Perfect Superstar - ตอนที่ 505 คุณคือคนที่สำคัญที่สุด
ตอนที่ 505 คุณคือคนที่สำคัญที่สุด
โรงถ่ายไลออนร็อก สตูดิโอหมายเลขห้า
ภายในสตูดิโอขนาดใหญ่เซ็ตฉากถ่ายทำกลางแจ้ง กล้องดิจิทัลความละเอียดสูงสามตัวที่วางอยู่บนขาตั้งกล้องกำลังโฟกัสไปที่เฉินเฟยเอ๋อร์ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกัน มองเห็นพียงเสื้อแขนยาวของเธอลอยฉวัดเฉวียนอยู่บนอากาศสูง พร้อมเสียงประกอบ ‘ปิ้วๆ’ ริบบิ้นสีแดงฉานแต่ละเส้นพุ่งออกมาเป็นสาย ฉากสวยงามอลังการเป็นอย่างยิ่ง
บริเวณรอบๆ สตูดิโอใช้ผ้าสีเขียวคลุมทั้งหมด วิธีการใช้ภาพที่ถ่ายทำจริงผสมกับการทำเทคนิคพิเศษในขั้นตอนหลังการผลิตเป็นที่นิยมในปัจจุบันมากที่สุด ด้านเทคนิคก็พัฒนาเติบโตสูงมาก
“คัต!”
วั่นเสี่ยวเฉวียนโบกบทภาพยนตร์อย่างแรง พลางเอ่ยชมเสียงดังว่า “ดี!”
การถ่ายทำในวันนี้เป็นฉากที่สำคัญที่สุดใน ‘โปเยโปโลเย’ เยียนชื่อเสียทำศึกสงครามขั้นเด็ดขาดกับปีศาจต้นไม้พันปี เป็นฉากที่ทำให้บรรยากาศทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องนี้พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด และก็เป็นส่วนที่จำเป็นต้องทำงานในขั้นตอนหลังการผลิตมากที่สุด
ฉากสำคัญ ระดับการถ่ายทำยาก ความต้องการต่อนักแสดงสูง…
วั่นเสี่ยวเฉวียนเดิมทีอยากให้เฉินเฟยเอ๋อร์ใช้นักแสดงแทน แต่ได้รับการปฏิเสธจากคนหลัง ราชินีเพลงคนนี้อยากโหนสลิงด้วยตัวเอง หลังจากเล่นผิดหลายครั้งในที่สุดก็ถ่ายฉากของวันนี้เสร็จแล้ว
การเล่นผิดหลายครั้งทำให้แรงกดดันของงานเพิ่มระดับสูงขึ้น เมื่อครู่ทุกคนเหนื่อยมาก แต่พอเห็นเฉินเฟยเอ๋อร์ตัวเอกของเรื่องกัดฟันทน พวกเขาจะหาเหตุผลนั่งพักผ่อนได้อย่างไร
ตอนนี้ถ่ายทำเสร็จเสียที ทีมงานในกองถ่ายหลายคนต่างส่งเสียงร้องดีใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
สายสลิงที่โหนตัวเฉินเฟยเอ๋อร์อยู่ค่อยๆ ปล่อยลงมาอย่างช้าๆ เท้าสองข้างของเธอเพิ่งจะแตะพื้น ทันใดนั้นร่างกายก็อ่อนยวบเสียการทรงตัวและล้มลง
โชคดีที่ลู่เฉินมือไว รีบวิ่งเข้าไปกอดเธอเอาไว้ “เฟยเอ๋อร์!”
คนอื่นร้องเสียงดังตกใจทันที รีบเข้ามาโอบล้อม
รวมทั้งวั่นเสี่ยวเฉวียนด้วย
ถ้าหากเฉินเฟยเอ๋อร์เป็นอะไรไป ทุกคนก็คงอยู่ยาก และมีผลกระทบต่อกองถ่ายอย่างใหญ่หลวงแน่นอน จะสามารถถ่ายทำให้เสร็จตามกำหนดหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา
ถึงแม้จะแต่งหน้าเข้ม แต่ก็ไม่อาจปิดบังความอ่อนเพลียบนใบหน้าของเฉินเฟยเอ๋อร์ได้ เธอซบอยู่ในอ้อมอกของลู่เฉิน ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ฉันไม่เป็นไร แค่เหนื่อยมากเกินไป”
จะไม่เหนื่อยได้อย่างไรเล่า วันนี้เธอถูกสลิงห้อยอยู่กลางอากาศเกือบครึ่งวัน แถมยังต้องต่อสู้ด้วยท่าแอกชันต่างๆ หากเป็นคนที่ไม่ค่อยแข็งแรงคงล้มพับไปนานแล้ว
โชดดีที่เฉินเฟยเอ๋อร์ออกกำลังกายทุกวัน บวกกับเมื่อไม่นานมานี้ได้ถ่ายทำละครอย่างหนักที่ทุ่งหญ้ามองโกเลีย ดังนั้นจึงสามารถอดทนต่องานถ่ายทำที่มีความยากสูงเช่นนี้ได้
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เธอก็เหนื่อยจนพูดไม่ออก เหงื่อเม็ดใสผุดออกมาจากหน้าผาก
ลู่เฉินรีบปลดอุปกรณ์สลิงที่อยู่บนตัวของเฉินเฟยเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงโอบเอวอุ้มเธอขึ้นแล้วส่งไปที่ห้องพักผ่อน
ผู้ช่วยที่ตามมาด้วยนำผ้าเช็ดตัว เจลเก็บความเย็น และน้ำมาให้
หลังจากเช็ดเหงื่อและดื่มน้ำ เฉินเฟยเอ๋อร์เริ่มมีสติดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อครู่เธอแค่หมดแรงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้ฟื้นฟูกลับมาพอประมาณแล้ว
แต่โหนอยู่บนสลิงเป็นเวลานาน บวกกับการกระทบกระทั่งระหว่างการถ่ายทำ บนตัวของเธอจึงมีรอยฟกช้ำหลายจุด แตะนิดหน่อยก็เจ็บมาก ทำให้ลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะบ่น “ใครสั่งให้คุณไม่ใช้นักแสดงแทนล่ะ!”
เขาทั้งสงสารและเอ็นดูเธอมากจริงๆ
‘โปเยโปโลเย’ มีฉากต่อสู้และฉากที่ต้องใช้เทคนิคพิเศษไม่น้อย สงครามใหญ่ระหว่างเฉินเฟยเอ๋อร์ที่รับบทปีศาจแม่เฒ่าบอสตัวร้าย กับหม่าหรงเจินที่แสดงบทเยียนชื่อเสียมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ผู้กำกับคิวบู๊ของภาพยนตร์เรื่องนี้รับผิดชอบโดยลู่เฉินกับผู้เชี่ยวชาญอีกคนหนึ่ง ลู่เฉินอ้างอิงหลายฉากจากต้นฉบับที่อยู่ในโลกของความฝัน ซึ่งแตกต่างจากพวกหนังภูตผีปีศาจในอดีตเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกันก็มีความต้องการสำหรับนักแสดงที่สูงมาก
เมื่อพิจารณาแล้วว่าเฉินเฟยเอ๋อร์ไม่เคยถ่ายฉากแอกชันมาก่อน ดังนั้นวั่นเสี่ยวเฉวียนจึงเสนอให้สมาชิกทีมตระกูลลู่เล่นแทน และได้รับความเห็นด้วยจากลู่เฉิน ผลสรุปที่คาดไม่ถึงก็คือเฉินเฟยเอ๋อร์ยืนกรานปฏิเสธ และต้องการจะเล่นเองให้ได้
เธอส่ายหน้าพูดว่า “ใช้นักแสดงแทนก็ไม่สนุกสิ อีกอย่างนี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของนายนะ!”
ใช้นักแสดงแทนกับตัวจริง มีความแตกต่างกันมากตอนถ่ายทำ ใช้นักแสดงตัวจริงถือว่าสมบูรณ์แบบที่สุดและถ่ายทำได้ง่ายที่สุด แต่เงื่อนไขก็คือนักแสดงตัวจริงจะต้องเล่นฉากแอกชันได้ตามความต้องการ
อันที่จริงนักแสดงใช้นักแสดงแทนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะมีบางฉากที่เสี่ยงจำเป็นต้องใช้สตั๊นท์แมนจึงจะทำได้สำเร็จ และถ้าหากนักแสดงถ่ายฉากที่อันตรายได้รับบาดเจ็บนอนโรงพยาบาล เช่นนั้นก็จะถ่วงเวลาทั้งกองถ่าย
ทว่าดารานักแสดงหลายคนในปัจจุบัน โดยเฉพาะนักแสดงหนุ่มสาว เมื่อเจอฉากที่มีความยากนิดหน่อย ก็จะใช้นักแสดงแทนด้วยความคุ้นชิน ไม่พยายามพัฒนาระดับความสามารถของตนเอง
และผู้กำกับมากมายกับโปรดิวเซอร์เพื่อเร่งให้งานเดินหน้า จึงยอมรับโดยปริยายอยู่เสมอกระทั่งสนับสนุนด้วยซ้ำ
ผลเสียที่ตามมาจากวิธีนี้ นั่นก็คือตอนที่ผู้ชมกำลังดูภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ มองเห็นฉากของนักแสดงแทนก็จะรู้สึกว่าไม่สมจริง กระทั่งเผยความโป๊ะออกมา
เฉินเฟยเอ๋อร์หันมาเล่นภาพยนตร์อย่างเต็มตัว เธอมีความต้องการสำหรับตัวเอง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจที่จะแสดงแค่บทนางเอกอย่างในละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ เท่านั้น
หากเธอเล่นท่าแอกชันไม่ดีพอ ต่อให้เธอต้องเล่นซ้ำสิบรอบก็ต้องเล่นให้ผ่านจนได้ ไม่เหนื่อยก็คงแปลก!
ลู่เฉินรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ กล่าวว่า “เทียบกับภาพยนตร์แล้ว คุณคือคนที่สำคัญที่สุด”
การไขว่คว้าในหน้าที่การงานคือเป้าหมายในชีวิตของเขา ทว่าในใจของลู่เฉิน สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่หน้าที่การงานหรือชื่อเสียง แต่เป็นครอบครัว คนรัก และเพื่อน!
เพื่อพวกเขา ยอมทิ้งโลกทั้งใบจะเป็นไรไป
เฉินเฟยเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงความจริงใจและความรักที่ออกมาจากใจของลู่เฉิน เธอยิ้มหวาน จับมือของลู่เฉินเบาๆบรรยากาศที่หวานชื่นและอบอุ่นที่ไม่อาจบรรยายด้วยคำพูดอบอวลไปทั่วห้องพักผ่อนเล็กๆ แห่งนี้
ผู้ช่วยหลบเข้ามุมอย่างไร้สุ้มเสียง พยายามให้ตัวเองกลายเป็นมนุษย์ล่องหน ไม่อยากรบกวนทั้งสองคน
เสียดายที่มีคนไม่เห็นฉากนี้
“เฟยเอ๋อร์ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
วั่นเสี่ยวเฉวียนเข้ามาถามด้วยความห่วงใย “ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลตรวจอะไรหน่อยไหม”
เฉินเฟยเอ๋อร์ถึงแม้จะไม่ใช่นางเอกตัวจริง แต่ในสายตาของผู้กำกับคนนี้ ความสำคัญของเธอสำคัญมากกว่าเนี่ยหมิงจู ดังนั้นจึงห่วงเป็นพิเศษ
เฉิยเฟยเอ๋อร์ปล่อยมือลู่เฉินอย่างเขินอาย ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ พักผ่อนคืนเดียวก็ดีแล้วค่ะ”
“งั้นก็พักผ่อนสักหนึ่งวันนะ!”
วั่นเสี่ยวเฉวียนพูดอย่างจริงจัง “วันพรุ่งนี้ไม่มีฉากที่สำคัญมาก ให้ตัวแสดงแทนเล่นแทนก็แล้วกัน”
เขากลัวว่าเฉินเฟยเอ๋อร์จะดื้อรั้นอยากแสดงด้วยตัวเองอีก จึงรีบพูดเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “คุณพักผ่อนหายดีแล้ว วันมะรืนพวกเราค่อยมาสู้ด้วยกันใหม่ ถ่ายฉากของคุณให้เสร็จทั้งหมด”
ลู่เฉินรีบเอ่ยว่า “ผู้กำกับวั่นพูดมีเหตุผลมากครับ”
เฉินเฟยเอ๋อร์กลอกตาใส่ลู่เฉินอย่างน่ารัก ลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยังพยักหน้า “ได้ค่ะ ผู้กำกับวั่น”
เธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักแยกแยะหนักเบา ตัวเองจะไม่ฝืนทำในเรื่องที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่จำเป็น
วั่นเสี่ยวเฉวียนเหมือนยกภูเขาออกจากอกทันที ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คุณมาฮ่องกงสิบกว่าวันแล้ว วันพรุ่งนี้ก็ให้ลู่เฉินพาคุณไปเที่ยว เรื่องอื่นมอบให้เป็นหน้าที่ของพวกเรานะครับ”
…………………………………………………………………………