Perfect Superstar - ตอนที่ 609 ครุ่นคิด
ตอนที่ 609 ครุ่นคิด
นี่คือเอาจริงใช่ไหม
เมื่อเห็นเลี่ยวเจี่ย ลู่เฉิน และหลิวหมิ่นขึ้นเวที พวกลูกค้าในบาร์อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่จ้องมองตาปริบๆ นอกจากได้เจอไอดอลแล้ว แน่นอนว่ายังหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพวกเขาร้องเพลงในร้านจริงๆ นั่นจะเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดตลอดชีวิต
ทว่าก่อนหน้านั้นเลี่ยวเจี่ยกับลู่เฉินและคนอื่นๆ มัวแต่ดื่มเหล้าและพูดคุยกัน ผ่านไปนานครึ่งค่อนวันก็ดูไม่มีวี่แววอะไร พวกเขาจึงรู้สึกทั้งผิดหวังและคาดหวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ในที่สุด ‘ท้องฟ้าเปิดเห็นพระจันทร์’ เสียที!
มีคนนำทีมผิวปากปรบมือให้กำลังใจ เสียงปรบมือดังระงมไปทั่ว และยังมีคนเรียกชื่อ ‘เลี่ยวเจี่ย’ เสียงสูง
“ขอบคุณครับ!”
เลี่ยวเจี่ยเป็นคนตรงไปตรงมาและใจกว้าง เขามาช่วยสนับสนุนบาร์ของน้องชาย เช่นนั้นจึงไม่เสแสร้งทำเป็นเอียงอาย ยืมกีตาร์ตัวหนึ่งมากอดไว้ จากนั้นก็พูดกับไมค์ว่า “คืนนี้ดีใจมาก ที่ได้มาเที่ยวกับเพื่อนที่แบล็กซิกซ์ และขอบคุณความกระตือรือร้นของทุกคน อย่างนั้นผมขอตะโกนร้องเพลงที่นี่สักหน่อยนะครับ!”
“ดี!”
ตามด้วยเสียงร้องยินดีอย่างฮึกเหิม บรรยากาศในร้านเหมือนถังระเบิดถูกจุดไฟ ระเบิดตู้มในทันที!
เลี่ยวเจี่ยคุ้นชินเหตุการณ์แบบนี้มานานแล้ว เขายกมือขึ้นเพื่อให้ทุกคนเงียบ ก่อนจะชี้ไปที่คนด้านหลังแล้วเอ่ยว่า “ผมขอแนะนำสมาชิกวงดนตรีของผมให้ทุกคนรู้จักก่อนนะครับ มือเบสหลิวหมิ่น…”
ทุกคนหัวเราะขึ้นมา บรรยากาศในร้านเต็มไปด้วยความสนุก จากนั้นเสียงปรบมือคึกคักก็ดังขึ้นอีกครั้ง
หลิวหมิ่นกำหมัดขอบคุณ “โชว์ตลกแล้วนะครับ”
เลี่ยวเจี่ยชี้ไปที่ลู่เฉิน “คนนี้เป็นมือกีตาร์…เขาชื่ออะไรนะ”
ทุกคนหัวเราะฮ่าๆ “ลู่เฉิน!”
เลี่ยวเจี่ยตบศีรษะตัวเอง แล้วกล่าวว่า “อ้อใช่ ชื่อลู่เฉิน เป็นเด็กหนุ่มที่เก่งมากๆ ถ้าหากเขาเล่นไม่ดี ทุกคนต้องช่วยไว้หน้าให้กำลังใจหน่อยนะครับ”
เสียงหัวเราะดังมากกว่าเดิม แม้แต่เฉินเฟยเอ๋อร์และซือฟางก็อดขำไม่ได้
วงการเพลงป็อปของประเทศจีน ฝีมือการเล่นกีตาร์ของลู่เฉินโดดเด่นเป็นที่ยอมรับ แน่นอนว่าเลี่ยวเจี่ยมีสิทธิ์ที่จะพูดล้อเล่นกับลู่เฉิน เพราะเขาฝึกและเล่นกีตาร์ถึงขั้นชำนาญมานานแล้ว
ลู่เฉินก็หัวเราะเหมือนกัน เดินไปที่ไมค์แล้วพูดว่า “ขอบคุณทุกคนครับ”
จากนั้นเลี่ยวเจี่ยก็แนะนำมือคีย์บอร์ดกับมือกลอง คราวนี้เขาไม่รู้จริงๆ แต่มีหลิวหมิ่นคอยบอก
ทั้งห้าคน กับวงดนตรีร็อกมาตรฐานขนาดเล็ก!
เลี่ยวเจี่ยตบกีตาร์ที่อยู่ตรงหน้าอก แล้วเอ่ยว่า “ไม่ได้ร้องเพลงมาพักหนึ่งแล้ว นานๆ จะมีเพื่อนอยู่เยอะขนาดนี้ คืนนี้ผมขอร้องเพลง ‘คนเก่า’ ก็แล้วกันครับ”
‘คนเก่า’ เป็นหนึ่งในเพลงร็อกคลาสสิคของเลี่ยวเจี่ย บทเพลงนี้เคยดังมากในยุค 90 ถูกผู้คนมองว่าเป็นผลงานที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยมากที่สุดของเขาและวงแบล็กเมมโมรี่
มันมีความลึกซึ้ง จริงใจ และผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ท่วงทำนองเพลงสั่นสะเทือนหัวใจคน เนื้อเพลงแฝงไปด้วยกลิ่นอายเข้มข้นที่เป็นของยุคนั้น
แฟนเพลงที่ชอบเลี่ยวเจี่ย ไม่มีใครไม่รู้จักเพลง ‘คนเก่า’ เพลงนี้
แน่นอนว่าทุกคนได้พยายามปรบมือให้กำลังใจอย่างเต็มที่
เลี่ยวเจี่ยหันไปมองลู่เฉิน ลู่เฉินส่งสายตาว่าโอเค…บทเพลงนี้เขาคุ้นเคยมากเช่นกัน
เลี่ยวเจี่ยปล่อยใจให้สบาย เย็นนี้มาเที่ยวที่นี่รวมถึงขึ้นมาร้องเพลงบนเวทีเป็นความคิดที่เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่ได้เตรียมซ้อมการแสดงล่วงหน้าแต่อย่างใด อย่างเช่นลู่เฉินถ้าหากเล่นกีตาร์ไม่เป็นก็คงอายแน่
แต่บาร์แบล็กซิกซ์มีโน้ตเพลง ‘คนเก่า’ ในคอมพิวเตอร์พอดี จึงไม่มีปัญหาอย่างสิ้นเชิง
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ โน้มตัวเหมือนกำลังรวบรวมพลัง จากนั้นมือขวาก็วาดผ่านสายกีตาร์อย่างรวดเร็วบรรเลงดนตรีดังกระหึ่มทรงพลังเป็นจังหวะ สั่นสะเทือนแก้วหูของทุกคน
“คนเก่า…”
วินาทีต่อมา เสียงที่เต็มไปด้วยพลังของเลี่ยวเจี่ยก็ดังขึ้นพร้อมจังหวะดนตรี
เขาเคยร้องเพลงนี้นับร้อยครั้งในโอกาสต่างๆ สำหรับพวกลูกค้าที่อยู่ในร้าน มันเป็นเพลงที่พวกเขาได้ยินบ่อยและคุ้นมากถึงมากที่สุด
ทว่าการได้ฟังเพลงสดๆ กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ถึงแม้วงดนตรีที่ตั้งขึ้นมาชั่วคราวนี้จะเทียบไม่ได้กับวงแบล็กเมมโมรี่ การเข้าจังหวะกันของทุกฝ่ายดูเก้ๆ กังๆ ไปบ้าง ขาดพลังกระตุ้นที่เพียงพอ แต่การแสดงของเลี่ยวเจี่ยสามารถกลบเกลื่อนข้อบกพร่องเหล่านี้ได้มากพอ
เสียงร้องของเขาแหบพร่ามากกว่าในตอนนั้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีความร้อนแรงเหมือนดั่งไฟเหมือนในตอนนั้นอีก แม้แต่เสียงคำรามก็ไร้พลัง ทว่าการตกตะกอนของชีวิตที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนเหมือนกับสุราหอมรสเลิศที่บ่มเพาะมาหลายปี แทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณทำให้คนรู้สึกสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว
บาร์เทนเดอร์ที่ยืนอยู่หลังบาร์วางขวดผสมเหล้าที่อยู่ในมือ พวกพนักงานไม่เดินเสิร์ฟน้ำและเหล้าไปทั่ว แต่กลับแอบไปหลบอยู่มุมหนึ่งอย่างเงียบๆ นักร้องประจำบาร์สองสามคนและสมาชิกวงดนตรี ใช้สายตาที่เคารพอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จ้องมองเลี่ยวเจี่ยที่กำลังแผดเสียงร้องบนเวทีอย่างเต็มที่
พวกลูกค้าที่อยู่ในบาร์แบล็กซิกซ์แสดงออกไม่เหมือนกัน พวกเขามีบางคนเม้มปากสนิทท่าทางเคร่งขรึม บางคนกำหมัดแล้วตะโกนอย่างไร้เสียง และในสายตาของบางคนได้ฉายแววตาสดใสเป็นประกาย
ทุกคนราวกับย้อนกลับไปในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของเพลงร็อก โดยเฉพาะคนวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปีเหล่านั้น ตอนที่เลี่ยวเจี่ยนำวงแบล็กเมมโมรี่พิชิตใจจีนแผ่นดินใหญ่ พวกเขากำลังอยู่ในวัยหนุ่ม ไม่สามารถเข้าใจความหมายแฝงที่อยู่ในผลงานเพลงนี้ได้มากพอ
เวลาที่ไร้ความปรานีทำให้พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่เมื่อก่อนไม่เข้าใจ ตอนนี้ได้ฟังเพลง ‘คนเก่า’ อีกครั้ง รู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้แต่คนที่หัวใจแข็งแกร่งเหมือนเหล็กไหล ก็รู้สึกซาบซึ้งประทับใจไม่หยุด
เพราะพวกเขาก็เป็นหรือใกล้จะเป็น ‘คนเก่า’ เหมือนในเพลงนี้
ลู่เฉินยืนอยู่ด้านขวาของเลี่ยวเจี่ย เป็นครั้งแรกที่เขาเล่นดนตรีในวงโดยที่ไม่ได้รับบทนักร้องนำ รู้สึกถึงความแปลกใหม่เช่นกัน
นอกจากความรู้สึกแปลกใหม่นี้แล้ว ความสั่นสะเทือนในใจของลู่เฉินก็ไม่ต่างไปจากพวกลูกค้าในร้านเลยสักนิด
เพราะว่าเขามองเห็นพลังบางอย่างที่อยู่ในตัวของเลี่ยวเจี่ย เป็นพลังแน่วแน่ที่มีให้กับเพลง ให้กับดนตรีร็อกมองเห็นคุณสมบัติที่ล้ำค่าของนักร้องเพลงร็อกรุ่นเก๋าคนนี้ที่ชอบสูบบุหรี่ ชอบดื่มเหล้า และชอบด่าคน
ลู่เฉินอดถามใจตัวเองไม่ได้ว่า ในด้านดนตรีเขาสามารถทำถึงระดับนี้ได้หรือไม่
คำตอบเห็นได้ชัดว่าไม่
เขาเขียนนิยาย เขียนบทละครและภาพยนตร์ ถ่ายละคร ถ่ายภาพยนตร์ ลงทุนทำเกม ลงทุนสร้างบริษัทสื่อมีเดีย…กิจการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทำกำไรได้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนว่าอุดมการณ์ด้านดนตรีในตอนแรกจะมีระยะห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เช่นกัน
ลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง เขาไม่สงสัยตัวเองว่าตอนนี้กำลังเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าจะรีบร้อนเกินไปหน่อยหรือเปล่า จนลืมดูทิวทัศน์ข้างทาง
จนกระทั่งเลี่ยวเจี่ยร้องเนื้อเพลงประโยคสุดท้าย “ลาก่อน พวกเธอคนเก่าเพื่อนเก่าตลอดไป!”
เสียงเงียบกริบไปทั่วร้าน ผ่านไปพักหนึ่งเสียงปรบมือ เสียงโห่ร้อง เสียงผิวปากพลันดังขึ้นไปทั่วบาร์ ราวกับพายุในช่วงฤดูร้อนก็ไม่ปาน กระทั่งเสียงดังทะลุกำแพงหน้าต่าง ส่งเสียงไปถึงถนนด้านนอก
ด้านนอกของบาร์แบล็กซิกซ์มีคนกลุ่มใหญ่มาห้อมล้อม พวกเขาเป็นแฟนเพลงที่ได้ข่าวและรีบมาทันที แต่ถูกพนักงานร้านสกัดไว้ด้านนอก ถึงแม้ว่าหน้าประตูบาร์จะติดป้ายว่าลูกค้าเต็มแล้วก็ตาม แต่น้อยคนที่จะยอมกลับไป
พวกเขาได้ยินเสียงร้องเชียร์และปรบมือ กลุ่มคนจึงเกิดความวุ่นวาย
…………………………………………………………………………