Perfect Superstar - ตอนที่ 656 ช่วงเวลา
ตอนที่ 656 ช่วงเวลา
ปูทะเลนึ่งหนึ่งจาน มันฝรั่งเส้นผัดซอสเปรี้ยว เนื้อผัดพริกหยวก ยังมีเมนูสุดท้ายที่เฉินเฟยเอ๋อร์ยกออกมาคือซุปไข่มะเขือเทศ ไม่นับว่ามากมาย แต่สำหรับลู่เฉินแล้วแค่นี้ก็เพียงพอ
พร้อมกับไวน์แดงบอร์โดขวดนี้ ทั้งสองร่วมกันรับประทานอาหารเย็นอย่างอบอุ่น
อิ่มแล้ว ลู่เฉินลงมือเก็บถ้วยชาม ส่วนเฉินเฟยเอ๋อร์ไปชงชาผลไม้
ขณะกำลังย่อยหลังมื้ออาหาร ทั้งสองนั่งอิงแอบกันอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ช่างเป็นช่วงเวลาอันหอมหวานเหมือนตอนคบกันใหม่ๆ
เวลาเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด มันเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ได้ คนสองคนรู้จักกันรักกัน ความประทับใจในตอนแรกมักจะมลายหายไปเสมอ หากไม่เปลี่ยนเป็นความรักอันลึกซึ้ง ก็สลายไปหมดสิ้น
ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์รู้จักกันรักกันมาสองปีแล้ว ส่วนใหญ่จะพบน้อยจากมาก ความรู้สึกที่มีไม่ได้ลดลง กลับยิ่งสะสมบ่มเพาะให้มีมากขึ้น
ชายหนุ่มหญิงสาวในวงการบันเทิง คบๆ เลิกๆ เป็นเรื่องปกติ เพราะเหตุนี้ ทั้งสองจึงยิ่งทะนุถนอมความรักครั้งนี้ที่ได้มาไม่ง่ายเลย
ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันย่อมต้องมีความขัดแย้งกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางครั้งเฉินเฟยเอ๋อร์อารมณ์ไม่ดี ก็ชักสีหน้าหาเรื่องทะเลาะกับลู่เฉิน แต่ลู่เฉินจะใช้ความใจกว้างของตัวเองลบล้างปัญหาระหว่างกันออกไปหมด
แม้เฉินเฟยเอ๋อร์อายุมากกว่า แต่ในชีวิตจริงนั้นทั้งสองกลับสลับบทบาทกัน
“กินอิ่มมากเลย…”
เฉินเฟยเอ๋อร์เอนกายพิงในอ้อมอกของลู่เฉินอย่างเกียจคร้าน ดวงตาครึ่งปิดครึ่งเปิดบอกว่า “คืนนี้เราออกไปเดินเล่นกันเถอะ”
ลู่เฉินลูบผมเธอยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “ได้ คุณอยากไปไหนล่ะ”
ทั้งสองหลบอยู่ในบ้านมาสามวันแล้ว ไม่ได้ออกไปข้างนอกสักเท่าไร ปกติเวลากินอาหารก็ให้แม่บ้านซื้อมาให้จากซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างตรงเวลา
เฉินเฟยเอ๋อร์คิดอย่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “เราออกไปเดินเล่นกันก่อน แล้วค่อยไปที่บาร์เดย์ลิลลี่”
ตอนนี้เธอกับลู่เฉินเหมือนยืนอยู่บนขอบหน้าผาในวงการบันเทิง ‘ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว’ กำลังจะเปิดกล้อง ไม่รู้มีสื่อมากมายแค่ไหนที่จ้องอยู่ ไปที่ไหนก็ไม่สะดวกทั้งนั้น
บาร์เดย์ลิลลี่ดีหน่อย เพราะนับเป็นพื้นที่ของลู่เฉินครึ่งหนึ่ง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่
ทั้งสองจึงเดินทางออกจากบ้าน ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้ๆ ก่อน จนได้เวลาแล้วจึงให้จางเสี่ยวฟางขับรถมารับมุ่งไปที่บาร์เดย์ลิลลี่
ลู่เฉินไม่ได้มาที่บาร์เดย์ลิลลี่พักใหญ่แล้ว
บาร์เดย์ลิลลี่ในวันนี้ไม่เหมือนตอนแรกแล้ว ครั้งก่อนที่ลู่เฉินจัดงานแฟนมีตติ้งเพื่อขอบคุณแฟนคลับนั้น เฉินเจี้ยนหาวๆ ได้รวมพื้นที่ด้านข้างเข้ามา จึงกว้างใหญ่ขึ้นมาก
หลังจากผ่านการตกแต่งใหม่ บาร์เดย์ลิลลี่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมมากกว่าสองเท่า ด้านนอกยังมีลานจอดรถโดยเฉพาะ ว่ากันด้วยเรื่องของขนาดแล้วไม่เป็นรองบาร์บลูโลตัสที่ใหญ่ที่สุดในย่านทะเลสาบโฮ่วไห่เลย
การตกแต่งใหม่ต้องใช้เงินทุนมหาศาล ไม่เพียงแต่เปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องเสียงเป็นแบบใหม่ การตกแต่งในตัวอาคารยังเชิญมัณฑนากรมาโดยเฉพาะ ทั้งหมดทุ่มเงินไปหลายล้าน
ตัวเฉินเจี้ยนหาวเองไม่มีปัญญาออกเงินมากขนาดนั้น เขาดึงลู่เฉินมาลงทุนสามล้าน เพิ่มหุ้นให้ลู่เฉินเป็น 40% กลายเป็นหุ้นส่วนตัวจริง
จากเดิมลู่เฉินมีหุ้นอยู่ในบาร์เดย์ลิลลี่ 5% เขาใช้เพลงหนึ่งเพลงแลกมันมา เรื่องเล่านี้ได้ถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งย่านโฮ่วไห่ ทุกคนคิดว่าเฉินเจี้ยนหาวโชคดี และเป็นคนที่มีสายตาหลักแหลมว่องไว
บาร์เดย์ลิลลี่มีชื่อเสียงขึ้นเพราะลู่เฉิน กิจการดีมากทุกวัน ลู่เฉินใช้เงินสามล้านได้ถือหุ้น 40% หากมองจากมุมมองทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว ความจริงแล้วไม่ได้เสียประโยชน์สักนิด
แต่ลู่เฉินในตอนนี้ไม่ได้สนใจหุ้นของบาร์แห่งนี้ เขาออกทุนไปเพื่อช่วยเหลือเฉินเจี้ยนหาว และเพื่อสืบสานมิตรภาพของทั้งคู่
เสื้อผ้าไม่มีอะไรดีกว่าของใหม่ คนไม่มีใครดีกว่าเพื่อนเก่า!
เมื่อลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อรมาถึงบาร์เดย์ลิลลี่ ในบาร์มีลูกค้าอยู่เต็ม
ต้องรู้ว่าตอนนี้ยังไม่สามทุ่มเลย ยังห่างจากช่วงเวลาเริ่มต้นชีวิตยามราตรีไปอีกสักพัก สถานการณ์แบบนี้บ่งบอกว่ากิจการของบาร์เดย์ลิลลี่ดีมากแค่ไหน
“ถึงนายจะไม่อยู่ที่นี่ เรื่องเล่าของนายยังอยู่!”
ได้พบกับเฉินเจี้ยนหาวอีกครั้งในออฟฟิศของบาร์ เถ้าแก่บาร์เดย์ลิลลี่คนนี้ที่เป็นพ่อลูกอ่อนอาศัยมุกขำขันในอินเทอร์เน็ตหยอกล้อกับลู่เฉินว่า “มีเวลาว่างก็มาหน่อย ตอนนี้นายก็เป็นเถ้าแก่เหมือนกันนะ!”
แม้จะเป็นการหยอกเย้า แต่ก็มีเหตุผล แขกเหรื่อในบาร์เดย์ลิลลี่จำนวนมากเป็นคนในแวดวง หรือถึงขั้นเป็นนักร้องหลักจากบาร์อื่น หลายคนที่มีความทะเยอทะยานล้วนอยากมาดื่มที่นี่ อยากเห็นจุดกำเนิดของลู่เฉิน
ในย่านโฮ่วไห่ ลู่เฉินเป็นนักร้องในตำนาน!
ลู่เฉินหัวเราะ “ตอนนี้ผมก็มาแล้วไม่ใช่เหรอ”
เฉินเจี้ยนหาวตบบ่าเขา บอกว่า “มาแล้วก็นั่งนานหน่อย มีแขกหลายคนที่คิดถึงนาย”
เฉินเจี้ยนหาวรู้ว่าลู่เฉินไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ชื่อเสียงความสำเร็จทำให้มีงานรัดตัว มาได้แต่ละครั้งไม่ง่ายเลย แต่เขาก็ยังอยากให้ลู่เฉินมาบ่อยๆ
ไม่ใช่เพื่อธุรกิจ แต่เพื่อสืบสานช่วงเวลาในอดีต
ธุรกิจของบาร์เดย์ลิลลี่ดีมากพอแล้ว
“เรียกแม่บุญธรรม เรียกสิ…”
ลู่เฉินกับเฉินเจี้ยนหาวพูดคุยกันอยู่ด้านนี้ อีกด้านเฉินเฟยเอ๋อร์กำลังหยอกเล่นกับลูกชายของเขาอยู่
พี่น่าก็อยู่
ตั้งแต่แต่งงานกับเฉินเจี้ยนหาว เธอออกจากวงการไปเลย เพื่อเลี้ยงลูกดูแลสามีอย่างสบายใจ
แต่หลังจากบาร์ตกแต่งใหม่จนเสร็จ กิจการรุ่งเรืองมากขึ้นเฉินเจี้ยนหาวต้องดูแลควบคุมงานในบาร์ จึงให้พี่น่าพาลูกมาด้วย ไม่ให้เธออยู่บ้านจนเบื่อ และยังได้ช่วยงานด้วย
คืนนี้เธออยู่พอดี
ลูกชายของเฉินเจี้ยนหาวกับพี่น่าใกล้จะหนึ่งขวบเต็มแล้ว เทียบกับตอนที่อายุไม่กี่เดือน เขาเติบโตแข็งแรงขึ้นมาก ทั้งขาวทั้งอ้วนน่ารักเป็นที่สุด
แต่ตอนนี้เขามีหรือจะเรียกคุณน้าได้ เมื่อเผชิญกับการหยอกเย้าของเฉินเฟยเอ๋อร์ ทำได้แต่โบกมือไปมาตอบโต้แทน ทำให้เฉินเฟยเอ๋อร์หัวเราะชอบใจ อุ้มเขาไว้ไม่ยอมวางมือ
ครั้งก่อนงานเลี้ยงแฟนมีตติ้งของลู่เฉินในบาร์เดย์ลิลลี่ เฉินเฟยเอ๋อร์เคยพบกับเฉินคังผิงลูกชายตัวอ้วนของพี่น่า ตอนนั้นยังบอกว่าจะเป็นแม่บุญธรรมให้เฉินคังผิง
ตอนนี้สถานะนี้ยิ่งได้รับการรับรอง
พี่น่ายิ้มจนตาหยี ลากเฉินเฟยเอ๋อร์ออกไปกระซิบกระซาบ ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน ทำเอาเธอหน้าแดงแจ๋
เฉินเจี้ยนหาวบอกลู่เฉินว่า “ให้พวกเธอคุยกันไปก่อน พวกเราลงไปดื่มกันหน่อย?”
ลู่เฉินไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เขาบอกเฉินเฟยเอ๋อร์แล้วลงไปที่ชั้นล่างของบาร์
การปรากฏตัวของเขาสร้างความเคลื่อนไหวให้แก่บรรดาแขกเหรื่อในร้าน
ทุกคนรู้ว่าลู่เฉินกับบาร์เดย์ลิลลี่เกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่น้อยครั้งมากที่จะมาปรากฏตัว การที่เขามาในวันนี้เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์มากสำหรับพวกเขา
ดีที่ลูกค้าของบาร์เดย์ลิลลี่เป็นกลุ่มคนที่มีวุฒิภาวะ ไม่ค่อยล้อมวงหรือพุ่งตัวเข้ามาขอถ่ายรูป แต่ยังมีแขกหลายคนที่หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป
ลู่เฉินเคยชินกับการถูกจับตามองแบบนี้แล้ว เขานั่งลงที่หน้าบาร์อย่างไม่คิดอะไร
……………………………………………………