Perfect Superstar - ตอนที่ 444 ถูกจับตามองแล้ว
ตอนที่ 444 ถูกจับตามองแล้ว
นักข่าวบันเทิงของฮ่องกงกับปาปารัสซี่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของประเทศอังกฤษได้สืบทอดพฤติกรรมมาจากสำนักเดียวกัน ได้รับแก่นสารของฝ่ายหลังมาอย่างลึกซึ้ง
เนื่องจากสื่อของฮ่องกงเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเป็นยุคอินเทอร์เน็ต สื่อดั้งเดิมอย่างโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสารก็ยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม ต้องแย่งชิงทรัพยากรที่มีจำกัดในที่พื้นที่ที่จำกัด ดังนั้นปาปารัสซี่ฮ่องกงส่วนใหญ่จึงฝึกฝนความสามารถพิเศษเฉพาะตัวคอยติดตามแอบถ่าย ขุดคุ้ยเรื่องของส่วนตัวของดาราดัง
โดยเฉพาะพวกศิลปินดาราของฮ่องกง เมื่อพูดถึงปาปารัสซี่ไม่มีใครไม่เปลี่ยนสีหน้าเลย การป้องกันปาปารัสซี่เป็นทักษะขั้นพื้นฐาน หากไม่มีทักษะเหล่านี้ นอกเสียจากเป็นคนที่สะอาดไร้ราคี มิฉะนั้นก็จะถูกจัดการอย่างน่าอนาถไม่ช้าก็เร็ว
เพราะฉะนั้นจึงมีหลายคนที่ออกจากวงการบันเทิงไป ข่าวซุบซิบนินทาของโลกบันเทิงบางสำนักจึงถือกำเนิดขึ้นอย่างอึกทึกครึกโครมเพราะเหตุนี้
ก่อนจะมาฮ่องกง เพื่อนสนิทในวงการสองสามคนรวมทั้งเฉินเฟยเอ๋อร์ก็เคยเตือนลู่เฉินแล้ว บอกว่าปาปารัสซี่ฮ่องกงสุดยอดมาก จะต้องระวังให้ดี อย่าให้พวกเขาจับจุดด้อยอะไรได้
ลู่เฉินจำขึ้นใจ แต่หลังจากที่มาฮ่องกงแล้ว เขาพบว่าบรรยากาศที่นี่มีความพิเศษมาก คนที่รู้จักตัวเองมีน้อย จึงปล่อยปละละเลยพอสมควร
คิดไม่ถึงว่าไม่ทันระวังตัวก็ถูกแอบถ่ายเสียแล้ว
ความจริงเขารู้ว่าตัวเองระวังไปก็ไม่มีประโยชน์ ซูจิ้งก็ระวังมากพอแล้ว และคงคาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน
ลู่เฉินอดส่ายหน้าไม่ได้ เขายื่นมือหยิบ ‘หนังสือพิมพ์รายวันโปโล’ ฉบับนั้นลงมา “เท่าไหร่ครับ”
พนักงานร้านตอบว่า “ห้าเหมา”
‘หนังสือพิมพ์รายวันโปโล’ เป็นหนังสือพิมพ์รายวันฟรี แต่ในร้านสะดวกซื้อหรือร้านขายหนังสือพิมพ์ไม่ได้ขายฟรี เงินห้าเหมานี้ก็คือค่าตั้งแผงขายของที่สมควรได้รับอย่างสมเหตุสมผล
แต่ราคานี้ถือว่าถูกมากแล้ว ในฐานะหนังสือพิมพ์รายวัน ‘หนังสือพิมพ์รายวันโปโล’ มีมากถึงยี่สิบหน้า ใช้วัสดุอยู่ในระดับที่พอเหมาะพอดี
ลู่เฉินพอเข้าใจสื่อในฮ่องกงอยู่บ้าง รู้ว่า ‘หนังสือพิมพ์รายวันโปโล’ เป็นม้ามืดที่โผล่ขึ้นมาในวงการหนังสือพิมพ์ของฮ่องกงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยอดจำหน่ายรายวันมากกว่าหนังสือพิมพ์เจ้าเก่าแก่หลายราย สุดยอดมากๆ
เขาคิดไม่ถึงว่าตัวเองเพิ่งมาฮ่องกงสองสามวัน ก็ถูกนำไปเขียนข่าวลงพาดหัวรองของ ‘หนังสือพิมพ์รายวันโปโล’ เสียแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เฉินกระอักกระอ่วนใจก็คือ ในหัวข้อข่าวที่พูดเอาใจมวลชนนี้ เขาเป็นแค่ ‘หนุ่มลึกลับ’ เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในบทความยังแอบบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาอาจจะเป็นหนุ่มวัยละอ่อนที่ซูจิ้งเลี้ยงดู
ถ้าหากเถ้าแก่ของ ‘หนังสือพิมพ์รายวันโปโล’ ยืนอยู่หน้าลู่เฉินตอนนี้ ลู่เฉินจะโยนหนังสือพิมพ์เหลวไหลไร้สาระฉบับนี้ไปที่หน้าของเขาอย่างไม่ลังเล
ลู่เฉินกลับถึงบ้านของตัวเองพร้อมกับอาหารเช้าและหนังสือพิมพ์
อาบน้ำล้างเหงื่อที่เหม็นอับแล้ว เขาเพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาก็ดังขึ้น
เมื่อรับสาย เสียงของซูจิ้งก็ดังมา “ลู่เฉิน ขอโทษจริงๆ…”
ลู่เฉินฟังแล้วก็เข้าใจ “คุณหมายถึงข่าวของ ‘หนังสือพิมพ์รายวันโปโล’ วันนี้ใช่ไหมครับ”
“ใช่!”
ซูจิ้งตกใจมาก “นายเห็นแล้วเหรอ”
ลู่เฉินหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ใช่ครับ ถือว่าผมได้เห็นความสุดยอดของปาปารัสซี่ฮ่องกงแล้วครับ”
ซูจิ้งเอ่ยขอโทษ “ขอโทษจริงๆ เป็นความสะเพร่าของฉันเอง เลยทำให้นายต้องเหนื่อยไปด้วย เดี่ยวฉันจะไปอธิบายในบล็อกสักหน่อย ทำให้นายยุ่งยากแล้วสิ”
บล็อกของเธอไม่ใช่บล็อกล่างฉาวของประเทศจีน แต่เป็นบล็อกเกาะฮ่องกง
ลู่เฉินเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณครับ คุณไม่ต้องขอโทษ อันที่จริงก็ไม่มีเรื่องอะไรใหญ่โตครับ”
มีตัวอย่างก่อนหน้าพิสูจน์ให้เห็นมากมาย ในฐานะที่เป็นดาราดัง ทำให้สื่อโกรธเป็นการกระทำที่ได้ไม่คุ้มเสียมากที่สุด เว้นเสียแต่ตั้งใจหมิ่นประมาทอย่างชั่วร้ายโดยไม่ละอายแก่ใจหรือกุเรื่องขึ้นมา ไม่อย่างนั้นชี้แจงสักหน่อยแล้วก็ยิ้มอย่างไม่ยี่หระก็พอแล้ว
ในเมื่ออยากมาบุกเบิกที่ฮ่องกง เช่นนั้นก็ต้องทำตัวให้คุ้นชินและปรับตัวให้เข้ากับกฎเกณฑ์ของที่นี่
ดังนั้นลู่เฉินจึงไม่เก็บมาใส่ใจอย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่ายิ่งไม่กล่าวโทษซูจิ้ง
พอคุยกันได้พักหนึ่ง ลู่เฉินก็จบการสนทนากับซูจิ้ง เขาคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงโทรศัพท์ไปหาเฉินเฟยเอ๋อร์
การสื่อสารระหว่างกันของสื่อในประเทศจีนกับฮ่องกงแย่มาก ข่าวซุบซิบนินทาของที่นี่น้อยมากที่จะไปปรากฏที่นั่น แต่ตอนนี้เป็นยุคอินเทอร์เน็ต การส่งข้อมูลข่าวสารจึงรวดเร็วมาก ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเป็นหลักเขาจึงต้องบอกเฉินเฟยเอ๋อร์ก่อน
ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นข่าวฉาว
เฉินเฟยเอ๋อร์เมื่อได้ฟังลู่เฉินพูดแล้ว ก็หัวเราะร่า แล้วพูดเสียงดังว่า “นายรีบส่งหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มาให้ฉันทันทีเลยนะ ฉันอยากเห็นไอ้ที่คนเขาพูดว่าหนุ่มลึกลับคนนั้น!”
ลู่เฉินพูดไม่ออก และไม่มีอะไรจะพูดกับเธออีก กินข้าวเช้าเสร็จแล้วจึงรีบออกจากบ้านไปที่สตูดิโอ
วันนี้เขาพร้อมกับวั่นเสี่ยวเฉวียนและเฉินเหวินเฉียง จะเดินทางไปเยี่ยมบริษัทผลิตภาพยนตร์โทรทัศน์ท้องถิ่นแห่งหนึ่ง เจรจาหารือเกี่ยวกับการร่วมมือถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่
ในขณะเดียวกัน ซูจิ้งก็โพสต์คำแถลงการณ์บนบล็อกของตัวเอง
เนื้อหาสำคัญที่แถลงการณ์คือการโต้แย้งรายงานข่าวของ ‘หนังสือพิมพ์รายวันโปโล’ เธออธิบายฐานะและประวัติของลู่เฉินอย่างละเอียด และตั้งใจพูดเน้นเป็นพิเศษว่าเมื่อคืนทั้งสองคนเพิ่งเจอกันครั้งแรก และเรื่องที่คุยกันในร้านกาแฟก็คืออัลบั้มใหม่ของเธอ
ท้ายโพสต์ ซูจิ้งได้แนบรูปถ่ายตอนที่เธอกับลู่เฉินอยู่ในงานเลี้ยงการกุศลอีกหนึ่งรูป
ซูจิ้งเคยเป็นราชินีแห่งวงการเพลงของฮ่องกง เธอจึงรู้ว่าควรรับมือกับข่าวซุบซิบพวกนี้อย่างไร เธอไม่ได้ปิดบังฐานะของลู่เฉิน แต่เปิดเผยอย่างจริงใจให้ทุกคนได้ทราบ เพื่อแสดงความตรงไปตรงมาของตัวเอง
อย่าเดาส่งเดชมั่วๆ!
และในโพสต์ ซูจิ้งยังหัวเราะเยาะความโง่เขลาของปาปารัสซี่กับบรรณาธิการของ ‘หนังสือพิมพรายวันโปโล’แม้แต่ลู่เฉินที่ดังมากที่จีนและเกาหลีใต้ก็ยังไม่รู้จัก พูดว่า ‘หนุ่มลึกลับ’ น่าขำจริงๆ!
ซูจิ้งมีแฟนคลับในบล็อกมากกว่าห้าแสนคน เทียบกับพวกดาราดังยังน้อยกว่ามาก แต่ทันทีที่โพสต์ข้อความชี้แจงปฏิเสธข่าวลือนี้ออกไป ก็ได้รับการแชร์และแสดงความคิดเห็นอยู่ไม่น้อย
แวดวงในฮ่องกงจริงๆ แล้วเล็กมาก เกิดเรื่องอะไรนิดหน่อย ก็รู้กันไปทั่ว
อย่างน้อยซูจิ้งก็เป็นคนมีชื่อเสียง ดังนั้นผ่านไปไม่นาน หลี่หวั่นหัวหน้ากองบรรณาธิการจึงรู้เรื่อง
หลังจากอ่านโพสต์ของซูจิ้งแล้ว เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงโทรเรียกเสี่ยวโหวกลับมา
เสี่ยวโหวกลับมาที่ฝ่ายบรรณาธิการ หลี่หวั่นก็ให้เขาดูโพสต์ข้อความนี้
เสี่ยวโหวตกใจมาก “หัวหน้าหลี่ ผม…”
หลี่หวั่นโบกมือ ห้ามไม่ให้เขาสำนึกผิด แล้วเอ่ยว่า “ไม่โทษนาย แม้แต่ฉันก็ไม่รู้จักลู่เฉิน ถ้าจะพูดว่าบกพร่องในหน้าที่ก็ต้องโทษฉันก่อน”
เสี่ยวโหวเหมือนได้รับการอภัยโทษ และรู้สึกซาบซึ้งมาก
หลี่หวั่นกล่าวต่อว่า “ทำผิดครั้งแรกให้อภัยได้ แต่ครั้งที่สองไม่ได้แล้ว เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นายคอยจับตาดูเขาให้ฉันที จะต้องมีข้อมูลที่ขุดจากเขาได้มากมายแน่นอน!”
หัวหน้ากองบรรณาธิการของ ‘หนังสือพิมพ์รายวันโปโล’ คนนี้ชี้ลู่เฉินที่อยู่ในหน้าจอ คนหลังที่อยู่ในรูปก็ยิ้มอย่างหล่อเหลา
นัยน์ตาของหลี่หวั่นเผยแววตาเฉียบคมออกมา ราวกับนักล่าเจอเหยื่อที่แข็งแกร่งก็ไม่ปาน!
เสี่ยวโหวเพิ่งเห็นแววตาแบบนี้ของหลี่หวั่นเป็นครั้งแรก ในใจอดสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
เขาเหมือนได้กลิ่นเขม่าปืนอย่างไรอย่างนั้น
…………………………………………………………………………