Perfect Superstar - ตอนที่ 672 เขียนกลอนให้เขาแต่ไม่กล้าส่ง
ตอนที่ 672 เขียนกลอนให้เขาแต่ไม่กล้าส่ง
ยกแก้วชมแสงจันทร์ ที่สาดส่องสู่เงาของคนทั้งสาม
วันนี้อากาศดีมาก พระจันทร์กลมโตแขวนอยู่กลางท้องฟ้า แสงไฟของเมืองหลวงที่อยู่ห่างออกไปไม่อาจข่มแสงจันทร์ได้ แม้จะผ่านวันเพ็ญไปแล้ว แต่พระจันทร์ยังโดดเด่นสะดุดตา
แสงจันทร์เหมือนสายธาร สาดส่องต้องพื้นผิวระเบียง ลู่เฉินมีคนรักคอยเคียงข้าง ได้ลิ้มรสสุดยอดชา ยังปรึกษาหารือกันเรื่องสถานีโทรทัศน์เคจีเอส แต่ในใจกลับมีความสุขอย่างประหลาด
เถียนเถียนมองท่าทางสบายๆ เป็นอิสระของเขาอย่างไม่เข้าตา เธอกลอกตาหนึ่งที ก่อนจะบอกลู่เฉินว่า “นายเห็นมั้ยอาหารเย็นฉันก็เป็นคนทำ ตอนนี้ยังชงชาอย่างเหน็ดเหนื่อย นายนั่งชิมอย่างเดียวไม่คิดจะทำอะไรเลย?”
ลู่เฉินหลุดขำ “แล้วจะให้ผมทำอะไร”
เถียนเถียนยิ้มตาหยี “ร้องเพลงสิ เอาเพลงที่ฉันไม่เคยฟัง”
เถียนเถียนเคยได้ยินเฉินเฟยเอ๋อร์เล่าว่า ตอนที่อยู่บ้านกับลู่เฉิน ลู่เฉินมักจะร้องเพลงใหม่ที่แต่งเพื่อเธอโดยเฉพาะ
ตอนที่เฉินเฟยเอ๋อร์กำลังเล่านั้น ใบหน้าอ่อนโยนดวงตาเป็นประกายด้วยความสุข ชนิดที่ปิดบังเอาไว้ไม่อยู่
ตอนนั้นเถียนเถียนอิจฉามาก ถึงขั้นริษยาด้วยซ้ำ
เธอสวยมาก ฐานะครอบครัวก็ไม่เลว ตั้งแต่เรียนมัธยมต้นมีคนมาตามจีบมากมาย
แต่เถียนเถียนไม่เคยถูกใจใครสักคน ไม่ใช่เพราะคนที่มาจีบเธอไม่มีดี มีทั้งคนที่หน้าตาดี มีทั้งคนที่ฉลาดมีความสามารถ มีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จทางด้านการงาน
แต่เธอมักจะรู้สึกว่าคนที่มาตามจีบเธอเหล่านี้ ไม่มีคนที่เธอชอบจริงๆ
แล้วเธอก็ได้รู้จักลู่เฉิน
ความรู้สึกของคนเรามันช่างประหลาด หากไม่ชอบก็ไม่ชอบไปตลอดชีวิต แต่ถ้าชอบหรือถูกใจแล้วก็จะไม่มีวันลืม หรืออาจจะไม่ชอบในตอนแรกแต่อยู่ๆ ก็ชอบเขาขึ้นมา หรือชอบแต่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเป็นรังเกียจ
เถียนเถียนได้รู้จักลู่เฉินจริงๆ เมื่อตอนที่ลู่เฉินยื่นมือเข้าช่วยเหลือเธอได้ทันเวลาจากเหตุการณ์อันตราย
นึกย้อนกลับไปแล้ว เธอยังอดหวั่นใจไม่ได้
ในระยะเวลาสั้นๆ ลู่เฉินที่เป็นฮีโร่ ก็บุกเข้ามาสู่หัวใจของเธอได้แล้ว
แต่ลู่เฉินเป็นแฟนหนุ่มของเฉินเฟยเอ๋อร์
เฉินเฟยเอ๋อร์เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ
การแย่งแฟนของเพื่อนรักเป็นเรื่องหน้าไม่อาย เถียนเถียนไม่มีทางทำมันได้ลง ดังนั้นเธอจึงฝังกลบความรู้สึกดีๆ นี้เอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ไม่เคยแสดงออกมาให้ใครได้เห็น
เธอคิดว่าความรักของตัวเองจะค่อยๆ เจือจางลงตามกาลเวลาที่ผ่านไป
แต่ตอนนี้เธออดไม่ได้แล้ว อดไม่ได้อยากให้ลู่เฉินร้องเพลงให้เธอบ้าง เพลงเดียวก็พอ
แค่นี้ก็ไม่มีอะไรต้องเสียดายแล้ว
ลู่เฉินมองไม่ออกถึงความรู้สึกหวั่นไหวที่ฝังลึกอยู่ในแววตาของเธอ กับคำร้องขอของเธอ เขารับปากอย่างง่ายดาย “ได้!”
ก็แค่ร้องเพลงเพลงเดียวไม่ใช่เหรอ ธรรมดา!
เมื่อคิดว่าเธอเดินทางจากหังโจวมาถึงปักกิ่ง เจรจาต่อสู้กับเคจีเอสเพื่อผลประโยชน์ของทุกคน…
คำร้องขอเล็กน้อยแค่นี้มีหรือจะทำให้ไม่ได้
ลู่เฉินลุกขึ้นไปหยิบกีตาร์ไม้กุหลาบจากห้องหนังสือ แล้วกลับมานั่งลงที่เดิม
เขากอดกีตาร์นั่งหลังตรง นิ้วมือพรมลงบนสายกีตาร์เบาๆ
“เพลงนี้ ขอมอบให้กับความงามและความน่ารักของคุณเถียนเถียนของเรา หวังว่าเธอจะชอบนะครับ!”
เถียนเถียนหน้าแดงขึ้นมา เธออดไม่ได้แอบหันไปมองเฉินเฟยเอ๋อร์
เฉินเฟยเอ๋อร์จ้องมองเธอตาปริบๆ
เถียนเถียนใจเต้นแรงระลอกใหญ่
เธอรู้สึกว่าความในใจที่เก็บซ่อนไว้ถูกเพื่อนรักมองออกหมดแล้ว รู้สึกร้อนตัวขึ้นมา
ลู่เฉินเริ่มบรรเลงและขับร้องโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“วิ่งเท้าเปล่าริมทางรถไฟไล่ตามแสงอัสดง
กล่องลูกแก้วกับการ์ดฮีโร่
เล่นหนังยางกับซ่อนหาใต้สะพาน
คุณยายนั่งเย็บรองเท้าอยู่ที่ลานบ้าน
…
แป้นบาสหน้าประตูเหล็กกับใบแปะก๊วย
กระท่อมมุงจากยังมีคนอยู่
หลังเลิกเรียนเล่นกันโหวกเหวก
ร่องน้ำระหว่างแปลงนาสายน้ำไหลซู่ซ่า
…”
ดีดกีตาร์เบาๆ ร้องเสียงเบาๆ ไม่ต้องใช้เรี่ยวแรงอะไรมาก ราวกับกำลังเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง นำพาความทรงจำและความคิดถึงมา ทำให้คนรู้สึกว่าเวลาไหลย้อนกลับ
ท่วงทำนองจากกีตาร์อันสดใสปรากฏออกมาเป็นภาพวาดตามจินตนาการ ฟังเพลงนี้แล้ว เหมือนวันวานหวนกลับมาอีกครั้ง ช่วงเวลาในวัยเด็ก ความสนุกสนานในบ้านเกิด ยังมีความคาดหวังและความโหยหาการเจริญเติบโน…
ทุกสิ่งปรากฏอยู่ในทุกท่วงทำนองและคำร้อง!
“…
พวกเราเติบโตขึ้นทุกวัน
ในฝันหวานลูกกวาดกระต่ายขาวยังติดฟันของเรา
จินตนาการว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับเทพ
วาดภาพลงบนผนังสีขาว
…
พวกเราเติบโตขึ้นทุกวัน
สี่ฤดูผ่านไปไม้ใหญ่แตกหน่อ
ในกองทรายมีสมบัติและปราสาทซ่อนอยู่
ใช้แผ่นไม้ยาวก่อสร้างเป็นบ้าน
…”
เฉินเฟยเอ๋อร์กับเถียนเถียนฟังจนเคลิ้ม
เพลงนี้เป็นเพลงบัลลาดที่ชัดเจนที่สุดของลู่เฉิน และเป็นเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวในวัยเรียนได้อย่างมีอรรถรส
เขาเป็นผู้สร้างกระแสเพลงบัลลาดที่มีกลิ่นอายของเรื่องราวในรั้วโรงเรียน แต่หลังจาก อัลบั้ม ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ แล้ว เกิดการเปลี่ยนแนวครั้งใหญ่ ด้านการแต่งเพลงเขาหันไปทำเพลงซอฟต์ร็อกและเพลงรักเสียมาก
นี่ทำให้แฟนเพลงที่ชื่นชอบเพลงบัลลาดเสียดายเป็นพิเศษ
ตอนนี้ลู่เฉินนำเสนอเพลงนี้ออกมา จะไม่ให้ทั้งสองสาวตกตะลึงได้อย่างไร!
ทั้งเฉินเฟยเอ๋อร์และเถียนเถียนต่างชื่นชอบผลงานเพลงบัลลาดของลู่เฉิน อย่างเช่นเพลง ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ ‘ดอกไม้เหล่านั้น’ ‘วัยเจิดจรัส’ เป็นต้น
เฉินเฟยเอ๋อร์ยังเคยร้องคัฟเวอร์เพลง ‘ดอกไม้เหล่านั้น’
เพราะชื่นชอบ ดังนั้นทั้งสองจึงตั้งให้ฟังเป็นพิเศษ ด้วยกลัวว่าจะพลาดเนื้อเพลงประโยคใดไป
เสียงเพลงของลู่เฉินมีแรงดึงดูด ท่ามกลางการหวนนึกถึงอดีตมีความเศร้าแฝงอยู่นิดๆ แม้การบรรเลงกีตาร์และเทคนิคการร้องล้วนธรรมดาไม่แปลกประหลาด แต่ยังมีพลังกระทบกระเทือนจิตใจของคนฟังได้อยู่ดี
ทำให้อารมณ์ของพวกเธอล่องลอยตามแสงจันทร์กับเสียงเพลงไปแสนไกล
จนกระทั่งเพลงจบ
“…ยังคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่แค่ไหน เขียนกลอนให้เธอแต่ไม่กล้าส่ง”
“กลอนเล็กๆ กลับไม่กล้าส่งให้เธอ”
ประโยคสุดท้ายทำให้เถียนเถียนเกิดความรู้สึกหลอน เพราะเนื้อร้องของลู่เฉินคือเสียงจากใจของเธอ!
เธอเกือบเสียท่า
ปาดรอยน้ำตาที่หายไปแล้ว เถียนเถียนยิ้มน้อยๆ แล้วปรบมือ
เขียนกลอนให้เขาแต่ไม่กล้าส่ง
ลู่เฉินยิ้ม “ขอบคุณครับ”
เฉินเฟยเอ๋อร์ปรบมือเช่นกัน ส่งยิ้มหวานยวนใจให้ลู่เฉิน หลังจากปรบมือเสร็จเธอยื่นมือไปกอดเถียนเถียน แล้วบอกว่า “เพลงนี้เป็นเพลงที่นายมอบให้เถียนเถียน ต่อไปต้องร้องให้พวกเราฟังเท่านั้น!”
ลู่เฉินตอบรับ “ได้สิ”
เขามีผลงานเพลงอีกมากมายให้ร้อง เก็บเพลงไม่กี่เพลงไว้ร้องให้คนรักกับเพื่อนฟังจะเป็นอะไรไป
เถียนเถียนถาม “เพลงนี้ชื่อว่าอะไร”
ลู่เฉินตอบ “ชื่อว่าวัยเยาว์ เป็นเรื่องราวตอนเด็กๆ ของพวกเรา”
เป็นชื่อที่สอดคล้องมาก…
เถียนเถียนพยักหน้า พูดกับเฉินเฟยเอ๋อร์ว่า “พี่เฟยเอ๋อร์ ฉันเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน”
“ได้สิ…”
เฉินเฟยเอ๋อร์ตอบ “ฉันไปเป็นเพื่อน”
ทั้งสองคนเดินจากไป ทิ้งให้ลู่เฉินนั่งอยู่คนเดียวที่ระเบียง
ลู่เฉินทำหน้าไม่ถูก ทำได้เพียงเก็บกวาดชุดน้ำชาที่ใช้แล้ว
หลังจากเสร็จสิ้น เขาอาบน้ำในห้องน้ำของห้องนอนแขก จากนั้นก็ขึ้นเตียงนอนอย่างเร็ว
วันรุ่งขึ้นยังต้องไปถ่ายละครที่โรงถ่ายอีก
……………………………………
หมายเหตุ : ‘วัยเยาว์’คำร้อง : ถังยางเฟิง / ทำนอง :หลิวเฮ่าหลิน