Perfect Superstar - ตอนที่ 751 กาลเวลาที่ค่อยๆ ล่วงเลยไป
ตอนที่ 751 กาลเวลาที่ค่อยๆ ล่วงเลยไป
“น้องลู่ ตอนนี้นายโคตรเจ๋งเลย!”
เสียงแหบแห้งของเลี่ยวเจี่ยดังออกมาจากโทรศัพท์ และพี่ชายชาวร็อกก็ตะโกนขึ้น “ต้องฉลองแล้วละ!”
ลู่เฉินหัวเราะเอ่ยว่า “ไม่มีปัญหา พี่นัดวันเวลาและสถานที่มาได้เลย ผมรับผิดชอบจ่ายเอง”
อันที่จริงเขาเพิ่งรับประทานทานอาหารเย็นกับเลี่ยวเจี่ยในฮ่องกงเมื่อสองสามวันก่อน เพราะเลี่ยวเจี่ยเองก็เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวันกลับคืนสู่อ้อมกอดจีนด้วย แต่มื้อนั้นหลิวกั่งเซิงเป็นคนจ่าย
คราวนี้เลี่ยวเจี่ยโทรมาและขอให้ลู่เฉินเลี้ยงบ้าง เหตุผลเป็นเพราะเขาได้ขึ้นปก ‘นิตยสารไทม์’ ของอเมริกา
เกียรติยศนี้โดดเด่นเป็นที่หนึ่งไม่มีที่สองในวงการบันเทิง!
ในรอบเกือบร้อยปีนับตั้งแต่การก่อตั้ง ‘นิตยสารไทม์’ ในอเมริกา มีคนจีนเพียง 11 คนเท่านั้นที่ได้ขึ้นปก ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลกอย่างลึกซึ้ง หรือได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สลายไปตามกาลเวลาเท่านั้น
แต่ลู่เฉินเป็นดาราเพียงคนเดียว!
เหตุการณ์นี้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ มากกว่าความสำเร็จในแนสแด็กของเว็บไซต์ระดมทุนที่เขาก่อตั้งเสียอีก แม้แต่สื่อโทรทัศน์ระดับประเทศก็ออกอากาศข่าวที่เกี่ยวข้อง เรียกได้ว่าเป็นเกียรติยศพิเศษแก่ตัวเขาเอง
ชาวจีนคนสุดท้ายที่ขึ้นปก ‘นิตยสารไทม์’ คือในช่วงสิบปีที่แล้ว!
หากเว็บไซต์ระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์หมายถึง ‘กำไร’ อย่างนั้นการขึ้นปก ‘นิตยสารไทม์’ ย่อมหมายถึง ‘ชื่อเสียง’ อย่างไม่ต้องสงสัย ชื่อของลู่เฉินปรากฏในพาดหัวข่าวของสื่อต่างๆ อีกครั้ง ทำให้เขาไม่สามารถจัดการอย่างเงียบๆ ได้อีกต่อไป
ผลกระทบโดยตรงของสิ่งนี้คือ แฟนคลับในบล็อกของเขาเพิ่มขึ้นอีก 10 ล้านกว่าคน และกำลังจะทะลุ 100 ล้านคน!
ในฐานะศิลปินในวงการบันเทิง ความนิยมของลู่เฉินได้มาถึงจุดสูงสุดอย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับซูเปอร์สตาร์คนอื่น สิ่งที่ขาดไปนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่ารากฐานที่มั่นคงและถ้วยรางวัลทองคำต่างๆ
อันที่จริงรากฐานของลู่เฉินมาพร้อมกับเรตติ้งอันร้อนแรงของ ‘ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว’ และภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ที่กำลังจะถ่ายทำ ค่อยๆ สะสมมาจนถึงระดับที่ค่อนข้างสูงแล้ว
สำหรับถ้วยรางวัล ตามคำพูดของแฟนคลับลู่เฉินนั้น เขาไม่จำเป็นต้องใช้ถ้วยรางวัลเพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกต่อไป!
หลังจากคุยโทรศัพท์กับเลี่ยวเจี่ยเสร็จ เมอร์เซเดสเบนซ์สีดำที่ลู่เฉินนั่งก็จอดนิ่งที่ประตูทางเข้าสำนักงานใหญ่ของเฉินเฟยมีเดีย
“เจ้าคนนี้ ยังคงพูดไร้สาระเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน!”
เฉินเฟยเอ๋อร์ที่นั่งข้างๆ ลู่เฉินรู้สึกไม่พอใจมาก พร้อมกับเตือนลู่เฉินว่า “ฉลองกับเลี่ยวเจี่ยได้ แต่ห้ามดื่มเหล้าเมามายเหมือนคนติดเหล้าแบบเขาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่รับปากจริงๆ ด้วย”
เฉินเฟยเอ๋อร์รู้จักเลี่ยวเจี่ยมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยชอบนิสัยของเขาเลย และคิดว่าอีกฝ่ายกำลังปล่อยให้ตนเองตกต่ำลง
แม้ว่าเธอจะไม่เคยห้ามลู่เฉินไม่ให้คบกับเลี่ยวเจี่ย แต่ก็ยังคอยระวังเลี่ยวเจี่ยที่อาจจะมีผลกระทบต่อลู่เฉินในอนาคต
แน่นอนว่าเลี่ยวเจี่ยไม่ใช่คนเลว เขาตรงไปตรงมาและกล้าหาญ ยึดมั่นในคุณธรรมน้ำมิตร ดังนั้นจึงเอาตัวรอดในวงการบันเทิงได้สบายๆ
แต่ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อเพื่อนๆ ของเขา และคนแบบเขาก็ชอบเล่นสนุก เป็นเพราะแบบนี้เขาจึงมักจะสร้างปัญหา แม้แต่สำนักสันติบาลก็เข้าๆ ออกๆ เป็นว่าเล่นมาหลายครั้งแล้ว
วงการบันเทิงเป็นโรงย้อมสีขนาดใหญ่ ต่อให้มีคนบริสุทธิ์ไร้ที่ติแค่ไหนก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกย้อมไปด้วยสี มีเพียงไม่กี่คนที่แน่วแน่รักษาความตั้งใจเดิมไว้ได้
เฉินเฟยเอ๋อร์เชื่อในตัวลู่เฉิน แต่ไม่เชื่อในตัวเลี่ยวเจี่ย โดยเฉพาะตอนนี้ที่ลู่เฉินกำลังมีชื่อเสียงมาก ต้องถูกจับจ้องด้วยสายตานับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน ถ้าปล่อยให้ปาปารัสซี่แอบถ่ายตอนเขาเมาและทำเรื่องขายหน้า คงจะบันเทิงสุดๆ แน่
ลู่เฉินวางโทรศัพท์ที่ร้อนจัดลง พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ผมมีขีดจำกัดอยู่…”
เขารู้ว่าเฉินเฟยเอ๋อร์กังวลเรื่องอะไร ดังนั้นเขาจะไม่ต่อต้านการกล่าวเตือนของเธอ
แม้ว่าสื่อภายนอกจะยกย่องราวกับคลื่นยักษ์ แต่ลู่เฉินก็ไม่หวั่นไหวกับสถานการณ์นี้ เขากลับสงบนิ่งมาก
“เด็กดีจัง!”
เมื่อเห็นว่าลู่เฉินฟังคำพูดของเธอ เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มหวานและเอนตัวไปหอมแก้มเขาฟอดหนึ่ง
ลู่เฉินหัวเราะอย่างโง่เขลา ก่อนจะยื่นมือออกไปแล้วผลักประตูรถให้เปิดออก
ผ่านไปแล้วห้าวันนับตั้งแต่เขากลับมาจากฮ่องกง นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่เฉินกลับมาที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท หลังจากกลับมาที่ปักกิ่งเขาทุ่มเวลาส่วนใหญ่ไปที่โรงถ่ายละคร
ทั้งสองลงจากรถและเดินจูงมือเข้าประตูบริษัทไปด้วยกัน
ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในห้องโถงชั้นล่าง ลู่เฉินรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป ไม่เพียงแต่ภายในจะสะอาดและเป็นระเบียบเท่านั้น ยังมีการจัดวางดอกไม้ในกระถางที่สวยงามนานาชนิดอีกด้วย เชือกยาวห้อยลงมาจากเพดานและดอกไม้หลากสีสันจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกผูกห้อยติดไว้กับมัน
ดูเหมือนกว่าพนักงานของเฉินเฟยมีเดียทั้งหมดจะรวมตัวกันอยู่ในห้องโถง พวกเขาจัดขบวนเป็นระเบียบ แม้แต่บันไดขึ้นไปชั้นบนก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน รอยยิ้มที่เบ่งบานของพวกเขานั้นสวยงามยิ่งกว่าดอกไม้
และลู่ซีก็ยืนอยู่ตรงกลางห้องโถง ยืนอยู่ด้านหน้าพนักงานทุกคน
เมื่อเห็นฉากดังกล่าวลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์ก็อดที่จะสบตากันไม่ได้
ลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถาม “พี่ ทั้งหมดนี้คือ?”
ลู่ซีหัวเราะเบาๆ ทันใดนั้นก็ปรบมือขึ้นมาหนึ่งที
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นสัญญาณ เมื่อเสียงปรบมือของเธอดังขึ้น ทุกคนในห้องโถงก็ปรบมืออย่างพร้อมเพรียงกัน
แปะ! แปะ! แปะ!
พนักงานหลายคนที่ยืนอยู่ในกลุ่มฝูงชนเปิดกระป๋องสเปรย์สายรุ้ง จากนั้นสายรุ่งก็พุ่งเป็นสายขึ้นไปกลางอากาศทันที แล้วลอยละลิ่วตกลงมาทีละนิด ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นและรื่นเริงยิ่งขึ้น!
ในฐานะพนักงานของเฉินเฟยมีเดีย ทุกคนภาคภูมิใจจริงๆ แม้ว่าบริษัทนี้เพิ่งจะก่อตั้งได้เพียงหนึ่งถึงสองปีเท่านั้นแต่พลังชีวิตและความมีชีวิตชีวาของบริษัท ทำให้มีแรงจูงใจในการทำงานอย่างเต็มที่
ที่สำคัญคือในฐานะจิตวิญญาณของบริษัท ลู่เฉินทำให้ทุกคนประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า!
พวกเขารู้สึกมากขึ้นว่าคิดถูกที่เข้าร่วมกับเฉินเฟยมีเดีย
ท่ามกลางเสียงปรบมือ พี่สาวก้าวไปข้างหน้าสองก้าว อ้าแขนกว้างกอดลู่เฉิน “ยินดีด้วย!”
ลู่เฉินเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณ ขอบคุณทุกคน!”
เสียงปรบดังสนั่น และดังขึ้นเรื่อยๆ!
หลายคนหน้าแดงด้วยความตื่นเต้น และปรบมืออย่างไม่คิดชีวิต
ขณะที่กอดลู่เฉิน จู่ๆ ลู่ซีก็พบว่าน้องชายของตนเองโตขึ้นมากจริงๆ เขาไม่เพียงแต่จะตัวโตกว่าเธอเท่านั้น ยังมีร่างกายที่แข็งแรงกำยำกว่าเมื่อก่อนมาก และได้ทะยานโบยบินอยู่บนท้องฟ้าเหมือนนกอินทรี
อันที่จริงเธอน่าจะรู้มันตั้งนานแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เธอเพิ่งตระหนักอย่างแท้จริง นอกจากความสุขในหัวใจแล้ว ยังแฝงความรู้สึกเศร้าในใจอยู่บ้าง
เวลาหายไปไหนกัน? ในชั่วพริบตากาลเวลาถึงยี่สิบปีค่อยๆ ล่วงเลยไปอย่างเงียบเชียบ
ลู่เฉินไม่ใช่เด็กน้อยที่คอยตามตูดของเธอ และตะโกนว่า ‘พี่สาว’ ‘พี่สาว’ อ้อนขอกอดพร้อมน้ำมูกไหลอีกแล้ว!
เมื่อมองไปที่พี่สาวและน้องชายที่กอดกันกลมต่อหน้า เฉินเฟยเอ๋อร์รู้สึกว่าขอบตาของเธอร้อนผ่าว ราวกับมีบางอย่างกำลังจะไหลออกมา ทั้งยังมีความเศร้าปนอยู่เล็กน้อย
กาลครั้งหนึ่งเธอเคยมีครอบครัวที่อบอุ่นเช่นกัน แต่มันแตกต่างไปจากเดิมนานแล้ว
ลู่ซีคลายอ้อมกอดออกจากลู่เฉิน แล้วยิ้มให้เฉินเฟยเอ๋อร์ พร้อมเอ่ยว่า “เราไปกันเถอะ มีแขกรออยู่ที่ชั้นบน”
ลู่เฉินพยักหน้า ก่อนจะจูงมือเฉินเฟยเอ๋อร์อีกครั้ง และตามลู่ซีขึ้นไปชั้นบน
วันนี้เขามาที่บริษัทเพราะมีแขกคนสำคัญมาเยือนหลายคน เขาจึงต้องออกมาพบด้วยตัวเอง
แขกเหล่านี้มาจากเกาหลีใต้!
……………………………………………………………