Perfect Superstar - ตอนที่ 43 กลายเป็นตำนาน
ตอนที่ 43 กลายเป็นตำนาน
“เสี่ยวลู่สุดยอด!” บรรณาธิการเว็บไซต์คนหนึ่งพูดขึ้น
“เพลงของเสี่ยวลู่ไม่เลว!” เถ้าแก่บาร์มีชื่อเสียงคนหนึ่งพูดตาม
“เสี่ยวลู่หล่อมาก!” พิธีกรสาวสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งก็พูดด้วย
“เสี่ยวลู่…”
ภายในโซนวีไอพีชั้นบนของบาร์บลูโลตัส จู่ๆ ก็กลายเป็นฟาร์มเลี้ยงกวางทันที เสียงปรบมือทักทาย ‘กวางน้อย’ ‘กวางน้อย’[1] อย่างอบอุ่นดังติดต่อกันไม่หยุด
ลู่เฉินได้รับการแนะนำจากเถ้าแก่สองคนอย่างฉางเหว่ยและเฉินเจี้ยนหาว จึงรู้จักบุคคลในวงการที่อยู่ในงานจำ นวนไม่น้อย เขาและพวกเธอล้วนได้รับการเชิญจากบริษัทชิงอวี่มีเดียและบาร์บลูโลตัส ทุกคนมีตำแหน่งและชื่อเสียงในธุรกิจของแต่ละคน
ไม่ว่าจะเป็นด้วยความจริงใจหรือเสแสร้ง พวกผู้อาวุโสที่อยู่ในวงการต่างก็แสดงความเป็นมิตรและชื่นชมลู่เฉินมาก
น้อยมากที่คนใหม่เพิ่งเข้าวงการจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้!
แต่ผลงานของลู่เฉินทำให้คนต้องทึ่ง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีประวัติและฐานะอย่างไร แต่มารยาทของเขานั้นดีไร้ซึ่งที่ติ พบปะผู้คนในสังคมด้วยความถ่อมตัวและสุภาพ มาดสุขุมเยือกเย็นและสง่าทำให้ฉางเหว่ยแอบสงสัย
ฉางเหว่ยได้รับคำอธิบายจากปากของเฉินเจี้ยนหาวว่าบ้านของลู่เฉินฐานะไม่ดี แต่สังเกตจากท่าทีของลู่เฉิน เขาไม่น่าจะใช่เด็กที่มาจากบ้านที่มีฐานะธรรมดาอย่างแน่นอน เนื่องจากบุคลิกลักษณะและอุปนิสัยใช่ว่าจะสามารถแสร้งทำออกมาได้
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในวงการมานาน กับดวงตาที่เฉียบคมคู่นั้นของฉางเหว่ย เขาก็ยังมองไม่ออกถึงความตื้นลึกของลู่เฉิน เขาจึงกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับการพูดคุยที่กำลังจะเกิดขึ้น
“นี่คือผู้จัดการต่ง ผู้จัดการใหญ่ต่งอวี่ของบริษัทชิงอวี่มีเดีย!”
คนที่ถูกแนะนำคนสุดท้ายคือผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าฤดูร้อนของพราด้า ทั้งรูปร่างและหน้าตาของเธอ รวมทั้งแว่นตากรอบสีดำที่สวมใส่ ทำให้ในหัวของลู่เฉินพลันนึกถึงตัวหนังสือสีทองขนาดใหญ่สองตัวว่า ‘สาวเนิร์ด’
“สวัสดีครับผู้จัดการต่ง”
ลู่เฉินจับมือเรียวยาวของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วพูดอย่างมีมารยาทว่า “ขอบคุณครับ!”
ต่งอวี่มองหนุ่มหล่อที่อยู่ตรงหน้าตัวเองด้วยความสนใจ ยิ้มบางพลางพูด “ไม่เป็นไรค่ะ”
ลู่เฉินขอบคุณที่บริษัทชิงอวี่มีเดียเป็นคนออกเงินจัดงานเทศกาลคาร์นิวัลไนท์ในครั้งนี้ ให้โอกาสเขาได้มายืนบนเวที ร้องเพลงที่อยู่ในฝันต่อหน้าผู้คนนับพัน
หางตาของเขาเหลือบมองซูชิงเหมยที่นั่งอยู่ไม่ไกลและแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
ฉางเหว่ยพูดได้จังหวะพอดี “พวกเราทุกคนเข้าไปคุยกันข้างในกันเถอะ”
การแสดงด้านนอกยังคงดำเนินต่อไป เสียงดังรบกวนไม่เป็นผลดีต่อการสนทนา ดังนั้นทุกคนจึงเดินเข้าไปในบาร์
พวกเขาเลือกโต๊ะเหล้าที่ใหญ่ที่สุด คนที่นั่งลงนอกจากลู่เฉินแล้ว ยังมีต่งอวี่ ฉางเหว่ย เฉินเจี้ยนหาว กานไค่ ฉินฮั่นหยาง พี่น่า รวมทั้งซูชิงเหมย
ฉินฮั่นหยางกับพี่น่ารู้ดี ถ้าหากไม่ใช่เพราะบารมีของลู่เฉิน เกรงว่าทั้งสองคนคงไม่สิทธิ์มานั่งที่นี่ เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงสั่งค็อกเทลมาดื่มไปพลาง มองตัวเองเป็นคนที่เดินผ่านมาไปพลางเท่านั้น
เหล้าและไวน์เพิ่งเข้ามาเสิร์ฟ ฉางเหว่ยก็พูดตรงประเด็นทันที
“ลู่เฉิน ผมกับผู้จัดการต่งสนใจเพลงต้นฉบับสองเพลงที่คุณร้องในคืนนี้มาก ไม่ทราบว่าคุณจะยอมขายให้พวกเราไหมครับ”
เดิมทีเขาไม่อยากออกตัวรีบร้อนขนาดนั้น แต่ลู่เฉินนิ่งมาก ทำให้เขายอมทิ้งความคิดพวกนั้นไป
แล้วจึงพูดออกมาตามตรง!
ลู่เฉินแววตาเป็นประกายแวบหนึ่ง ยิ้มพูดว่า “ในเมื่อคุณฉางกับคุณต่งชอบ ผมก็ยอมขายครับ ไม่ทราบว่าทั้งสองคนยอมซื้อค่าลิขสิทธิ์เท่าไรครับ”
ฉางเหว่ยกับต่งอวี่มองหน้ากัน แววตาของทั้งสองคนเผยความประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
ลู่เฉินไม่เหมือนเด็กที่เพิ่งเข้าสังคมอย่างสิ้นเชิง เขาสงบนิ่งเกินความคาดหมายของทุกคน!
ต่งอวี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงชูนิ้วขาวเรียวยาวสองนิ้วขึ้นมา พูดว่า “ทั้งสองเพลง สองแสน!”
เพลงละหนึ่งแสน ต่อให้เป็นเนื้อร้องและทำนองทั้งหมดก็เหมือนเป็นการปฏิบัติกับคนที่มีชื่อเสียง พูดได้ว่าจริงใจอย่างยิ่ง
เดิมทีต่งอวี่ไม่คิดเสนอราคาที่สูงขนาดนี้ แต่ท่าทางของลู่เฉินทำให้เธอเปลี่ยนความคิด เสนอไพ่ใบสุดท้ายของตัวเองออกมา เพื่อลองดูผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น
สำหรับคนใหม่แล้ว ราคาแบบนี้ไม่เพียงแต่เป็นผลประโยชน์ที่แท้จริง แต่ยังช่วยยกระดับฐานะของตัวเองอีก!
ขอแค่ลู่เฉินเซ็นสัญญาโอนลิขสิทธิ์ เขาก็จะมีคุณสมบัติเป็นหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงแล้ว
หรือจะพูดว่าเฟื่องฟูขึ้นมาในพริบตาเดียวก็ได้!
ทว่าลู่เฉินไม่ได้เผยสีหน้าตื่นเต้นออกมาสักนิด ราวกับว่าราคานี้ก็เป็นเหมือนที่เขาคาดคิดเอาไว้ สีหน้าที่เฉยชาทำให้ต่งอวี่รู้สึกว่ากำลังชกหมัดเต็มแรงอยู่กลางอากาศ
บรรยากาศบนโต๊ะพลันเปลี่ยนเป็นอึมครึมเล็กน้อย
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ลู่เฉินจึงพูดว่า “เดอะบลูโลตัสสองแสน นอกจากสิทธิ์ในการลงนามทรัพย์สินทางปัญญาแล้วอย่างอื่นสามารถโอนได้ครับ!”
สองแสนต่อหนึ่งเพลง!
ลู่เฉินเพิ่มราคาอีกหนึ่งเท่า!
“สองแสนเรอะ”
ซูชิงเหมยที่นั่งอยู่ข้างๆ ต่งอวี่จึงทนไม่ไหวในที่สุด แล้วจึงพูดเสียงดังออกมาว่า “คุณคิดว่าคุณเป็นเสวี๋ยนชิงอีเหรอ”
เสวี๋ยนชิงอีเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากในประเทศ เป็นนักแต่งเพลงชั้นนำ เคยแต่งเพลงให้กับนักร้องระดับดีวาออกอัลบั้มมากมาย และมีผลงานเพลงคลาสสิคที่เป็นประวัติการณ์ไม่น้อย
ราคาสองแสนเชิญเขาออกงานไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าอยากจะสร้างความสัมพันธ์ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
บางทีเนื่องจากลู่เฉินเจอปัญหาหลายด้านจึงรู้ซึ้งถึงคุณค่าของเงิน ตอนนี้ซูชิงเหมยมองลู่เฉินอย่างขัดหูขัดตา และสองแสนไม่ใช่เงินสิบเท่าที่เธอซื้อเพลงของลู่เฉินหรอกเหรอ แบบนี้มันตบหน้ากันชัดๆ!
คุณหนูซูอย่างฉันเป็นคนที่ถูกรังแกง่ายขนาดนั้นเรอะ
ลู่เฉินยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงคำรามของผู้อำนวยการซูอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเป็น ‘เดอะบลูโลตัส’ หรือว่า ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ เขาตั้งใจจะขายในคืนนี้อยู่แล้ว
ลู่เฉินขาดเงินมาก มากถึงมากที่สุด หนี้ก้อนโตที่เป็นเหมือนภูเขาลูกใหญ่กดทับเขาและครอบครัว ทำให้ทุกคนหายใจแทบไม่ออก
เขาอยากให้แม่ พี่สาวและน้องสาวของตัวเองใช้ชีวิตที่สบายและมีความสุข การหยิบทรัพย์สินที่อยู่ในความฝันออกมาขายบางส่วนคือทางลัดที่เร็วที่สุด สะดวกที่สุด และง่ายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่จะขายก็ต้องพิถีพิถันหน่อย ถ้าหากลู่เฉินเอาทำนองดนตรีที่ซ้อนทับเป็นชั้นๆ ไปขายให้กับคนอื่นหรือบริษัทบันเทิงอะไร ผลที่ได้ก็คงเป็นแค่การนำทองคำไปแลกขายเป็นทองแดง เพราะอีกฝ่ายคงไม่สามารถให้ราคาสูงได้
ลู่เฉินไม่ได้โง่ขนาดนั้น
สิ่งที่เขาทำคือ พิสูจน์ให้คนอื่นเห็นคุณค่าผลงานของตัวเองต่อทุกคนก่อน จากนั้นจึงค่อยพูดเรื่องราคา
อยากซื้อก็ต้องเสนอราคา!
อยากได้ของถูก ฝันไปเถอะ!
ลู่เฉินในตอนนี้มีความมั่นใจแบบนี้ ต่อให้บริษัทชิงอวี่มีเดียไม่ต้องการก็ยังมีคนอื่นที่สนใจ
อย่างเช่นกานไค่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉางเหว่ยก็เผยสีหน้าตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้ลู่เฉินจะไม่รู้ว่าหัวหน้าวงจื่อเป่ยเจิน ได้ถูกตัวเองโจมตีจนสูญเสียความมั่นใจในการขึ้นเวที แต่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องยอมเอาเงินที่สะสมออกมาเพื่อแลกกับเพลงที่ดีอย่างแน่นอน
ส่วนฉางเหว่ยนั้น เพลง ‘เดอะบลูโลตัส’ ก็เข้ากับบาร์บลูโลตัสมากจริงๆ!
ต่งอวี่ยื่นมือตบไหล่ซูชิงเหมย แล้วถามด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า “แล้วอีกเพลงล่ะ คุณจะร้องเองเหรอ”
ในสายตาของเธอ เพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ มีมูลค่ากว่าเพลง ‘เดอะบลูโลตัส’ มาก
“ไม่ครับ!”
ลู่เฉินส่ายหน้าอย่างไม่คาดคิดแล้วพูดว่า “เพลงในฤดูใบไม้ผลิไม่เหมาะสมกับการร้องของผม ดังนั้นผมเตรียมจะขายมันให้เถ้าแก่ของผมครับ ผมอยากมอบเพลงนี้ให้กับวงเฮสิเทชั่นของพี่ต้าฉินซึ่งน่าจะเหมาะสมกว่า”
เขายิ้มเล็กน้อยพลางมองไปที่เฉินเจี้ยนหาวที่ทำสีหน้าตกตะลึงอยู่
อะไรนะ!
ฉินฮั่นหยางคิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะขายเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ให้กับบาร์เดย์ลิลลี่ และให้ตัวเองร้อง!
เขาเกือบจะสำลักค็อกเทลที่อยู่ในปาก หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที
เฉินเจี้ยนหาวสงบอารมณ์ ไม่ช้าก็ได้สติกลับมา พูดเสียงทุ้มว่า “ฉันซื้อไปแล้ว!”
โอกาสแบบนี้ถ้าหากพลาด เขาก็ไม่อาจอาศัยอยู่ในโฮ่วไห่ได้อีกต่อไป!
เรื่องราคาไม่ต้องพูดถึง
เพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ มีเจ้าของแล้ว แรงกดดันของต่งอวี่กับฉางเหว่ยเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน กานไค่เกือบจะลุกขึ้นพรวด
วงเฮสิเทชั่นได้เพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ ไปครอบครอง บดขยี้วงจื่อเป่ยเจินได้อย่างสบาย!
เขาอยากออกเงินซื้อเพลง ‘เดอะบลูโลตัส’ ด้วยตัวเองจริงๆ
ซูชิงเหมยกลับจ้องมองลู่เฉิน แล้วถามว่า “ในเมื่อไม่เหมาะกับคุณ แล้วคุณเขียนเพลงนี้ออกมาได้ยังไง”
ถึงแม้จะเป็นการเค้นถามเล็กน้อย แต่คำถามนี้คาดว่าทุกคนก็อยากถามเช่นกัน
เพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ นี้ไม่เหมือนเพลงที่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งจะเขียนออกมาได้จริงๆ ไม่มีประสบการณ์ที่เพียงพอ ไม่มีความสุขุมแห่งกาลเวลา แล้วจะแสดงความรู้สึกที่ผ่านโลกมามากได้อย่างไร
และเนื้อหาของเพลงดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับลู่เฉินเท่าไร
ทว่าเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่แต่งขึ้นเองจริงๆ ในเมื่อลู่เฉินกล้าเอามันออกมาขายในราคาสูง แสดงว่าไม่ต้องกลัวปัญหาเรื่องของลิขสิทธิ์ และทุกคนที่นั่งอยู่ในนี้ก็ไม่ยอมให้เกิดเรื่องที่ไม่ยุติธรรมอย่างแน่นอน
สายตาของทุกคนจ้องมองไปที่ตัวของเขา
ลู่เฉินหัวเราะเบาๆ พูดด้วยเสียงอันไพเราะว่า “ไม่นานมานี้ ผมบังเอิญได้มีโอกาส รู้จักกับนักร้องพเนจรคนหนึ่ง เขาเคยเดินทางไปยังพรมแดนธิเบต และเคยเร่ร่อนไปทั่ว…”
“เขาเหนื่อยล้า หดหู่ แต่ก็เข้มแข็งมาก”
“เขาบอกหลายสิ่งหลายอย่างกับผม และยังสอนผมอีกหลายเรื่องด้วยครับ…”
“เขาเป็นอาจารย์ของผมเองครับ!”
พอฟังลู่เฉินเล่าเรื่องจบแล้ว ทุกคนเงียบไป
ผ่านไปนานพักหนึ่ง ต่งอวี่จึงถามว่า “ลู่เฉิน คุณบอกชื่อของเขาให้ฉันได้ไหมคะ”
“สวี่ป๋อครับ…”
ลู่เฉินพูดอย่างจริงจัง “ชื่อของเขาคือสวี่ป๋อ!”
ถึงแม้ผมจะไม่สามารถเล่าความจริงกับใครได้ แต่ผมก็บอกชื่อของคุณได้ จะได้กลายเป็นตำนานของโลก!
…………………………………………………………………………
[1] คำว่า “ลู่” แปลว่า กวาง ดังนั้น “เสี่ยวลู่” จึงแปลว่า กวางน้อย