Perfect Superstar - ตอนที่ 264 ทำด้วยใจล้วนๆ
ตอนที่ 264 ทำด้วยใจล้วนๆ
ข้างนอกมีฝนตกปรอยๆ
บาร์อีกาดำมีลูกค้ามาเพิ่มอีกไม่น้อย ที่นั่งใกล้เต็มหมดแล้ว จึงคึกคักมากยิ่งขึ้น
เถ้าแก่ต้าเจียงกลับไปยังที่นั่งของวงเฮสิเทชั่น มอบเวทีให้วงดนตรีและนักร้องอีกครั้ง
มีบางคนตะโกนเรียกชื่อของฉินฮั่นหยาง หวังว่าเขาจะขึ้นไปร้องเพลงบนเวที
ถึงแม้จะไม่ได้เดินสายดนตรีร็อกล้วนๆ แต่ฉินฮั่นหยางก็ทำให้วงเฮสิเทชั่นมีชื่อเสียงนำคนอื่นในแวดวงนี้ และเนื่องจากเขาเป็นเพื่อนกับต้าเจียง ดังนั้นเขาจึงถูกเชิญมา
ต้าเจียงเปิดขวดเบียร์ยื่นให้ฉินฮั่นหยาง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ขึ้นไปเล่นหน่อยไหม”
เขากับฉินฮั่นหยางรู้จักกันมาหลายปีแล้ว จึงเข้าใจนิสัยของคนหลัง เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องพูดจาอย่างเกรงอกเกรงใจเหมือนคนนอก
ฉินฮั่นหยางไม่อยากร้องก็ไม่เป็นไร เพราะแค่มาเที่ยวเฉยๆ
“ดึกกว่านี้หน่อยแล้วกัน…”
ฉินฮั่นหยางรับเบียร์มา ลูบท้องแล้วพูดว่า “ท้องยังอิ่มอยู่เลย ขอย่อยก่อน”
ทุกคนจึงหัวเราะขึ้นมา
ต้าเจียงหันมาคุยกับลู่เฉินบ้าง และไม่ลืมทักทายหลี่เฟยอวี่ ถึงแม้คนหลังจะเป็นเพียงผู้ช่วยของลู่เฉินเท่านั้น
ลู่เฉินรู้สึกว่าเถ้าแก่บาร์อีกาดำคนนี้เป็นคนตลกมาก ดังนั้นจึงเริ่มคุยเล่นกับอีกฝ่าย
ต้าเจียงเป็นคนจินหลิง เปิดบาร์มาหลายปีแล้ว จึงเล่าเรื่องตลกสัพเพเหระได้เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นบรรยากาศจึงปรองดองและกลมเกลียวกันมาก สมาชิกวงเฮสิเทชั่นสองสามคนก็เริ่มปล่อยตัวตามสบายและเข้ามาร่วมวงด้วย
“พี่ลู่เฉิน…”
ขณะที่คุยกันอย่างสนุกสนาน จู่ๆ ก็มีเสียงประหม่าดังมา “ช่วยเซ็นชื่อให้หน่อยได้ไหมคะ”
ลู่เฉินหันหน้าไปมอง เห็นเพียงผู้หญิงอายุสิบแปดสิบเก้าสองคนปรากฏตัวอยู่ข้างๆ เขา กำโทรศัพท์ที่อยู่ในมือแน่น ใช้สายตาที่เปี่ยมไปด้วยการรอคอยมองมาที่ตัวเขา พร้อมกับสีหน้าเขินอายและกังวล
เห็นได้ชัดว่าสองคนนั้นไม่ใช่นักร้องเพลงร็อกหรือแฟนเพลง ดูแล้วน่าจะถูกเพื่อนลากมาดูความสนุกคึกคักมากกว่า
บาร์อีกาดำแท้จริงแล้วมีความคล้ายคลึงกับบาร์แห่งหนึ่งที่โฮ่วไห่มาก ลูกค้าเป็นคนวงในเสียมากกว่า เป็นศูนย์รวมนักร้องใต้ดินกลุ่มหนึ่ง การใช้จ่ายไม่สูงบรรยากาศมีเอกลักษณ์ เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างลึกลับในสายตาของคนทั่วไป
การที่พาผู้หญิงมาสัมผัสบรรยากาศที่นี่ อันที่จริงก็เป็นเรื่องแปลกใหม่มาก เป็นการเพิ่มระดับความโก้เช่นกัน
คนในแวดวงเล็กๆ แห่งนี้ไม่ค่อยให้การต้อนรับลู่เฉินเท่าไร แต่แตกต่างจากลูกค้าที่มาดูความคึกคัก อย่างเช่นผู้หญิงสองคนที่อยู่ตรงหน้า หากไม่ใช่แฟนคลับตัวจริงของลู่เฉิน อย่างนั้นก็เป็นกลุ่มที่ไล่ตามดารา
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ได้ครับ เซ็นตรงไหนครับ”
ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับตัวจริงหรือแฟนคลับขาจร เขาก็ปฏิบัติตัวกับแฟนคลับด้วยความเป็นมิตรและจิตใจดีมาตลอด ไม่เคยชักสีหน้าหรือวางตัวโอ้อวด
อย่างเรื่องที่เจอแฟนคลับขอลายเซ็น ลู่เฉินก็พยายามตอบสนองอย่างเต็มที่
ผู้หญิงสองคนนั้นแปลกใจมาก แต่ก็มีความตื่นเต้นดีใจเพิ่มขึ้นมา รีบยืมปากกาจากพนักงานทันที
หลังจากได้ลายเซ็นเรียบร้อยแล้ว ผู้หญิงหนึ่งคนในนั้นก็พูดอย่างใจกล้า “พี่ลู่เฉิน หนูชอบดูละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’มากที่สุดเลยค่ะ พี่แสดงบทอิ่นจวิ้นซีได้ดีมากจริงๆ ค่ะ!”
ลู่เฉินยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณครับ”
ผู้หญิงคนนั้นอาศัยโอกาสร้องขอ “พี่ลู่เฉิน หนูขอถ่ายรูปกับพี่ได้ไหมคะ”
ลู่เฉินพยักหน้าแล้วลุกขึ้น
ผู้หญิงคนนั้นดีใจมากกับเรื่องที่คาดไม่ถึง รีบยื่นโทรศัพท์ให้เพื่อน จากนั้นก็คล้องแขนของเขา
แถมยังเอียงศีรษะไปซบไหล่ของลู่เฉินอีกด้วย
ถ่ายรูปเสร็จ เพื่อนของเธอก็อิจฉาตาร้อน อยากจะถ่ายรูปด้วยเหมือนกัน
ลู่เฉินจึงต้องเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากสักครั้ง ปล่อยให้ผู้หญิงสองคนถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ทำให้พวกเธอพอใจสุดๆ
แฟนคลับขาจรจึงกลายเป็นแฟนคลับตัวจริง!
ตอนที่ลู่เฉินนั่งลงอีกครั้ง ฉินฮั่นหยางก็พูดพลางถอนหายใจกับต้าเจียง “ต้าเจียง ตอนนี้พวกเราแก่แล้วจริงๆ อยากจะหลอกสาวๆ ก็หลอกไม่ได้ หากเป็นเมื่อก่อน…เฮ้อ!”
ผู้หญิงทั้งสองคนมัวแต่สนใจถ่ายรูปและพูดคุยกับลู่เฉิน ไม่สนใจวงเฮสิเทชั่นที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างสิ้นเชิง
การพูดหัวเราะเยาะตัวเองของฉินฮั่นหยางทำให้ทุกคนหัวเราะฮ่าๆๆ
ลู่เฉินก็หัวเราะ
ตอนที่ดนตรีร็อกของประเทศกำลังโด่งดัง นักร้องเพลงร็อกมีความเท่เป็นอย่างมาก ไว้ผมยาวสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาดๆ ก็สามารถทำให้สาวๆ มากมายหลงเสน่ห์ได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะสาวอินดี้พวกนั้น
ตอนนี้สไตล์การแต่งตัวส่วนใหญ่เป็นสไตล์ฮิปฮอป แมชต์กับเครื่องประดับวิบวับประเภทต่างๆ
ยุคของดนตรีร็อกผ่านไปนานแล้ว มีแค่สถานที่อย่างบาร์อีกาดำที่ยังรักษาแวดวงเล็กๆ นี้เอาไว้ได้ เกาะกลุ่มกันนึกถึงช่วงเวลาที่เคยรุ่งโรจน์ในอดีต
แต่อย่างฉินฮั่นหยางพูด เขาคือคนที่เดินออกมาแล้ว ไม่นับว่าเป็นคนในแวดวงนี้ได้อย่างสมบูรณ์
คาดว่าเป็นผลจากการเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้หญิงสองคนเมื่อครู่นี้ จากนั้นผู้หญิงอีกสองสามคนก็วิ่งเข้ามาขอลายเซ็นและถ่ายรูปอีกแล้ว โต๊ะของพวกเขาจึงกลายเป็นจุดสนใจของบาร์
เสียงแอบกระซิบคุยกันก็ดังขึ้น ส่วนใหญ่จะต่อว่าลู่เฉิน
ในบาร์อีกาดำ สาวบริสุทธิ์สดใสเป็นทรัพยากรที่ขาดแคลนและมีน้อย แต่ทั้งหมดล้วนเข้าไปใกล้ชิดกับลู่เฉิน
แล้วนักร้องคนอื่นจะไม่เจ็บปวดใจได้อย่างไร
ดังนั้นบรรยากาศจึงเริ่มผิดปกติ
ฉินฮั่นหยางสังเกตเห็นสายตาที่ผิดปกติโดยรอบ เขาจึงครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพูดกับสมาชิกวงเฮสิเทชั่นทันที “ไป พวกเราขึ้นไปเล่นสักเพลงสองเพลง!”
ความจริงเวลานี้ลู่เฉินคิดจะกลับแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ตัวเองถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์
แต่ฉินฮั่นหยางกำลังจะร้องเพลงบนเวที เขาจะหนีตอนนี้ไม่ได้ จึงได้แต่นั่งต่อไป
การขึ้นมาบนเวทีของวงเฮสิเทชั่น ทำให้ความสนใจของทุกคนถูกย้ายมาที่นี่
ไม่ว่าจะเป็นโฮ่วไห่ในปักกิ่ง หรือว่าบล็อก 1912 ในจินหลิง วงเฮสิเทชั่นก็คือตำนาน จากวงที่ไม่มีใครรู้จักจนดังทั่วประเทศในคืนเดียว เรื่องราวของวงนี้ถูกกล่าวอย่างแพร่หลายไปทั่ววงการ
ทุกคนเคยฟังเพลงของวงเฮสิเทชั่น แต่คนที่ได้ฟังการร้องสดจริงๆ กลับมีไม่เยอะ
เพราะฉะนั้นเพิ่งจะปรากฏตัวบนเวที พวกเขาก็ได้รับเสียงปรบมือและโห่ร้องอย่างคึกคัก แถมยังมีเสียงกรี๊ดอีกด้วย
ฉินฮั่นหยางกอดกีตาร์ไฟฟ้านั่งบนเก้าอี้ เขาลองเสียงก่อน จากนั้นก็ยื่นมือไปปรับระดับความสูงของไมค์อีกครั้ง ก่อนจะเคลียร์ลำคอให้โล่งแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ดีใจมากที่ได้กลับมาที่บาร์อีกาดำอีกครั้ง ตอนนั้นผมออกจากที่นี่แล้วไปปักกิ่ง เผลอแป๊บเดียวก็สิบกว่าปีแล้ว!”
“มีเพื่อนบางคนที่ยังอยู่ มีเพื่อนบางคนที่จากไปไกลแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง คืนนี้ได้มารวมตัวอยู่ที่นี่ นั่นคือพรหมลิขิตของพวกเรา จึงอยากจะร้องสักเพลงสองเพลง หวังว่าทุกคนจะชอบนะครับ”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของเขา เสียงปรบมือร้องว่าเยี่ยมพลันระเบิดขึ้นมา กระทั่งมีหลายคนลุกขึ้นยืนปรบมือ
ฉินฮั่นหยางยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนสงบ แล้วพูดต่อว่า “ขอบคุณต้าเจียงที่ให้โอกาสนี้กับผม และก็ขอบคุณลู่เฉินที่แต่งเพลงที่ดีแบบนี้”
“เพลงแรก ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ขอมอบให้แก่ทุกคน!”
พอขึ้นมาก็ร้องเพลงที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงทันที บรรยากาศภายในบาร์จึงถูกจุดไฟให้ลุกโชนขึ้นมา คึกคักจนถึงขีดสุด
“ยังจำฤดูใบไม้ผลิเมื่อหลายปีก่อน ฉันในตอนนั้นยังไว้ผมยาว…”
“แต่ฉันในตอนแรกนั้นมีความสุขมาก ถึงแม้จะมีเพียงกีตาร์ไม้เก่าๆ ตัวเดียว…”
“บนถนน ใต้สะพาน ในทุ่งนาก็ยังร้องเพลงที่ไม่มีใครสนใจ!”
เพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ฉินฮั่นหยางร้องมาหลายรอบแล้ว เขาร้องได้อย่างคล่องแคล่ว และความเข้าใจในเพลงนี้ของเขา ก็บรรลุถึงระดับที่ลึกซึ้งที่สุดแล้ว
มีบางคนไม่รู้ กระทั่งคิดว่า ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ก็คือประสบการณ์ชีวิตของฉินฮั่นหยาง เป็นผลงานสร้างสรรค์ของเขา
นักร้องหลายคนก็เคยร้องคัฟเวอร์เพลงคลาสสิคเพลงนี้ แต่น้อยคนนักที่สามารถร้องเข้าถึงรสชาติที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนของเพลงนี้ได้
นี่คือผลงานเพลงของคนที่ผ่านโลกมาเยอะถึงขีดสุด
การกลับมาจินหลิงอีกครั้ง ได้กลับมาที่บาร์อีกาดำ ได้กลับมายังสถานที่เริ่มต้นความฝันของตัวเอง…
ฉินฮั่นหยางใส่ความรู้สึกเข้าไปในเพลง ยิ่งร้องก็ยิ่งเข้มข้น ราวกับสุราเลิศรสที่เก็บมานานแรมปี
มีหลายคนที่อยู่ในบาร์ ฮัมเพลงเสียงเบาหรือไม่ก็ร้องตามเงียบๆ เหมือนดั่งการแสวงบุญ
ตอนที่ฉินฮั่นหยางร้องเพลงจบ เกือบทุกคนลุกขึ้น ปรบมือ และส่งเสียงเชียร์!
รวมทั้งลู่เฉินด้วย
ตอนนั้นเขามอบเพลงนี้ให้กับวงเฮสิเทชั่น เป็นความถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ฉินฮั่นหยางก็ร้องเพลง ‘บินให้สูงขึ้น’ อีก
เพลงนี้ลู่เฉินร้องเป็นครั้งแรกในรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ หลังจากนั้นเขาก็มอบสิทธิ์ให้วงเฮสิเทชั่นนำไปร้องคัฟเวอร์ เนื่องจากฝ่ายหลังออกซิงเกิล จึงกลายเป็นหนึ่งในผลงานเพลงที่ยอดเยี่ยมของวงเฮสิเทชั่น
มันก็ได้รับความชื่นชอบจากทุกคนเช่นกัน
ฉินฮั่นหยางใช้ผลงานสองเพลงนี้มาบอกทุกคนว่า ลู่เฉินมีความสามารถที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร!
รอจนกระทั่งเสียงปรบมือสงบลง ฉินฮั่นหยางจึงกล่าวว่า “ขอขอบคุณลู่เฉินที่แต่งผลงานเพลง ‘บินให้สูงขึ้น’ เขาเป็นนักร้องนักแต่งเพลงที่เก่งมากคนหนึ่ง ต่อไปขอเชิญเขามาร้องให้พวกเราฟังสักเพลงนะครับ!”
ครั้งนี้เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง มีความจริงใจและคึกคักมากกว่าเดิม
ไม่ว่าจะมีอคติใดๆ ก็ยากที่ใครจะไม่ยอมรับความสามารถของลู่เฉิน ต่อให้ไม่ชอบนักร้องเพลงบัลลาด ก็ยากที่จะมองข้ามอิทธิพลของลู่เฉินที่มีต่อวงการเพลงป็อปในทุกวันนี้
ถึงแม้จะอยู่ในแวดวงของดนตรีร็อก ชื่อของลู่เฉินก็ยังโด่งดังเหมือนเดิม ทว่าคนบางคนเลือกที่จะมองข้าม
พวกเขากระทั่งคิดว่าเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ไม่ใช่เพลงร็อกอย่างแท้จริง
เวลานี้ตอนนี้ภายในบาร์อีกาดำ ก็มีคนที่ชอบโอ้อวดทำตัวโอหังเช่นนั้นอยู่ด้วย กำลังใช้สายตาที่ซับซ้อนจ้องมองลู่เฉินที่อยู่บนเวที อยากจะฟังว่าเขาจะร้องเพลงอะไร
เพลง ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ หรือเพลง ‘ดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนฟากฟ้าราตรี’
ล้วนเป็นเรื่องตลก มากสุดก็เพลง ‘วิ่งตามความฝันด้วยใจอันบริสุทธิ์’ ที่พอผ่านเกณฑ์
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม แม้แต่ฉินฮั่นหยางก็ยังคิดว่าลู่เฉินจะร้องเพลง ‘วิ่งตามความฝันด้วยใจอันบริสุทธิ์’ จึงพูดเบาๆ ว่า “พวกเราเคยซ้อมเพลง ‘วิ่งตามความฝันด้วยใจอันบริสุทธิ์’ ดนตรีประกอบไม่มีปัญหา!”
ได้กลับมาในแวดวงที่เคยภาคภูมิใจและคุ้ยเคยอีกครั้ง จู่ๆ ฉินฮั่นหยางก็พบว่าตัวเองเริ่มเข้ากันไม่ได้กับแวดวงนี้เล็กน้อย นักร้องเพลงร็อกรุ่นเก่าเหล่านั้นยังคงจมดิ่งรำลึกถึงช่วงเวลาที่เคยรุ่งโรจน์ในอดีตไม่คิดที่จะพัฒนาความก้าวหน้า ส่วนนักร้องเพลงร็อกวัยรุ่นที่ยังหาทางออกไม่เจอ โดยทั่วไปจะรู้สึกหุนหันพลันแล่นและกังวลใจ
มีบางคนพูดว่าดนตรีร็อกตายไปแล้ว ฉินฮั่นหยางไม่อาจปฏิเสธข้อนี้ได้ แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นมาตลอดว่า ดนตรีร็อกของประเทศจะกลับมาผงาดอีกครั้ง ขอเพียงมีคนที่สร้างผลงานเพลงแบบนี้เหมือนกับลู่เฉินอีกสองสามคน
แต่ที่น่าขำก็คือ วงการเล็กแค่นี้กลับแอบกีดกันลู่เฉิน
เนื่องจากความรักในเพลงร็อกอย่างหลงใหล และความยึดมั่นในความคิด ฉินฮั่นหยางจึงยืนให้กำลังใจลู่เฉินอยู่ที่นี่ เขาอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า ความโอหังและความดื้อรั้นของพวกเขาน่าหัวเราะขนาดไหน
ไม่ขออะไรใหม่ ไม่ขอให้เปลี่ยนแปลง ไม่ขยับไปตามเส้นชีพจรของยุคสมัย เช่นนั้นเพลงร็อกของประเทศก็จะตายจริงๆ
สิ่งที่เรียกว่ากลุ่มจินหลิง ก็คือพวกที่ดิ้นรนหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้นเอง
…………………………………………………………………………