Perfect Superstar - ตอนที่ 731 สองบทเพลง
ตอนที่ 731 สองบทเพลง
การประชุมอย่างเป็นทางการระหว่างลู่เฉินและเฉินกั๋วจื้อเกิดขึ้นหลังจากนั้นเจ็ดวัน และสถานที่ก็คือสโมสรส่วนตัวแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง
สโมสรแห่งนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน และมีสมาชิกในแวดวงเศรษฐกิจและวงการบันเทิงมากมาย นอกจากนี้ในกรุงปักกิ่งที่เต็มไปด้วยพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนก็ยังถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ สภาพแวดล้อมและความเป็นส่วนตัวนั้นยอดเยี่ยมเป็นเลิศ
เพื่อพบกับลู่เฉิน เฉินกั๋วจื้อยังตั้งใจจองห้องส่วนตัวเอาไว้เป็นพิเศษ แสดงให้เห็นว่าผู้กำกับใหญ่คนนี้ให้ความสำคัญต่อลู่เฉิน
การพบกันของทั้งสองฝ่ายมีเพียงสี่ที่นั่งเท่านั้น ลู่เฉินพาเฉินเฟยเอ๋อร์มาด้วย และเฉินกั๋วจื้อก็พาผู้ช่วยของเขามาเช่นกัน
ปีนี้เฉินกั๋วจื้อมีอายุห้าสิบปีกว่าแล้ว รูปร่างผอม ตัวเล็กและเตี้ย เนื้อบนใบหน้าน้อยทำให้เห็นโหนกแก้มสูง แต่ดวงตาทั้งคู่กลับมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นมาก นัยน์ตาของเขาแหลมคมและเห็นได้ชัดถึงความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
หลังจากพบปะพูดคุยทักทายกันแล้ว ทุกคนก็นั่งลงพร้อมกัน
เฉินกั๋วจื้อพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณเฉินเฟยเอ๋อร์นับวันยิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ คงเป็นเพราะมนตร์แห่งความรักเป็นแน่!”
คาดไม่ถึงว่าผู้กำกับใหญ่ท่านนี้จะหยอกล้อเฉินเฟยเออร์ ทำให้บรรยากาศในห้องผ่อนคลายขึ้นมาทันที
เฉินเฟยเออร์เม้มริมฝีปากยิ้มพูดขึ้น “ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ ท่านก็นับวันยิ่งหน้าเด็กลงเรื่อยๆ เช่นกัน…”
เธอเคยร่วมงานกับเฉินกั๋วจื้อมาก่อน เคยรับบทเป็นนักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เฉินกั๋วจื้อเป็นผู้กำกับ
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว
จะบอกว่าวงการบันเทิงใหญ่ก็ไม่ใช่ บางคนเจอกันทุกวันก็มี แต่จะบอกว่าเล็กก็ไม่เชิง ผู้คนพลุกพล่านไปมา ราวกับกองพันหุ้มเกราะของทหารที่หลั่งไหลไปมา
สำหรับการตอบกลับด้วยคำหยอกล้อเล็กน้อยของเฉินเฟยเอ๋อร์ ผู้กำกับใหญ่เฉินลูบผมที่เบาบางของเขาและยิ้มอย่างขมขื่น “แก่แล้ว ลมพัดปลิวไปตามสายฝนและลมเสมอ และตอนนี้ก็เป็นยุคสมัยของคนหนุ่มสาวอย่างพวกคุณแล้ว!””
สายตาเขาหันไปหาลู่เฉิน “ลู่เฉิน อืม ผมเรียกคุณว่าเสี่ยวลู่คงจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
ลู่เฉินยิ้มขณะพูด “ผู้กำกับเฉิน เป็นเกียรติมากครับ”
สิ่งที่ลู่เฉินพูดไม่ใช่เพราะเกรงใจ แต่เขาเคารพและชื่นชมผู้กำกับใหญ่คนนี้มาก ทั้งยังเป็นผู้อาวุโสอย่างแท้จริง!
เฉินกั๋วจื้อพยักหน้าพูดขึ้น “เสี่ยวลู่ ผมรู้ว่าเวลาของคุณมีค่า และผมเองก็ยุ่งมาก จะไม่พูดพิธีรีตรองให้มากความ มาเข้าเรื่องกันเถอะ!”
ลู่เฉินรีบยืดตัวตรง “เชิญครับ”
เฉินกั๋วจื้อพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม “บอกตามตรง ตอนที่ผมรับงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิของสถานีวิทยุโทรทัศน์กลาง ผมรู้สึกกดดันมาก กลัวว่าสุดท้ายแล้วผู้ชมจะไม่พอใจเมื่อโปรแกรมรายการออกมา”
“งบประมาณสำหรับงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิปีหน้าประมาณ 300 ล้านหยวน ถึงแม้ว่าจะบอกว่าได้คืนจากการประมูลโฆษณา แต่ถ้าคนทั่วไปดูแล้วไม่พอใจ วันส่งท้ายปีเก่าถูกต่อว่าด้วยวาจาลบหลู่ คุณคิดว่าการใช้เงิน 300 ล้านหยวนเปล่าประโยชน์หรือไม่ และในฐานะที่ผมเป็นผู้กำกับจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบอะไรไหม”
ลู่เฉินฟังอย่างเงียบๆ ทอดถอนใจอย่างใจหาย
เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิมากนัก แต่เขาก็พอรับรู้สถานการณ์มาบ้าง ปัจจุบันนี้ค่าใช้จ่ายสำหรับงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิของสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เรตติ้งกลับลดลงทุกปี มีเสียงวิพากวิจารณ์มากมายบนอินเทอร์เน็ต และเชื่อกันว่างานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิเป็นการสิ้นเปลืองเงินที่หามาอย่างยากลำบากของประชาชน
แน่นอนว่าคำกล่าวหานี้รุนแรงเกินไป ถึงอย่างไรงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็ทำในรูปแบบธุรกิจ และไม่ได้จัดขึ้นจากงบประมาณของรัฐบาล อีกทั้งยังได้รับผลกำไรมหาศาลอีกด้วย
แต่มันก็เป็นความจริงที่แย้งไม่ได้ว่าคำสรรเสริญของประชาชนลดลงอย่างมาก ความต้องการด้านสุนทรียภาพของผู้ชมมีมากขึ้นเรื่อยๆ เฉินกั๋วจื้อรับผิดชอบภาระหน้าที่นี้ เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกกดดันอย่างมาก
และเขาไม่ได้เลี่ยงที่จะพูดถึงประเด็นนี้ “มีห้าหรือหกร้อยรายการที่เสนอขึ้นมา และผมก็ได้ดูมาเกินครึ่งของรายการแล้ว เพียงแต่มีไม่เกินห้ารายการเท่านั้นที่ดึงดูดสายตาผม!”
จริงๆ แล้วยังมีคำพูดอีกมากที่เฉินกั๋วจื้อยังไม่ได้พูดออกมา นั่นคือในฐานะผู้กำกับงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เขากลับไม่มีอำนาจในการเลือกโปรแกรมรายการทั้งหมด เพราะมีผู้จับตามองงานนี้มากเกินไป และเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในทุกด้าน ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ความตั้งใจของเฉินกั๋วจื้อคือพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้โปรแกรมรายการคุณภาพสูงปรากฏในงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิภายใต้ขอบเขตอำนาจของเขา เพื่อให้ผู้ชมทั่วไปพึงพอใจและมีความสุขที่ได้รับชม!
อย่างไรก็ตามมันไม่ง่ายเลยที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“เสี่ยวลู่…”
เฉินกั๋วจื้อบอกกับลู่เฉินอย่างจริงใจ “ผมได้ฟังผลงานเพลงป็อปของคุณมาไม่น้อย ในความคิดของผม คุณเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงที่เก่งที่สุดในประเทศจีน ดังนั้นผมหวังว่าคุณจะสามารถเขียนหนึ่งบทเพลงสำหรับงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิโดยเฉพาะ”
“เกี่ยวกับผลงานในรูปแบบไหนนั้น ให้คุณตัดสินใจได้เลย!”
ความจริงแล้วความตั้งใจของเฉินกั๋วจื้อ เขาได้แจ้งลู่เฉินผ่านผู้ช่วยของเขาล่วงหน้าแล้ว
ตอนนี้มาอธิบายอีกครั้ง นั่นเป็นการเน้นย้ำว่าเขาให้ความสำคัญ รวมถึงไว้วางใจในตัวลู่เฉินอย่างไม่ต้องสงสัย
ต้องเข้าใจว่าลู่เฉินและเฉินกั๋วจื้อไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และทั้งสองไม่เคยมีการติดต่อปฏิสัมพันธ์ใดๆ เลย การให้ความสำคัญและความไว้วางใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยาก โดยเฉพาะบนเวทีใหญ่อย่างงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิของสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนนับล้าน!
สิ่งนี้ทำให้ลู่เฉินรู้สึกกดดันขึ้นมา
เขาและเฉินเฟยเอ๋อร์มองหน้ากัน เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มและพยักหน้า
ลู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดขึ้น “ผู้กำกับเฉิน ขอบคุณสำหรับความเมตตาของคุณครับ อันที่จริงการมาในครั้งนี้ ผมเตรียมผลงานมาสองบทเพลง อยากให้คุณช่วยชี้แนะด้วยครับ!”
ทันทีที่น้ำเสียงของเขาหยุดลง เฉินเฟยเอ๋อร์หยิบเครื่องเล่นเพลงพกพาระดับมืออาชีพพร้อมหูฟัง และโน้ตเพลงสองชุดที่เย็บเล่มไว้ด้วยกันออกมาจากกระเป๋าของเธอ
วางไว้ด้านหน้าของเฉินกั๋วจื้อ
เมื่อมองไปที่โน้ตเพลงและเครื่องเล่นเพลงด้านหน้า เฉินกั๋วจื้อรู้สึกแปลกใจจริงๆ
เขาไม่นึกเลยว่าลู่เฉินจะเตรียมตัวมาพร้อมเช่นนี้ ทั้งยังนำผลงานเพลงมาด้วยอีกต่างหาก
หนำซ้ำยังมีถึงสองบทเพลงอีกด้วย!
อย่างไรเสียก็คือคนหนุ่มสาวนี่นะ …
นอกจากจะแปลกใจแล้ว ผู้กำกับใหญ่เฉินยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะเขารู้สึกว่าลู่เฉินมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย บวกกับเพิ่งได้รับความสนใจเมื่อเร็วๆ นี้อีก ดังนั้นจึงแสดงความใจร้อนหุนหันออกมา
นี่เป็นการแสดงที่จะจัดขึ้นที่งานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และเขาให้ความสำคัญกับมันมาก คาดไม่ถึงว่าลู่เฉินกลับใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ในการประพันธ์สองบทเพลง และนำมาแสดงต่อหน้าเขาได้ แม้ว่าจะเป็นอัจฉริยะจริง แต่จะสามารถรับประกันคุณภาพที่เหมาะสมกับงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิได้หรือเปล่า
แน่นอนว่ามองอย่างผิวเผิน เฉินกั๋วจื้อเพิ่งแสดงสีหน้าท่าทางประหลาดใจออกมาพอดี จากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นผมจะตั้งใจฟังมันสักหน่อย”
เขาหยิบหูฟังและโน้ตเพลงขึ้นมา ให้ผู้ช่วยของเขาช่วยเปิดเครื่องเล่น และเริ่มฟังผลงานที่ลู่เฉินนำมาทันที
เมื่อเริ่มฟังเพลงแรก เฉินกั๋วจื้อยังไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอเขาได้ฟังท่อนแรกของเพลงนี้ ปฏิกิริยาของเขาก็เปลี่ยนไป!
เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและจริงจัง ทั้งยังมีความประหลาดใจเล็กๆ ที่ปิดไม่มิด!
จากนั้นเมื่อเขาฟังอย่างลึกซึ้งมากเข้าไปอีก ความประหลาดใจของเขามีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งถึงกับหลับตาลง
หลังจากเพลงแรกจบลง เฉินกั๋วจื้อลืมตาขึ้นทันใด เขากดปุ่มหยุดเล่นชั่วคราวของเครื่องเล่นก่อน อดไจไม่ไหวต้องรีบถอดหูฟังออกแล้วถามลู่เฉินว่า “เพลงนี้คุณแต่งขึ้นสำหรับงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิจริงๆ เหรอ”
ลู่เฉินยิ้ม “ใช่ครับ ผู้กำกับเฉิน”
เขาแต่งทั้งสองเพลงนี้สำหรับงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิโดยเฉพาะ
เป็นอย่างที่เฉินเฟยเอ๋อร์พูดจริงๆ ในเมื่อต้องการซื้อน้ำใจคน อย่างนั้นก็ต้องทำให้หนักแน่น!
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเตรียมผลงานมามากกว่าสองบทเพลงอีกด้วย
……………………………………………………….…