เป็นปกติ ทุกคนยุ่งจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่มีเวลาดูแลความรัก ไร้บุพเพสันนิวาสเป็นเรื่องธรรมดา
ศิลปินหลายคนก่อนอายุ 40 จะไม่แต่งงานมีครอบครัว!
เฉินเฟยเอ๋อร์อายุ 30 ปีเต็ม แม้เมื่อก่อนเธอมีข่าวบ่อย กลับไม่มีแฟนหนุ่มเป็นตัวเป็นตน
ทั้งสองคนคุยกันเหมือนเพื่อน อาหารที่สั่งไปถูกยกมาเสิร์ฟเร็วไว
ร้านอาหารว่างเจียงโหลวไม่เสียแรงที่ขึ้นชื่อ อาหารรสชาติดั้งเดิมครบรส ทำให้ลู่เฉินคีบตะเกียบไม่หยุด เขาไม่เกรงใจแล้ว ใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ปากอย่างรวดเร็ว
ก่อนเริ่มรับประทาน เขาไม่ลืมที่จะคีบอาหารให้เฉินเฟยเอ๋อร์ก่อน
แม่เคยสอนว่า ถ้ารับประทานอาหารกับหญิงสาวสองต่อสอง จำไว้ว่าต้องคีบอาหารให้ฝ่ายตรงข้ามก่อนแล้วค่อยกินของตัวเอง ถึงจะเป็นสิ่งที่ผู้ชายพึงปฏิบัติ
ลู่เฉินจำคำสอนของแม่เสมอ
ตอนแรกเขาคบหาดูใจกับหวังอิ๋ง ทุกครั้งที่ไปกินข้าวด้วยกันต้องคีบอาหารให้เธอจนกลายเป็นความเคยชินแล้ว
ลู่เฉินไม่ได้คิดมาก แต่เฉินเฟยเอ๋อร์มองดูเขาคีบอาหารใส่ถ้วยของเธอแล้วก็ทึ่ง
นอกจากคนในครอบครัวที่บ้าน ไม่มีใครเคยตักอาหารให้เธอเลย
อย่างแรกเป็นเพราะเธอเป็นคนมีชื่อเสียง ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน อย่างที่สองเธอไม่ชอบให้คนอื่นทำแบบนี้
นอกจากคนใกล้ชิดของเธอเอง
ลู่เฉินไม่ใช่คนใกล้ชิดของเธอ แต่เมื่อเห็นลู่เฉินใช้ตะเกียบคีบอาหารให้เธอแล้ว เฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ได้รู้สึกต่อต้านสักนิด กลับรู้สึกเขินอายและดีใจ เป็นอารมณ์ที่บอกไม่ถูก
เฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกดีกับลู่เฉิน
ลู่เฉินหน้าตาดีรูปร่างสูงใหญ่ ทั้งยังมีความสามารถเหนือคนทั่วไป แล้วยังมีความคิดเป็นของตัวเองแบบที่หาได้ยาก นิสัยอ่อนโยนคล้อยตามไม่หยิ่งไม่ก้าวร้าว ทำให้คนรู้สึกเหมือนเขาเป็นเด็กผู้ชายข้างบ้าน โดดเด่นแต่ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง
น่าเสียดายที่ทั้งสองอายุห่างกันมากเกินไป
ลู่เฉิน 22 ปี เฉินเฟยเอ๋อร์อายุ 30 ปี ห่างกัน 8 ปีเต็มๆ
เฉินเฟยเอ๋อร์รู้ว่าอายุไม่ใช่ปัญหา ด้วยฐานะและตำแหน่งของเธอจะรักใครชอบใครไม่ใช่ปัญหา แตบางสิ่งในใจคอยยับยั้งเธอไม่ให้ถลำลึกไปกับลู่เฉินมากกว่านี้
เมื่อวานเห็นข้อความของลู่เฉินในบล็อกอย่าง ‘ไม่ตั้งใจ’ เมื่อทั้งคู่มาถึงเมืองจินหลิง จึงอดไม่ได้ที่ต้องติดต่อลู่เฉินไป วันนี้จึงได้ไปดูงาน แล้วตอนกลางคืนยัง…นัดเดทอีก!
เฉินเฟยเอ๋อร์รู้สึกว่าการอยู่กับลู่เฉินนั้นสบายใจ ฝ่ายหลังเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอไม่ได้หวาดเกรงเหมือนศิลปินหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการอยู่ต่อหน้าซูเปอร์สตาร์ เขาอยู่ต่อหน้าเธอปฏิบัติตัวเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน
เธอมองออกว่าลู่เฉินหวั่นไหวกับเธอเช่นกัน กลับไม่ได้เป็นฝ่ายจีบเธอก่อน มีสติปัญญามาก
แน่นอนว่าต่อให้ลู่เฉินจีบเธอ เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ไม่ตกลง
แม้ในใจเธอรู้สึกถึงการไม่ยอมรับ อดไม่ได้ต้องหยอกเย้าหนุ่มน้อยคนนี้สักหน่อย
“ขอบใจ”
เฉินเฟยเอ๋อร์พูดเบาๆ
ลู่เฉินตกใจ “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ พี่เฟย กินข้าวเถอะ กับข้าวเย็นแล้วจะไม่อร่อยนะ!”
นายโง่หรือเปล่า!
เฉินเฟยเอ๋อร์โกรธจนควันออกหู เธอคีบซี่โครงแพะย่างน้ำผึ้งยัดใส่ปาก กัดแรงๆ
ราวกับกำลังกัดลู่เฉิน
ลู่เฉินประหลาดใจเล็กน้อย แต่ความสนใจของเขาเบี่ยงเบนไปที่อาหารอันอุดมบนโต๊ะนี่เอง
ความจริงแล้วเสน่ห์ของเฉินเฟยเอ๋อร์ สำหรับลู่เฉินแล้วยังสู้อาหารอันโอชะเหล่านี้ไม่ได้
โชคดีที่เธอไม่รู้ในจุดนี้
เธอรู้สึกขัดเคืองใจนิดหน่อย
ตอนนั้นเองห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตรตรงริมฝั่งแม่น้ำ ฟ่านฟานที่หลบอยู่หลังต้นไม้กลับตื่นเต้นถึงขีดสุด
แม้ตรงนี้จะมีแมลงเยอะ กัดเขาเสียจนเป็นตุ่มไปทั่วตัว แต่ฟ่านฟานไม่สนใจ ความสนใจของเขาทั้งหมดมุ่งไปที่การยกกล้องขึ้นถ่ายรูป จับภาพบนร้านอาหารว่างจียงโหลวกดถ่ายภาพไม่หยุด
ข่าวใหญ่!
ราชินีเพลงรักแห่งยุค เจ้าสำนักนารีหน้าหยกกลับแอบนัดเดทกับผู้ชาย ฝ่ายชายคือลู่เฉิน นักร้องหน้าใหม่ในวงการบันเทิง ทั้งยังอยู่ที่เมืองจินหลิง ไม่ใช่ปักกิ่ง
ความรักของศิษย์กับอาจารย์? ความรักศิษย์พี่กับศิษย์น้อง? หนุ่มหล่อสาวสวย เฉินเฟยเอ๋อร์นัดเดทกับหนุ่มชาวบ้านอย่างลับๆ?
อยากได้เนื้อหาแบบไหนก็มี ต้องดังเป็นพลุแตกแน่!
ฟ่านฟานรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก เดินทางมาพักผ่อนถึงเมืองจินหลิงยังได้ข่าวดีๆ กลับไป
นี่ต้องเป็นข่าวบันเทิงพาดหัวหน้าหนึ่งอย่างแน่นอน!
ฟ่านฟานเชื่อว่าอย่างนั้น เพราะทั้งเฉินเฟยเอ๋อร์และลู่เฉินไม่ได้พาผู้ช่วยมาด้วย
ปกติศิลปินในวงการบันเทิงรับประทานอาหารกับเพื่อน โดยเฉพาะหากเป็นเพื่อนต่างเพศ ต้องพาผู้ช่วยมาด้วยเสมอ เพื่อประกาศไม่ให้คนเข้าใจผิดว่ากำลังแอบคบกันอะไรแบบนั้น
แม้จะถูกหมาน้อยแอบถ่าย ก็ยังออกมาอธิบายได้อย่างปรุโปร่ง
ข่าวซุบซิบเป็นเหมือนดาบสองคม ศิลปินชอบใช้ข่าวกอสซิปมาสร้างกระแสให้ตัวเอง แต่มีดารามากมายที่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว ด้วยกังวลว่าจะสูญเสียแฟนคลับและความนิยม ปลุกกระแสแฟนคลับที่รุนแรง
ฟ่านฟานคิดว่าเฉินเฟยเอ๋อร์กับลู่เฉินอาจปกปิดอะไรบางอย่าง เป็นไปได้มากว่ากำลังแอบคบกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองมีที่มาที่ไป ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้น
อีกอย่างถ้าไม่ใช่ แล้วจะเป็นอะไรกันเล่า
รูปหลักฐานเห็นคาตา นักข่าวฟ่านยังใส่สีตีไข่แต่งเติมเข้าไปอีก พรุ่งนี้จะต้องขึ้นหน้าหนึ่ง 99% แน่นอน!
นอกเสียจากโชคไม่ดีเจอเรื่องเลวร้ายแบบหวังปิน
ฟ่านฟานยิ่งคิดยิ่งชอบใจ ถ่ายรูปไปคิดเนื้อหาข่าวไป “พวกคุณอย่าเอาแต่กินข้าวสิ เข้าใกล้กันมากกว่านี้หน่อย จับมือกันสิ! ป้อนข้าวให้กันสิ! ช่วยเพิ่มสีสันให้มากขึ้นหน่อยได้ไหม”
น่าเสียดายที่ฉากใกล้ชิดไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่เขาหวัง
ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์รับประทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายออกจากร้านอาหารว่างเจียงโหลว ทั้งสองบอกลากันที่หน้าประตู
และไม่เกิดภาพที่ฟ่านฟานตั้งตารอ
เฉินเฟยเอ๋อร์นั่งรถบนซ์สีดำจากไปอย่างรวดเร็ว ลู่เฉินเดินมาที่ริมแม่น้ำตามลำพัง
เดินมุ่งหน้ามาทางฟ่านฟาน
ฟ่านฟานตกใจจนใจเต้นแรง
เขาคิดว่าลู่เฉินเจอตัวเขาแล้ว รีบเก็บกล้องถ่ายรูปเข้าไป
แต่ลู่เฉินไม่คิดว่าจะเจอนักข่าวหมาน้อยที่ก้มตัวอยู่ และถ่ายภาพของตัวเองกับเฉินเฟยเอ๋อร์
เขาเดินไปที่ริมน้ำเพื่อย่อยอาหารเท่านั้น พร้อมกับชื่นชมบรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำยามค่ำคืน
ดังนั้นจึงไม่สังเกตเห็นนักข่าวฟ่านที่แอบหลบออกไป
………………………………………………………………………………….