Perfect Superstar - ตอนที่ 476 สนทนา
ตอนที่ 476 สนทนา
เวลาสองทุ่มแล้ว แสงไฟสว่างทั่วทุกครัวเรือนในฮ่องกง
อาคังกระโดดลงจากรถบัสเล็กที่จอดติดป้ายรถเมล์อย่างว่องไว พุ่งไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วกระโดดไปบนทางเท้า จากนั้นก็รีบเดินกลับบ้านของตัวเอง
อาคังเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยปีนี้ ตอนนี้ทำงานในบริษัทการค้าแห่งหนึ่ง นำเข้าส่งออกอุปกรณ์ดิจิทัล เขาไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยดัง และไม่มีแรงจูงใจในการทำงานมากนัก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเรียนรู้การเป็นผู้ช่วยเสียส่วนใหญ่
งานเหนื่อยมาก หกโมงเช้าก็ต้องออกจากบ้านขึ้นรถไปทำงาน กว่าจะได้กลับบ้านก็ประมาณทุ่มสองทุ่ม เงินเดือนน้อยแถมยังต้องทำงานสารพัด ถูกหัวหน้าเรียกไปทำนั่นทำนี่อย่างไม่เกรงใจกันเลย
แต่อาคังเป็นเด็กหนุ่มที่มองโลกในแง่ดี เขาขยันทำงานและขยันเรียน หวังว่าสักวันหนึ่งจะเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง จากนั้นก็จะซื้อบ้านหลังใหญ่ให้ครอบครัวอยู่ ที่ฝันไว้คือคฤหาสน์
บ้านของอาคังอยู่ที่ไท่หวายเขตซาถิ่น บ้านขนาดห้าสิบตารางเมตรรองรับสมาชิกครอบครัวหกคน ซึ่งมีคนทั้งสามช่วงวัย
สิ่งที่เรียกว่าบ้านพัก ก็คือบ้านราคาถูกที่สร้างจาก ‘โครงการกรรมสิทธิ์บ้าน’ ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลฮ่องกงในยุค 1970 เทียบเท่ากับโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยของจีน ราคาถูกกว่าบ้านประเภทคล้ายกันสามสิบถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ หลักๆ แล้วจะขายให้กับผู้ที่เช่าบ้านของการเคหะและผู้อยู่อาศัยที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำที่เหมาะสมตรงตามเงื่อนไข
บ้านพักขนาดห้าสิบตารางเมตรนี้ คุณปู่คุณย่าของอาคังใช้เงินสะสมทั้งชีวิตซื้อเก็บไว้
เมื่อถึงบ้าน อาคังใช้กุญแจไขประตู
แม่กำลังทำความสะอาดอยู่ในห้องครัวได้ยินเสียงจึงชะโงกศีรษะไปดู แล้วถามว่า “คังจื่อ กินข้าวเย็นมาหรือยัง”
อาคังพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “กินแล้วครับ ผมเข้าห้องแล้วนะ”
แม่มองเงาหลังของเขาที่วิ่งเข้าห้องอย่างรีบร้อน พลางส่ายหน้า
ถึงแม้ห้องจะเล็กมาก แต่เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่พักอาศัยของทุกคนในครอบครัว จึงต้องกั้นเป็นสามห้อง คุณปู่คุณย่าหนึ่งห้อง คุณพ่อคุณแม่หนึ่งห้อง เขากับน้องสาวหนึ่งห้อง
นี่เป็นเรื่องที่จนใจมาก ถึงแม้อาคังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว และน้องสาวก็เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว แต่เมื่อเทียบกับครอบครัวที่อยู่เบียดกันในบ้านของการเคหะหรือบ้านกรงที่เล็กราวกับรูหนู ถือว่าบ้านพักแบบนี้ดีกว่าเป็นไหนๆ
อนาคตรอให้น้องสาวแต่งงานแล้ว เขาก็จะแต่งงานรับภรรยามาอยู่ด้วย
ความฝันยังคงสวยงามเสมอ และชีวิตในความเป็นจริงก็ยังต้องดำเนินต่อไป
น้องสาวกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะ อาคังไม่รบกวนเธอ นั่งบนเตียงของตัวเองแล้วเปิดโทรทัศน์แอลซีดีที่แขวนอยู่บนกำแพง
โทรทัศน์เครื่องนี้อาคังใช้เงินเดือนเดือนแรกซื้อมา แบบนี้ก็ไม่ต้องเถียงกับครอบครัวเรื่องแย่งกันดูโทรทัศน์แล้ว เขาชอบดูภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ที่สนุกน่าตื่นเต้น แล้วก็ชอบฟังเพลงป็อปและเล่นอินเทอร์เน็ต
ตอนนี้คอมพิวเตอร์ถูกน้องสาวยึดไปใช้อยู่ อาคังนอกจากดูโทรทัศน์แล้วก็ไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้
ที่สำคัญที่สุดคือ เย็นนี้ยังมีรายการที่เขาอยากดู
ติ๊ดๆ!
เขาเพิ่งใช้รีโมทเปิดโทรทัศน์ โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงพลันดังขึ้นสองครั้ง
อาคังหยิบโทรศัพท์ออกมาดู พบว่าเสี่ยวเวยส่งข้อความมาหาตัวเอง ถามว่าเขาถึงบ้านหรือยัง
อาคังรีบตอบทันที “ถึงแล้ว เพิ่งจะเปิดโทรทัศน์”
เสี่ยวเวยตอบเร็วเหมือนกัน “ช่องรายการวาไรตี้ของเอทีวี สองทุ่มครึ่ง ‘สนทนาสามบันเทิง’”
อาคังเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย พิมพ์เร็วมาก “เข้าใจแล้ว!”
เสี่ยวเวยเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาตามจีบอยู่ เป็นพนักงานเอกสารของบริษัทแห่งหนึ่ง หน้าตาถึงแม้จะไม่สวยมากแต่ก็น่ารักสดใส ไม่ขาดคนตามจีบ
อาคังรู้ว่าฐานะครอบครัวของตัวเองธรรมดา จึงไม่คาดหวังมากว่าจะได้รับความโปรดปรานจากเธอ
แต่ด้วยความบังเอิญ อาคังพบความลับเล็กๆ ของเสี่ยวเวย จากนั้นทั้งสองคนจึงคบกันอย่างไม่คาดคิด ถึงแม้จะห่างจากขั้นคำว่าแฟนอีกไกลนัก แต่ก็พอที่จะเป็นความสุขในชีวิตของอาคัง
เสี่ยวเวยชอบฟังเพลงและชอบร้องเพลงมาก เธอไปฟังเพลงที่บาร์แถวลานไควฟงกับเพื่อนอยู่บ่อยๆ เธอใช้ไอดีวิเวียนเข้าอินเทอร์เน็ตเป็นประจำ
ชื่อเพราะมากใช่ไหมล่ะ
เสี่ยวเวยช่วงนี้ติดใจศิลปินหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากประเทศจีน และคืนนี้ ศิลปินคนนี้ก็จะปรากฏตัวในรายการ‘สนทนาสามบันเทิง’ ของช่องรายการวาไรตี้สถานีเอทีวี
เธอไม่ได้ดูแค่คนเดียว แต่ยังให้เพื่อนที่อยู่ข้างๆ มาดูด้วยกัน แน่นอนว่าอาคังก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เขาและเสี่ยวเวยส่งข้อความคุยกัน โฆษณายาวก่อนรายการจะเริ่มไม่มีผลกระทบใดๆ กับอาคังเลย น่าเสียดายช่วงเวลาดีๆ ช่างสั้นนัก รายการ ‘สนทนาสามบันเทิง’ เริ่มต้นตอนสองทุ่มครึ่งตรงตามเวลา
เปิดรายการด้วยเสียงเพลงและโลโก้รายการที่คุ้นเคยก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นกล้องก็แพนไปหาพิธีกรอย่างรวดเร็ว
สำหรับรายการ ‘สนทนาสามบันเทิง’ ของช่องรายการวาไรตี้สถานีเอทีวี อาคังคุ้นเคยมาก โดยเฉพาะพิธีกรเสิ่นซูหลิง ตอนที่เขายังเรียนชั้นประถมศึกษาอยู่ อีกฝ่ายก็มีผลงานอยู่ในจอแก้วแล้ว เวลาที่ได้ดูจึงรู้สนิทสนมเป็นพิเศษ
“ยินดีต้อนรับทุกท่านรับชมรายการ ‘สนทนาสามบันเทิง’ ค่ะ…”
เสิ่นซูหลิงที่สุภาพและสง่ามองกล้องแล้วยิ้มเล็กน้อย แขกรับเชิญสองท่านแยกกันนั่งอยู่ข้างซ้ายและข้างขวาของเธอ
“คนนี้เป็นใคร หล่อจัง!”
ทันใดนั้นเสียงก็ดังขึ้น จนอาคังต้องหันหน้าไปมอง เขาเห็นน้องสาวของตัวเองมานั่งข้างตัวเองตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้จ้องมองหน้าจอตาเป็นประกายทั้งสองข้าง
อาคังรู้ว่าเธอถามถึงใคร จึงอธิบายว่า “ลู่เฉิน ศิลปินที่มาจากประเทศจีน ร้องเพลงเพราะมาก เพลง ‘รักที่สุดในชีวิต’ เธอเคยฟังหรือเปล่า”
เขามองลู่เฉินที่อยู่ในหน้าจอ ถึงแม้จะหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าลู่เฉินหล่อจริงๆ
ศิลปินดาราอายุน้อยของฮ่องกงมีคนหล่อเยอะแยะ แต่ศิลปินที่มาจากประเทศจีนคนนี้มีออร่าที่พิเศษบางอย่าง
อาคังก็พูดไม่ถูก รู้สึกแค่ว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนกับดาราคนอื่น
“เพลงนี้เขาเป็นคนร้องเหรอ”
น้องสาวเพิ่งรู้ แล้วจึงนั่งลงข้างๆ ดูรายการพร้อมกับเขา
การเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหนักมาก ถ้าอยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีต้องกัดฟันสู้เท่านั้น น้องสาวของอาคังปกติไม่ค่อยมีเวลาเที่ยวหรือดูโทรทัศน์เล่นอินเทอร์เน็ตมากนัก เพราะเป้าหมายในการเรียนของเธอคือต้องแซงหน้าพี่ชายให้ได้
แต่เธอก็เคยฟังเพลง ‘รักที่สุดในชีวิต’ เพลงนี้เหมือนกัน
“ก่อนอื่นพวกเราขอต้อนรับลู่เฉิน เขามาจากประเทศจีน ตอนนี้กำลังถ่ายทำภาพยนตร์ที่ฮ่องกงค่ะ…”
“เขายังถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยเหรอ…”
ความตื่นเต้นเกินเหตุของน้องสาวทำให้อาคังไม่ค่อยพอใจ รู้อย่างนี้จะไม่เปิดโทรทัศน์
แต่ถ้าเป็นแบบนี้ เขากับเสี่ยวเวยก็จะไม่มีหัวข้อสำคัญให้พูดคุยกัน ไม่แน่อีกฝ่ายอาจจะไม่สนใจเขา
รายการดำเนินต่อไป
ไม่รู้ว่าทางสถานีโทรทัศน์จัดเตรียมไว้ก่อนแล้วหรือไม่ พอเริ่มรายการ จวงต้งแขกรับเชิญอีกคนหนึ่งก็ถามคำถามที่น่าลำบากใจกับลู่เฉิน คำถามที่ดุเดือดสองสามคำถาม ส่วนใหญ่แล้วเกี่ยวกับเพลงป็อปของฮ่องกง
น้องสาวไม่ชอบใจ “คนนี้เป็นอะไร เก่งจริงเขาก็แต่งเพลงดีๆ ออกมาสักเพลงสิ!”
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของจวงต้ง ลู่เฉินมีความสุขุม และมั่นใจเป็นอย่างมาก
ลู่เฉินยกย่องเพลงป็อปของฮ่องกงที่อุทิศตนอย่างมหาศาลให้แก่วงการเพลงจีน และชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่วงการเพลงป็อปกำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ เขาอยากให้วงการเพลงมีนักแต่งเพลงที่เก่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จะได้ร่วมกันทำให้เพลงจีนกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง
คำตอบที่ไร้ช่องโหว่ ทำให้การโจมตีของจวงต้งไร้ประโยชน์ บางทีเขาคงจะตระหนักได้ว่าคำถามนี้ทำอะไรลู่เฉินไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อไปถามเกี่ยวกับภาพยนตร์ฮ่องกงและนโยบายสนับสนุนภาพยนตร์ของรัฐบาลฮ่องกง
…………………………………………………………………………