Perfect Superstar - ตอนที่ 471 เฉินซื่อเหม่ย
ตอนที่ 471 เฉินซื่อเหม่ย
ในงานเลี้ยงอาหารเย็นที่พี่หลีเป็นคนเชิญ จัดขึ้นที่โรงแรมลี่จิงกลางกรุงปักกิ่ง
เธอจองห้องส่วนตัวขนาดเล็ก คนที่เชิญมามีแค่ลู่เฉินกับลู่ซีเพียงสองคน และลูกชายของเธอเองจางจวิ้นจื้อ
เทียบกับครั้งก่อนที่ได้พบ จางจวิ้นจื้อดูโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในวงการบันเทิงเป็นสถานที่แห่งความจริง และก็เป็นที่สำหรับฝึกฝนคน แม้เขาเพิ่งเดบิวต์ไม่นาน หนุ่มน้อยเริ่มฉายแววดาราขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาเป็นหัวหน้าวงเสียวหู่ถวน ทุกวันนี้จางจวิ้นจื้อเป็นหนึ่งในศิลปินใหม่ที่กำลังมาแรงของวงการ เขากับเพื่อนร่วมวงอีกสองคนไปร่วมรายการประกวด ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ เพิ่งจะโด่งดังเป็นที่จับตามอง แฟนคลับในบล็อกล่างฉาวเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นไอดอลของวัยรุ่นหนุ่มสาวมากมาย
สิ่งสำคัญคือ จางจวิ้นจื้อไม่ได้โด่งดังในข้ามคืน เบื้องต้นเขาเล่นละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ รับบทอิ่นจวิ้นซีในวัยเด็ก ทำให้เขาเริ่มสั่งสมความนิยม จากนั้นก็อาศัยความสำเร็จของวงเสี่ยวหู่ถวนโด่งดังขึ้นมา
เพลงที่ลู่เฉินเขียนให้วงเสียวหู่ถวนเป็นเพลงแรกอย่างเพลง ‘เจ้าผีเสื้อจงบินไป’ ทุกวันนี้เป็นเพลงที่ถูกนำไปร้องต่อมากที่สุด โดยเฉพาะในโรงเรียนมัธยมทั่วประเทศ กลายเป็นเพลงที่เปิดทุกวันในรายการเสียงตามสาย
วงเฮสิเทชั่น วงเอ็มเอสเอ็น และวงเสียวหู่ถวนในวันนี้ ลู่เฉินราวกับมีเวทมนตร์ที่ทำให้คนอื่นประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นฉายา ‘นักปั้นมือทอง’ ที่ดังไปทั่ววงการจึงเลื่องลือไปถึงฮ่องกงด้วย
ได้เจอลู่เฉิน จางจวิ้นจื้อดีใจมาก ช่วยเสิร์ฟน้ำชาให้อาจารย์ด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม
ลู่เฉินยิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น เข้าร่วมการแข่งขันเหนื่อยน่าดูเลยใช่ไหม”
รายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ ของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งในปี 2016 เพิ่งสิ้นสุดลง วงเสียวหู่ถวนแสดงความสามารถต่อหน้าคนเรือนหมื่นได้อย่างดีเยี่ยม โดดเด่นจนคว้าอันดับสามมาครอง
แม้สุดท้ายจะพ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งสองคนที่เก่งกว่า แต่การแสดงของหนุ่มน้อยทั้งสามน่าประทับใจมาก ถึงจะแพ้แต่ยังได้รับคำชื่นชม ตอนนั้นลู่เฉินได้ดูการถ่ายทอดสดด้วย
จางจวิ้นจื้อนั่งลงกล่าวว่า “พอได้ครับ ไม่ได้ลำบากมาก คุณแม่อยู่เป็นเพื่อนผมตลอด แม่เหนื่อยที่สุดครับ”
ลู่ซีพูดบ้าง “ต่อไปเธอต้องกตัญญูกับคุณแม่ให้มากนะ”
จางจวิ้นจื้อพยักหน้า “ผมจะทำครับพี่ลู่ซี”
พี่หลีมองดูลูกชายที่หล่อเหลาและว่าง่ายของเธอ ในแววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจและความรัก
สิ่งที่เธอภูมิใจในตัวเองมากที่สุด ไม่ใช่เพราะสามารถยืนหยัดอยู่ในวงการบันเทิงก่อตั้งกิจการเป็นของตัวเองได้ และไม่ใช่เพราะความร่ำรวยและตำแหน่งในวันนี้ แต่เป็นการได้เลี้ยงดูลูกชายคนนี้ จางจวิ้นจื้อ
เพื่อลูกชายแล้วพี่หลียอมทำทุกสิ่งทุกอย่าง
ครั้งนี้พี่หลีเชิญลู่เฉินและลู่ซีมาเพื่อพูดคุยเรื่องมูลนิธิกองทุนการกุศลเฉินเฟย
มูลนิธิกองทุนการกุศลเฉินเฟยก่อตั้งโดยลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์ ได้จดทะเบียนโครงการการกุศลในปีนี้ เป้าหมายของมูลนิธิคือเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ยากจน ให้พวกเขาได้รับการรักษา
มูลนิธิเริ่มต้นมาปีกว่า ได้ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแล้วหลายร้อยราย ทำให้ลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์ได้รับความยกย่องเชิดชูจากสังคม
จนถึงตอนนี้มูลนิธิทำงานด้วยดีเสมอมา เงินกองทุนได้รับการตรวจสอบที่ชัดเจน เป็นความดีความชอบของพี่หลีผู้ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริหารมูลนิธิ
“ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะขายหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทเอเจนซี่…”
พี่หลีกล่าว “ต่อไปจะตั้งใจดูแต่มูลนิธิกับจวิ้นจื้อ ไม่อยากดูแลอย่างอื่นแล้ว”
ลู่เฉินกับลู่ซีอึ้ง
บริษัทเรนโบว์เอเจนซี่ที่พี่หลีก่อตั้งเป็นบริษัทเอเจนซี่เก่าแก่ของปักกิ่ง มีดาราดังในสังกัดมากมายหลายคน แม้ตำแหน่งในวงการจะสู้ธุรกิจยักษ์ใหญ่ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นระดับแนวหน้า
บริษัทเอเจนซี่นี้ได้รวบรวมหยาดเหงื่อแรงกายของเธอทั้งชีวิต กิจการรุ่งเรืองดีมาตลอดยี่สิบปี มีสายสัมพันธ์ที่ดีและมีชื่อเสียงที่น่ายกย่อง ต่อให้เป็นคู่แข่งก็ยังต้องเคารพ
ตอนนี้ในเมื่อพี่หลีบอกว่าจะขายบริษัทเรนโบว์ ลู่เฉินและลู่ซีจะไม่ตกใจได้อย่างไร
ลู่เฉินรีบตอบ “พี่หลี ความจริงแล้ว…”
พี่หลียิ้มพูดตัดบทเขา “นายไม่ต้องพูดหรอก ความจริงหลายปีมานี้ฉันเหนื่อยมาก อยากจะวางมือหันไปใช้ชีวิตสบายๆ ตั้งนานแล้ว ตอนนี้งานดูแลมูลนิธิเหมาะกับฉันที่สุด ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก ยังมีเวลาว่าง ไหนจะได้ทำบุญสร้างกุศลยิ่งรู้สึกดีเข้าไปใหญ่”
“ส่วนตัวฉัน ตอนนี้หาเงินมามากพอแล้ว เงินก็แค่ตัวเลข ฉันยังมีจวิ้นจื้ออีกคน”
ลู่เฉินกับลู่ซีมองหน้ากัน
ทั้งสองมองออกว่าพี่หลีตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เป็นผลจากการไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี
ลู่เฉินกล่าวอย่างจริงใจว่า “ได้รู้จักกับพี่หลีเป็นโชคดีของผมจริงๆ!”
พี่หลียิ้มเขิน “พูดอะไรแบบนั้น ได้รู้จักนายกับเฟยเอ๋อร์ ถึงจะเป็นโชคดีของฉัน!”
ลู่ซีเม้มปากยิ้ม “พวกเราโชคดีกันทั้งหมด มาชนแก้วกันหน่อย!”
“หมดแก้ว!”
ทุกคนยกแก้วขึ้นมา บรรยากาศในห้องเล็กๆ อบอุ่นไปด้วยมิตรภาพ
ก๊อก! ก๊อก!
ตอนนั้นเอง ประตูห้องถูกเคาะ
วินาทีถัดไปพนักงานของโรงแรมเปิดประตูเข้ามาโดยพาชายวัยกลางคนคนหนึ่งก้าวเข้ามาด้วย
สายตาของเขากวาดไปทั่วทั้งห้อง หยุดนิ่งจ้องที่ลู่เฉินก่อน พยักหน้าให้และหันไปที่พี่หลีต่อ ใบหน้าถึงได้เผยรอยยิ้มออกมา “ได้ยินมาจากเพื่อนว่าคืนนี้เธอมีนัดกินข้าวกับเพื่อนที่นี่ ฉันเลยมาดู ไม่ได้เป็นการรบกวนใช่ไหม”
ชายวัยกลางคนคนนี้รูปร่างสูงโปร่ง ตอนยังหนุ่มน่าจะหล่อเหลาเอาการ วันนี้กาลเวลาได้ฝากริ้วรอยเอาไว้บนใบหน้าของเขา แต่ไม่เห็นถึงความชรากลับเป็นวุฒิภาวะที่สูงส่ง พูดจาด้วยความมั่นใจ
ผู้ชายแบบนี้เป็นแบบที่ผู้หญิงชอบ คิดว่าคงจะเสน่ห์แรงไม่เบา
แต่เมื่อเห็นคนคนนี้เข้า จางจวิ้นจื้อพลันมีสีหน้าเคร่งขรึมรีบหันหน้ากลับไป คีบอาหารใส่เข้าปากเคี้ยวอย่างแรง
พี่หลีประหลาดใจ รีบลุกขึ้นยืนยิ้มเล็กน้อย “ไม่รบกวนหรอกค่ะ จะว่าไปไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ”
เธอดึงลูกชาย “จวิ้นจื้อ เสียมารยาทไม่ได้นะ”
จางจวิ้นจื้อจำใจวางตะเกียบอย่างไม่สบอารมณ์ ลุกขึ้นยืนส่งเสียงเรียก “พ่อ”
ปากพูดอยู่แต่สายตาเหลือบมองด้านบน
ชายวัยกลางคนคนนี้คืออดีตสามีของพี่หลี พ่อแท้ๆ ของจางจวิ้นจื้อ จางเส้าชิว!
จางเส้าชิวก้าวมาข้างหน้าสองก้าวแล้วยิ้ม “จวิ้นจื้อโตแล้ว การประกวดรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ พ่อได้ดูแล้ว ลูกแสดงได้ดีมาก พ่อคิดว่ารางวัลจะต้องเป็นของลูกเสียอีก…”
เขาพยายามกล่าวชมเชยลูกชาย แม้จะได้รับเพียงความเย็นชาและเมินหนีก็ตาม
นี่ทำให้จางเส้าชิวพูดเก้อ จนต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คนนี้คืออาจารย์ลู่เฉินใช่ไหมครับ”
ลู่เฉินยิ้ม “คุณจางสวัสดีครับ”
ลู่เฉินคิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะมีโอกาสได้พบกับเฉินซื่อเหม่ยผู้โด่งดังแห่งวงการบันเทิง
……………………………………