Perfect Superstar - ตอนที่ 608 นายก็มาด้วย
ตอนที่ 608 นายก็มาด้วย
สำหรับหลิวหมิ่น คืนนี้เลี่ยวเจี่ยได้มานั่งที่บาร์ของเขา ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง
แม้ว่าเลี่ยวเจี่ยจะนั่งดื่มเหล้าที่นี่แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ก็มีประโยชน์มากสำหรับกิจการบาร์ของเขา อย่างน้อยชื่อเสียงของแบล็กซิกซ์จะได้ดังกระฉ่อนออกไป เรียกได้ว่าเป็นผลพวงจากซูเปอร์สตาร์
แต่เขาคาดคิดไม่ถึงว่า เลี่ยวเจี่ยจะพาเพื่อนที่เจ๋งขนาดนี้มาด้วย!
ลู่เฉิน นักแต่งเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในวงการเพลงป็อปของประเทศจีน ผู้บุกเบิกกระแสเพลงบัลลาด หากพูดแบบไม่เกรงใจ ตอนนี้ลูกค้าที่อยู่ในบาร์ คนที่ชอบลู่เฉินมีไม่น้อยกว่าเลี่ยวเจี่ยแน่นอน
เฉินเฟยเอ๋อร์กับซือฟาง ราชินีทั้งสองคน!
ทีมเพื่อนเช่นนี้ แข็งแกร่งสุดยอดจริงๆ หลิวหมิ่นสามารถจินตนาการได้เลยว่า บาร์แบล็กซิกซ์คืนนี้จะเป็นที่ฮือฮาขนาดไหน ต่อไปจะแขวนภาพถ่ายของคนเหล่านี้ไว้บนกำแพง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการทำธุรกิจไปอีกนาน
เลี่ยวเจี่ยบีบไหล่ของเขา หัวเราะพูดว่า “ทำไมเหม่ออย่างนี้ล่ะ”
หลิวหมิ่นเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน พูดตะกุกตะกัก “พี่…พี่เลี่ยว…ทะ…ทำไมสองสามคนนี้ถึง…”
เลี่ยวเจี่ยหัวเราะเอ่ยว่า “เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น รู้จัก ‘เดอะวอยซ์ไชน่า’ ไหม พวกเราเป็นกรรมการ เย็นนี้ได้รวมตัวกันพอดี ดังนั้นจึงมาเที่ยวที่ร้านของนาย ยินดีต้อนรับไหม”
ยินดีตอนรับไหม ยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง!
หลิวหมิ่นตื่นเต้นมาก “พี่เลี่ยว พี่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของผมนะ!”
เลี่ยวเจี่ยหัวเราะฮ่าๆ จากนั้นจึงแนะนำหลิวหมิ่นให้รู้จักกับลู่เฉิน เฉินเฟยเอ๋อร์ และซือฟางสามคน
หลิวหมิ่นแสดงสีหน้าเคารพโดยไม่เสียมารยาท
เขายังเป็นถึงขนาดนี้ พนักงานสองคนที่ยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูตกตะลึงอ้าปากค้างไปแล้ว แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง…หน้าตาเถ้าแก่ของพวกเขาใหญ่โตเกินไปแล้วหรือเปล่า
ตอนที่พวกเลี่ยวเจี่ยกับลู่เฉินทั้งสี่คนเดินเข้าไปข้างในบาร์ สีหน้าของพวกลูกค้าไม่ได้ดีไปกว่าพวกพนักงานมากนัก ความเงียบปกคลุมไปทั่วร้าน
จากนั้นก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม ปรบมือต้อนรับเสียงดังคึกคักราวกับน้ำขึ้น ทุกคนใช้วิธีนี้ตอนรับการมาเยือนของดาราดังเหล่านี้…เป็นการต้อนรับที่จริงใจสุดๆ
“เลี่ยวเจี่ย!” “ลู่เฉิน!” “เฉินเฟยเอ๋อร์!” “ซือฟาง!”
ชื่อของทั้งสี่คนถูกเรียกเป็นลูกคลื่น ลูกค้าหลายคนเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพและได้โพสต์ลงไปบนบล็อกหรือไซเบอร์สเปซส่วนตัว
หลิวหมิ่นไม่ได้เลอะเลือนเกินไป รีบดึงพนักงานแล้วกำชับทันที “ปิดหน้าร้าน อย่าให้ใครเข้ามาอีก”
เหตุการณ์เช่นนี้หากไม่ปิดประตู เกรงว่าคงจะมีคนมาเบียดกันที่แบล็กซิกซ์จนเนืองแน่น!
ภายใต้การนำทางของหลิวหมิ่น ทั้งสี่คนนั่งลงในตำแหน่งที่จองไว้ล่วงหน้า
เวลานี้บนเวทีแสดงตรงกลางของบาร์มีนักร้องคนหนึ่งกำลังเล่นดนตรีและร้องเพลงอยู่ เมื่อเห็นลู่เฉินและคนอื่นๆในระยะใกล้ขนาดนี้ เขาตื่นเต้นจนร้องเสียงเพี้ยนและหน้าแดงก่ำ
พนักงานสองคนนำเครื่องดื่มและของว่างมาเสิร์ฟเป็นอันดับแรก
หลังจากซือฟางนั่งลงแล้วก็มองไปรอบๆ ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “บรรยากาศที่นี่ไม่เลวนะคะ”
การตกแต่งของบาร์แบล็กซิกซ์สวยงามมีเอกลักษณ์มาก จัดบรรยากาศของพื้นที่ได้ดี อันที่จริงหากคนน้อยกว่านี้จะยิ่งได้อารมณ์กว่า ด้วยเหตุนี้จึงเก็บลูกค้าเก่าได้กลุ่มหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงปิดร้านเลิกกิจการไปนานแล้ว
ตอนค่ำลูกค้าเยอะเกินไปนิด ส่วนใหญ่แทบไม่มีที่ว่าง ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลิวหมิ่นจัดพนักงานสองสามคนคอยดูแลความเป็นระเบียบอยู่รอบๆ บวกกับลูกค้าของบาร์แบล็กซิกซ์โดยพื้นฐานแล้วค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่มีสติสัมปชัญญะ เกรงว่าคงมีคนกลุ่มหนึ่งมาห้อมล้อมลู่เฉินและคนอื่นๆ เพื่อขอลายเซ็นถ่ายรูปไปนานแล้ว
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยังเป็นจุดสนใจเหมือนเดิม และรูปภาพในร้านก็ได้ถูกโพสต์ลงอินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก
คาดว่าหลังจากผ่านคืนนี้ไปจะมีคนจำนวนมากรู้จักชื่อของแบล็กซิกซ์ อย่างน้อยบาร์ที่หลิวหมิ่นตั้งใจบริหารอย่างยากลำบากแห่งนี้ก็จะได้มีชื่อเสียงแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องการทำธุรกิจอีก
เลี่ยวเจี่ยเปิดเบียร์ดำขวดหนึ่งแล้วดื่ม พลางยิ้มเอ่ยว่า “ไม่กลัวว่าทุกคนจะหัวเราะ ผมก็มาที่นี่ครั้งแรกเหมือนกันเสี่ยวลิ่วเป็นอดีตสมาชิกในวงดนตรีของผม หลิวหมิ่นผู้โด่งดัง ระดับการเล่นเบสอย่างน้อยอยู่สิบอันดับแรกของประเทศ!”
หลิวหมิ่นที่นั่งเป็นเพื่อนรู้สึกละอายมาก “ตอนนี้ไม่ไหวแล้วครับ หนึ่งพันอันดับแรกยังจัดไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ตอนนั้นฝีมือการเล่นเบสของเขามีชื่อเสียงมากในวงการ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคุณสมบัติได้เป็นสมาชิกในวงดนตรีของเลี่ยวเจี่ย ทว่าหลังจากที่เปิดบาร์แล้ว เวลาฝึกจึงน้อยลงเรื่อยๆ มากสุดก็คือตัวเองขึ้นไปแสดงบนเวที ดังนั้นผีมือจึงตกลงไปเยอะมาก
เลี่ยวเจี่ยเป็นคนจริงใจมีใจนักเลง ตอนที่แยกวงครั้งแรกก็รู้สึกผิดต่อเพื่อนๆ สมาชิก ตอนหลังได้ตั้งวงใหม่และเชิญหลิวหมิ่นอีกครั้ง แต่หลิวหมิ่นเลือกที่จะเติบโตที่หังโจว
พูดถึงเรื่องในอดีต หลิวหมิ่นก็รู้สึกเศร้าเหมือนกัน แต่เขาไม่เสียใจ
เลี่ยวเจี่ยเข้าใจ “เพื่อการใช้ชีวิต…”
เมื่อดื่มเบียร์ดำหมดแล้ว เลี่ยวเจี่ยเหมือนถูกเปิดแหล่งกำเนิดของความทรงจำ เริ่มพูดคุยกับพวกลูกค้าเกี่ยวกับวันเวลาเก่าๆ ในยุคของเพลงร็อก
สำหรับหัวข้อเพลงร็อก ลู่เฉินพอจะพูดได้ เพราะเขาก็เคยทำความเข้าใจประวัติช่วงนี้มาระยะหนึ่ง เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า ตอนที่เธอเดบิวต์เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของยุคเพลงร็อกในประเทศพอดี
ที่น่าสนุกก็คือ ซือฟางก็ค่อนข้างคุ้นชินกับเพลงร็อกของประเทศเช่นกัน และเธอก็มีมิตรภาพที่ดีกับนักร้องเพลงร็อกรุ่นพี่สองสามคนในฮ่องกง อย่างเช่น หลินกั๋วเฉิง จางเจียต้ง เป็นต้น
“ปี 92 ฉันเคยดูคอนเสิร์ตของวงเดอะแบล็กโครว์ที่สนามกีฬาเกาลูน จนตอนนี้ก็ยังไม่ลืมค่ะ”
วงเดอะแบล็กโครว์เป็นวงดนตรีร็อกของประเทศวงแรกที่มีการเคลื่อนไหวในช่วงปลายยุค 80 และต้นยุค 90 พวกเขาเคยออกอัลบั้มทั้งหมดสามอัลบั้ม ยอดขายเกินยี่สิบล้านหยวน ถูกมองว่าเป็นเสาเอกแห่งวงการเพลงร็อกของประเทศ
เดือนกันยายน ปี 1993 ขณะที่เกาอี้ซึ่งเป็นนักร้องนำและจิตวิญญาณของวงเดอะแบล็กโครว์กำลังซ้อมคอนเสิร์ต ไม่ระวังพลัดตกลงมาจากเวทีทำให้กะโหลกศีรษะได้รับบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลประชาชนเฉาหยาง ด้วยอายุเพียงสามสิบสองปีเท่านั้น
การเสียชีวิตอย่างคาดไม่ถึงของเกาอี้ เป็นบาดแผลหนักของวงการเพลงร็อกระดับประเทศอย่างไม่ต้องสงสัย และวงเดอะแบล็กโครว์ที่มีบทบาทเป็นตัวนำมาตลอดก็ฟุบลงอย่างไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้ หลังจากนั้นสองปีจึงแยกวง ทิ้งความเศร้าโศกที่ไม่มีที่สิ้นสุดให้กับบรรดาแฟนคลับเพลงร็อกของประเทศ
ปี 92 วงเดอะแบล็กโครว์จัดคอนเสิร์ตที่เกาลูนฮ่องกง เป็นการแสดงคอนเสิร์ตสุดท้ายของพวกเขา ตอนนั้นเป็นที่ฮือฮามากในฮ่องกง
และเกาอี้ก็คือผู้นำทางบนเส้นทางสายร็อกของเลี่ยวเจี่ย และเป็นโค้ชที่เปี่ยมไปด้วยพลังจิตวิญญาณตลอดไป!
เลี่ยวเจี่ยยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าหากพี่เกาอี้ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องด่าผมแน่นอน ว่าตอนนี้ร้องเพลงประสาอะไร!”
เพลงร็อกระดับประเทศตกต่ำลงช่วงปลายยุค 90 ถึงแม้จะไม่หายไปทั้งหมด แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยดนตรีซอฟต์ร็อกเลี่ยวเจี่ยที่ถูกมองว่าเป็นความรุ่งเรื่องสุดท้ายของเพลงร็อกระดับประเทศ ไม่สามารถต้านทานกระแสนิยมได้ จึงเปลี่ยนสไตล์การร้องเพลง
อันที่จริงมีคนพูดว่าเกาอี้เสียชีวิตตอนปี 93 ถือว่าไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับเขา เพราะเขาไม่ต้องเจ็บปวดกับความตกต่ำของเพลงร็อกระดับประเทศ
หัวข้อนี้มีความหนักอึ้ง ลู่เฉินเอ่ยว่า “ผมเชื่อว่าเพลงร็อกไม่มีวันตาย ยุคที่เป็นของเพลงร็อกจะกลับมาแน่นอน”
เลี่ยวเจี่ยแสดงท่าทีหมดความสนใจ “อาจจะใช่มั้ง…”
หลิวหมิ่นรีบกล่าวว่า “พี่เลี่ยว พวกเราขึ้นไปร้องเพลงด้วยกันดีไหมครับ”
เมื่อเทพผู้ยิ่งใหญ่สองสามคนอยู่ที่นี่ นักร้องประจำบาร์แทบไม่กล้าขึ้นเวทีไปโชว์ความขำ
เลี่ยวเจี่ยวางขวดเบียร์เปล่าที่เพิ่งดื่มหมดลงบนโต๊ะอย่างแรง แล้วเอ่ยว่า “ดี!”
เขาชี้ไปที่ลู่เฉินแล้วกล่าวว่า “นายก็มาด้วย!”
…………………………………………………………………………