Perfect Superstar - ตอนที่ 345 ชอบก็ดีแล้ว
ตอนที่ 345 ชอบก็ดีแล้ว
ลู่เฉินโทรศัพท์หาพี่หลี อยากจะเซ็นสัญญากับเด็กใหม่สองสามคนผ่านบริษัทเอเจนซี่ของพี่หลี
สัญญาของฟางฮุ่ย จางลี่เวย และหูหยางเนื่องจากความคิดเห็นที่แตกต่างกันทำให้เขาตระหนักว่า ถ้าอยากจะขยายมือและเท้าในวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ จะต้องหาทีมที่ไว้ใจได้ ทีมที่เรียกแล้วมา มาแล้วสามารถสู้รบไปด้วยกัน
อย่างเช่นจางลี่เวยและคนอื่นๆ หากเซ็นสัญญากับสตูดิโอลู่เฉิน เช่นนั้นปัญหาทุกอย่างก็สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องสัญญาอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะมีสัญญาอยู่แล้ว
แต่สำหรับสตูดิโอลู่เฉินในตอนนี้ จะขยายหน้าร้านของตัวเองให้ใหญ่ในทันทียังไม่ค่อยดีนัก ข้าวต้องกินทีละคำทางต้องเดินทีละก้าว เดินเร็วไปจะล้มได้ง่าย แบบนั้นก็จะหมดสวย
โชคดีที่ตอนนี้อุตสาหกรรมบันเทิงพัฒนามาก วิธีการแก้ไขปัญหามีหลายรูปแบบ วิธีที่ลู่เฉินนึกออกคือติดต่อเซ็นสัญญาผ่านบริษัทเอเจนซี่ของพี่หลี แบ่งปันผลประโยชน์ในสัญญาร่วมกัน โดยให้คนหลังเป็นตัวแทนรับผิดชอบงานประจำวัน หากสตูดิโอมีความต้องการก็ค่อยจัดคนไปช่วย
ในวงการนี้มีตัวอย่างให้ปฏิบัติตามมากมาย และเหมาะสมกับสถานการณ์ของสตูดิโอในขณะนี้มาก
พี่หลีทำงานในวงการบันเทิงมานานหลายปี มีสายสัมพันธ์มากมายไม่ขาดแคลน ประสบการณ์ก็มีเยอะแยะ การร่วมงานกับบริษัทเรนโบว์เอเจนซี่คือการร่วมมือกันที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายนั้นดีมาก พี่หลียังรับผิดชอบตำแหน่งผู้อำนวยการของมูลนิธิกองทุนการกุศลเฉินเฟยอีกด้วย
อันที่จริงถ้าอยากจะดึงคนเข้ามา ด้วยชื่อเสียงของลู่เฉินในตอนนี้ บวกกับความสำเร็จของละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’หากต้องการจะดึงคนมาจากบริษัทเอเจนซี่นั้นง่ายมาก เพราะมีนักแสดงบางคนสมัครใจอยากจะปีนให้สูงขึ้นอยู่แล้ว
ในความเป็นจริงนั้นช่วงนี้มีคนเข้ามาเสนอตัวไม่น้อย แต่อย่างแรกลู่เฉินยังไม่ค่อยพอใจศิลปินเหล่านี้มากนักอย่างที่สองเขาไม่คิดที่จะเลื่อยขาเก้าอี้คนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นเขาอยากจะค้นหาคนที่เหมาะสมด้วยตัวเองมากกว่า
เมื่อพี่หลีทำความเข้าใจความคิดของลู่เฉินแล้ว ก็ยกสองมือชื่นชม “ไม่มีปัญหาเลย อยากจะร่วมงานยังไงพูดมาเลย ยังไงพวกเราทุกคนก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”
เธอเป็นคนตรงไปตรงมาและใจกว้างเสมอ คนที่คบเป็นเพื่อนต่อให้ต้องเสียเปรียบเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร
ลู่เฉินจะให้เธอเสียเปรียบได้อย่างไร “ผมเชื่อใจพี่หลีครับ”
อย่ามองว่าภายนอกของพี่หลีเหมือนคนไม่สนใจอะไร แต่ความเป็นจริงนั้นความคิดของเธอละเอียดอ่อนมาก จึงถามด้วยความห่วงใยว่า “เสี่ยวลู่ จู่ๆ นายก็โทรมาหาฉัน มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
ลู่เฉินก็ไม่ได้ปิดบังเธอ จึงเล่าเรื่องการเซ็นสัญญาให้เธอฟังอีกรอบ
พี่หลีฟังจบแล้วจึงกล่าวว่า “ความจริงเธอมีความต้องการแบบนี้ก็ธรรมดา ผู้จัดการส่วนตัวมีข้อเสนอแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ฉันมั่นใจว่า ถ้าเธอยอมทิ้งละครใหม่ของนาย จะต้องเสียใจในภายหลังแน่นอน!”
“ส่วนผู้กำกับละคร ฉันรู้จักอยู่หลายสิบคน จะต้องหาคนที่นายพอใจได้แน่ แล้วก็เด็กใหม่…”
“ที่วิทยาลัยการแสดงกับวิทยาลัยภาพยนตร์มีเด็กใหม่ที่ดีหลายคน เอาเป็นว่าฉันจะไปดูเป็นเพื่อนนายดีไหม”
ลู่เฉินรู้สึกใจเต้นขึ้นมา
วิทยาลัยการแสดงก็คือวิทยาลัยการแสดงแห่งชาติจีน วิทยาลัยภาพยนตร์ก็คือวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่ง ยังมีมหาวิทยาลัยการสื่อสารมวลชนแห่งประเทศจีนอีกแห่งหนึ่ง ทั้งสามสถาบันนี้เป็นแหล่งฝึกอบรมคนเก่งมีความสามารถสำหรับวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ในเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศจีน ตามประวัติที่ผ่านมามีผู้กำกับและนักแสดงที่มีชื่อเสียงปรากฏขึ้นมาจากที่เหล่านี้อย่างไม่ขาดสาย ดาราดังระดับโลกก็ไม่ขาดแคลน
โดยเฉพาะวิทยาลัยการแสดง ทุกครั้งที่มีการจัดงานเลี้ยงสมาคมศิษย์เก่าหรืองานเลี้ยงสถาปนาสถาบัน ก็จะมีดาราดังมาร่วมงานคับคั่งมากกว่าเทศกาลภาพยนตร์เสียอีก และมีอิทธิพลมากในแถบเอเชีย
บริษัทภาพยนตร์โทรทัศน์มากมายก็ชอบมาหาเด็กใหม่ที่เป็นต้นกล้าที่ดีในวิทยาลัยการแสดงหรือวิทยาลัยภาพยนตร์เช่นกัน นักศึกษาในสถาบันมีให้เลือกมากมายนับไม่ถ้วน มีระบบการอบรมแบบมืออาชีพ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือค่าตอบแทนต่ำมาก
การคัดเลือกคนในวิทยาลัยการแสดงและวิทยาลัยภาพยนตร์ มีความน่าเชื่อถือและดีกว่าการเลื่อยขาคนอื่น ทั้งยังไม่ต้องทะเลาะกันอีกด้วย
เขาจึงรับปากทันที
พี่หลีมีเส้นสายอยู่ในสามสถาบันนี้ และเคยไปคัดเลือกคนที่วิทยาลัยการแสดงไม่ใช่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นจึงนัดเวลากับลู่เฉิน
ก๊อกๆ!
ลู่เฉินเพิ่งจะวางโทรศัพท์ ประตูห้องก็ถูกคนเคาะเบาๆ
เขาเอ่ยว่า “เชิญเข้ามาครับ”
ประตูถูกผลักออก สาวน้อยคนหนึ่งที่ถือของขวัญอยู่ในมือมายืนอยู่ตรงหน้า และกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่สดใส “พี่ลู่เฉิน!”
ลู่เฉินรู้สึกเซอร์ไพรส์ “เสี่ยวชูเธอมาได้ยังไง รีบเข้ามานั่งเร็ว”
สาวน้อยน่ารักที่สวมชุดกระโปรงสีขาวลายดอกไม้คนนี้ก็คือมู่เสี่ยวชู สมาชิกของวงเอ็มเอสเอ็นวงเกิร์ลกรุ๊ปที่โด่งดังอยู่ในตอนนี้
มู่เสี่ยวชูเดินเข้ามาแล้วนำของขวัญวางไว้บนโต๊ะ พลางเอ่ยว่า “สองสามวันก่อนพวกเราไปแสดงคอนเสิร์ตที่นอกเมืองค่ะ เลยมางานเลี้ยงย้ายบ้านของพี่ลู่เฉินไม่ทัน ของขวัญชิ้นนี้คือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของฉันค่ะ”
ลู่เฉินยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ทำไมต้องเกรงใจกันด้วย พวกเธอส่งกระเช้าดอกไม้มาให้แล้วไม่ใช่เหรอ”
มู่เสี่ยวชูย่นจมูกเล็กน้อยและพูดว่า “นั่นบริษัทเป็นคนจัดการค่ะ นี่คือของฉันเอง ไม่เหมือนกันค่ะ!”
ลู่เฉินยิ้ม “งั้นก็ขอบใจนะ”
มู่เสี่ยวชูเป็นฝ่ายเสนอตัว “ฉันจะช่วยแกะให้พี่นะคะ ฉันซื้อมาจากเซินไห่ เถ้าแก่ร้านบอกว่านำเข้ามาจากเนเธอร์แลนด์ค่ะ…”
เธอแกะห่อของขวัญออก ด้านในเป็นเรือในขวดแก้ว
ขวดแก้วที่วางอยู่บนชั้นวางใสพร่างพราวไร้ที่ติ เรือภายในขวดเป็นงานฝีมือที่ละเอียดและประณีตมาก มองเห็นได้ชัดเจน ต้องเป็นงานฝีมือของคนที่มีความชำนาญสูงถึงทำออกมาได้เช่นนี้
เรื่องราคายังไม่ต้องพูดถึง เรือในขวดแก้วมีความหมายว่าขออวยพรให้ราบรื่น มู่เสี่ยวชูเลือกของขวัญชิ้นนี้มีความใส่ใจอย่างเห็นได้ชัด
ลู่เฉินอุทาน “สวยมากจริงๆ!”
มู่เสี่ยวชูยิ้มตาหยี “พี่ชอบก็ดีแล้วค่ะ”
ลู่เฉินถามสถานการณ์ในช่วงนี้ของเธอ จะว่าไปแล้วทั้งสองคนก็ไม่ได้เจอหน้ากันพักหนึ่ง…ทุกคนต่างยุ่ง
หลังจากสร้างวงเอ็มเอสเอ็นขึ้นมา มู่เสี่ยวชูก็ดรอปเรียนอย่างเป็นทางการ เดิมทีเธอเรียนหนังสืออยู่ที่วิทยาลัยภาษาต่างประเทศกรุงปักกิ่ง ทว่าการเรียนกับหน้าที่การงานไม่สามารถทำควบคู่กันได้ สุดท้ายเธอจึงเลือกงาน
‘ยังไม่ใช่คนรัก’ อัลบั้มแรกของวงเอ็มเอสเอ็นขายดีมาก ทำให้ความนิยมของสาวสวยทั้งสามคนเพิ่มขึ้นกะทันหัน ต้องออกรายการโชว์ประจำ งานแสดงคอนเสิร์ตและงานพรีเซ็นเตอร์ชุกมาก ตารางงานรายวันถูกจัดถึงครึ่งปีหลังของปีนี้แล้ว!
ปัจจุบันวงเกิร์ลกรุ๊ปของจีนมีมากกว่ายี่สิบวง เอ็มเอสเอ็นถึงแม้จะไม่สามารถเปรียบเทียบกับวงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังเจ้าเก่าสองสามวงได้ แต่แนวโน้มที่จะไล่ตามทันนั้นชัดเจนมาก ทางเฟยสือเรคคอร์ดจึงตั้งใจฝึกอบรมวงเอ็มเอสเอ็นให้เป็นหนึ่งในเสาหลักของบริษัท
เมื่อเป็นเช่นนี้ งานของมู่เสี่ยวชูกับการใช้ชีวิตจึงมีแรงกดดันมาก เมื่อวานเธอเพิ่งจะกลับมาถึงเมืองหลวง วันนี้กว่าจะปลีกเวลามาส่งของขวัญที่นี่ได้ก็ไม่ง่าย ที่มาได้เพราะว่าอยู่ใกล้กันมาก
แม่ของเธอก็สงสารเธอที่ผอมลงตั้งสองสามกิโลกรัม…
มู่เสี่ยวชูพูดเยอะ ลู่เฉินฟังเยอะกว่า รู้สึกเหมือนน้องสาวของตัวเองกำลังเล่าเรื่องทั่วไปให้เขาฟัง พูดเรื่องสุขและเรื่องทุกข์ ทั้งยังพูดเรื่องในใจอีกด้วย ผ่อนคลายและอบอุ่นมาก
พูดคุยกันได้หนึ่งชั่วโมงกว่า จนกระทั่งคนของสตูดิโอมาหาลู่เฉินให้เซ็นซื่อ มู่เสี่ยวชูจึงตกใจ
“อ้าว สิบโมงกว่าแล้ว ฉันต้องกลับแล้วค่ะ พี่ลู่เฉินทำงานต่อนะคะ บ๊ายบายค่ะ!”
เธอเหมือนกระต่ายน้อยขี้ตกใจวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เฉินยิ้มพลางส่ายหน้า นำเรือในขวดแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะย้ายไปวางบนชั้นวางของโชว์ในตู้หนังสือ
…………………………………………………………………………