Perfect Superstar - ตอนที่ 642 เพื่ออะไร
ตอนที่ 642 เพื่ออะไร
หลี่มู่ซือเป็นเลสเบี้ยน ในแวดวงเพื่อนสนิท นี่ถือว่าไม่ใช่ความลับอะไร
ลู่เฉินรู้มาตั้งแต่แรก ยังเคยเตือนพี่สาวตัวเองเลยว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่ผู้นี้ต้องระมัดระวังหน่อย
เขาหัวเราะก่อนจะพูดว่า “บังเอิญจัง ผมก็ชอบผู้หญิง”
น้ำเสียงล้อเลียนของลู่เฉินทำให้หลี่มู่ซือถลึงตาใส่เขายกใหญ่ จากนั้นใบหน้าก็พลันหดหู่ทันที
ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอก็นั่งลงตรงข้างเวที แล้วพูดว่า “เมื่อวานนี้ ที่บ้านฉันบังคับให้ฉันไปดูตัว”
ลู่เฉินตกใจทันที
อย่าว่าแต่ตระกูลหลี่เลย ต่อให้เป็นครอบครัวทั่วไป หากมีลูกสาวอย่างหลี่มู่ซืออย่างนี้ก็คงไม่วางใจ แม้ว่าลู่เฉินจะไม่เคยเจอพ่อแม่ของหลี่มู่ซือ แต่เชื่อว่าทั้งสองคงกังวลเรื่องการแต่งงานของหลี่หมู่ซือมากแน่ จัดการให้ดูตัวก็เป็นเรื่องธรรมดามาก
เมื่อเทียบกับสังคมที่เปิดกว้างของต่างประเทศ ในประเทศจีนยังถือว่ามีความอนุรักษ์นิยมอยู่มาก
และการดูตัวอย่างนี้ หลี่มู่ซือคงเบื่อมากอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กลับต่อต้านไม่ได้ แน่นอนว่าต้องอารมณ์ไม่ดีแน่
ลู่เฉินหยิบน้ำแร่สองขวดลงมาจากบนชั้น เขานั่งลงข้างๆ หลี่มู่ซือ ก่อนจะยื่นขวดน้ำให้พร้อมกับช่วยคิดวิธีรับมือ “อย่างนั้นพี่ก็ไปหาผู้ชายมาสักคนมาสวมรอยสิ”
“เชอะ!”
หลี่มู่ซือกลอกตามองบน “นายนึกว่าเอาแฟนปลอมมาแสดงละคร ไทเฮาที่บ้านฉันจะดูไม่ออกเหรอ”
“ฉันว่านายถ่ายละครน้ำเน่ามากไปแล้ว ถึงได้มีความคิดพิสดารแบบนี้ออกมาได้”
ลู่เฉินหัวเราะก่อนจะพูดว่า “อย่างนั้นผมก็จนใจแล้ว วิธีที่ดีที่สุดที่ผมคิดได้ก็คงเป็นอันนี้แหละ”
“บางที…”
หลี่มู่ซือดูราวกับกำลังครุ่นคิด เธอจ้องไปที่ลู่เฉินด้วยสายตาแปลก ๆ “หรือฉันจะหาผู้ชายสักคนแล้วมีลูกออกมาเลย หลังจากนั้นค่อยโยนให้ไทเฮาที่บ้านฉันเลี้ยงดี บางทีมันอาจจะแก้ปัญหาได้”
ลู่เฉินขนลุกกับแววตาของเธอ อดไม่ได้ที่จะเขยิบก้นหนี “เหอะๆ ผมว่าถ้าทำอย่างนี้จริงๆ ความเป็นไปได้ที่จะฆ่าพี่เสียจะมีมากกว่านะ”
หัวสมองของคุณหนูใหญ่คนนี้ไม่เหมือนคนปกติจริงๆ ลู่เฉินรู้สึกว่ารักษาระยะห่างไว้หน่อยจะดีกว่า
หลี่มู่ซือกัดริมฝีปาก จู่ๆ เธอก็โยนขวดน้ำในมือทิ้งไป ก่อนจะยันกายลุกขึ้นแล้วพูดว่า “พวกเรามาสู้กันสักยกสองยกเถอะ ครั้งนี้นายต้องเอาความสามารถที่แท้จริงออกมา อย่ามาอ่อนข้อให้ฉัน”
ลู่เฉินถอนใจ เขาลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “ในเมื่อพี่อยากโดนทรมานมาก อย่างนั้นผมก็จะให้พี่สมใจ”
หลี่มู่ซือจ้องเขาเขม็ง รู้สึกว่าที่กัดไปเมื่อกี้เบาไปเลย
หลังจากนั้นสามนาที
คุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่เดินเซ สูญเสียการทรงตัวอีกครั้งและล้มลงบนเวที
ลู่เฉินเก็บหมัดตน พูดยิ้มๆ ว่า “พอหรือยัง”
ท่ามกลางการต่อสู้ในครั้งที่สอง เขาทำตามคำร้องขอของหลี่มู่ซือไม่ได้อ่อนข้อให้อีกต่อไป ตอบโต้ไปมาเพียงสิบกว่าครั้งก็สามารถล้มอีกฝ่ายได้สามครั้ง และนี่ก็เป็นครั้งที่สี่แล้ว
เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ความสามารถที่แท้จริงของทั้งสองฝ่ายนั้นไม่เพียงแต่ห่างชั้นกัน แต่ยังห่างชั้นกันมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
หลี่มู่ซือนอนแผ่ลงบนเวที ช่วงอกของเธอสั่นหอบหายใจรุนแรง ผิวพรรณที่งดงามดุจหยกเต็มไปด้วยเหงื่อ คิ้วสีเข้มคู่นั้นย่นด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อย และดวงตาก็เต็มไปด้วยความไม่ยินดี
เขารีบถอดนวมแล้วเอนตัวไปดึงหลี่มู่ซือขึ้น “พี่ไหวไหม”
คุณหนูใหญ่คนนี้ไม่ใช่ว่าถูกทุบตีจนลุกไม่ขึ้นไปแล้วหรอกนะ เขายังมีขอบเขตในการออกหมัดอยู่นะ
หลี่มู่ซือไม่ได้ต่อต้านความช่วยเหลือของลู่เฉิน เธอถูกเขาดึงขึ้นมา สีหน้าของเธอกลับมาเป็นปกติ: “ไม่เป็นไร ฉันแค่สงสัย ปกตินายฝึกยังไง ทำไมนายถึงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ”
นี่คือสิ่งที่หลี่มู่ซือสงสัยที่สุด ลู่เฉินทำงานสร้างสรรค์ ร้องเพลง ถ่ายละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ และวิ่งโร่ไปทั่วทุกที่ แม้ว่าเขาจะสามารถออกกำลังกายได้ทุกวัน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีมีเวลาฝึกเหมือนอย่างที่สโมสรป๋อรุ่ยนี้
ที่นี่มีอุปกรณ์ฝึกซ้อมที่ดีที่สุด มีคู่ซ้อมระดับยอดเยี่ยม เพื่อที่จะสามารถเอาชนะลู่เฉินได้ เธอยังเพิ่มการฝึกต่อสู้จริงเป็นพิเศษด้วย แต่ตอนนี้เธอกลับแพ้เสียยับเยิน
สำหรับข้อสงสัยของหลี่มู่ซือ ลู่เฉินลูบจมูกตนเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
เขาคงบอกไม่ได้ว่าแม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้หรอก
หลังจากความฝันฉากนั้นแล้ว นอกจากมีความทรงจำที่มั่งคั่งของโลกหนึ่งแล้ว ลู่เฉินยังรับรู้ได้อย่างชัดเจนเลยถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเอง
จิตใจและปณิธานของเขารวมถึงร่างกาย ล้วนแข็งแกร่งขึ้นมาก ความทรงจำก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ปฏิกิริยาตอบสนองก็ว่องไวและเฉียบแหลมขึ้นมาก ผลลัพธ์จากการฝึกในแต่ละวันก็ยอดเยี่ยมมาก จิตใจก็แข็งแกร่งด้วย
ปกติแล้วเวลาเปิดฉากรักกับเฉินเฟยเอ๋อร์บนเตียง ก็มักจะจบลงที่อีกฝ่ายร้องขอความเมตตาเสมอ
การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเหล่านี้ แม้แต่ลู่เฉินเองยังรู้สึกได้ว่าไม่น่าเชื่อ เขาทำได้เพียงคิดเอาว่าขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา
เมื่ออยู่บนเวทีต่อสู้อย่าว่าแต่เผชิญหน้ากับหลี่มู่ซือเลย ต่อให้เป็นโม่หรานที่เป็นอาจารย์ในความทรงจำมาต่อสู้กับเขา ลู่เฉินก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได
เพียงแต่เขาตอบหลี่มู่ซือไปตามความเป็นจริงไม่ได้ จะบอกว่าตัวเองโกงชีวิตมาก็ใช่ที่ใช่ไหมล่ะ
“ผมมีพรสวรรค์ที่ดี…”
เมื่อได้ยินคำตอบจากลู่เฉิน หลี่มู่ซือก็ตอบกลับด้วยนิ้วกลาง “ไม่พูดกับนายแล้ว ไปนั่งรอที่ห้องน้ำชาเถอะ ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย”
ลู่เฉินลอบถอนหายใจ รีบไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนชุด หลังจากนั้นก็ไปห้องน้ำชากับหลี่มู่ซือ
จากเวทีต่อสู้มาถึงห้องน้ำชา ตรงกลางยังถูกกั้นเอาไว้ด้วยสนามเทนนิสในร่ม จะพูดให้ถูกต้องก็คือสนามเทสนิสเดิม ตอนนี้ได้ถูกรีโนเวทให้เป็นสนามฝึกซ้อมของทีมตระกูลลู่โดยเฉพาะแล้ว
ฉะนั้นเมื่อลู่เฉินเดินผ่านไป จึงหยุดฝีเท้าไว้ชั่วขณะ มองดูสถานการณ์การซ้อมของพวกเขา
ทีมตระกูลลู่ เมื่อถ่ายเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ ที่ฮ่องกงเสร็จสิ้นแล้วก็กลับมาที่แผ่นดินใหญ่ทันที ก่อนจะถูกจัดให้มาฝึกซ้อมที่สโมสรป๋อรุ่ยต่อ หลี่มู่ซือกันสนามเทนนิสให้พวกเขาได้ใช้ด้วยเห็นแก่หน้าเขา
โครงสนามเทนนิสเดิมถูกรื้อถอนไปหมดแล้ว พื้นได้ถูกปูใหม่เป็นพลาสติกซีเมนต์ที่มีความยืดหยุ่น บนนั้นยังมีอุปกรณ์ฝึกที่สั่งทำมาโดยเฉพาะวางอยู่ มีหุ่นไม้หย่งชุนสิบกว่าตัวที่เอาไว้ฝึกหมัดหย่งชุนวางอยู่อย่างสะดุดตา
นอกจากนี้ ยังมีสลิงที่แขวนตัวลงมาจากด้านบนมากกว่าสี่ตัว สมาชิกทีมตระกูลลู่คนหนึ่งกำลังฝึกลอยตัวไปมาในอากาศ พร้อมทำท่าทางต่างๆ
กล้องวิดีโอดิจิทัลความละเอียดสูงติดตามเขาอย่างใกล้ชิด บันทึกทุกการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้
หลี่มู่ซือเบะปากอย่างไม่สนใจ ก่อนจะพูดว่า “ฝึกเทคนิคอะไรพวกนี้แล้วมีประโยชน์จริงเหรอ การต่อสู้และการฆ่าฟันในภาพยนตร์แอกชันฮอลลีวูดไม่ใช่จะออกหมัดโชว์แข้งอะไรแบบนี้นะ!”
สมาชิกทีมตระกูลลู่เดิมทีส่วนใหญ่ก็คือคนของสโมสรป๋อรุ่ย เป็นกองกำลังรักษาความปลอดภัยพิเศษของตระกูลหลี่ที่ถูกฝึกอยู่ ที่ต้องเรียนแน่นอนว่าล้วนเป็นเทคนิคการต่อสู้ที่ใช้ได้จริง
แต่ตอนนี้ที่ลู่เฉินให้พวกเขาฝึกกลับเป็นอะไรที่แตกต่างออกไปมาก หลายคนออกท่าออกหมัดฝึกกันดูอย่างไรก็เป็นการแสดงชัดๆ ให้ความรู้สึกไม่เหมือนจริง เตะมาเตะไปต่อสู้กันเหมือนไม่ได้ออกแรงเลย
หลี่มู่ซือแน่นอนว่าทนดูไม่ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
………………………………………………