Perfect Superstar - ตอนที่ 779 ชุมนุมยอดมือปราบ(2)
ตามธรรมเนียมทั่วไป งานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิโดยทั่วไปจะมีเนื้อหารายการสี่ชั่วโมงครึ่ง
แต่การซ้อมจริงต้องใช้เวลามากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นดาราตัวท็อปแค่ไหน ถึงแม้รายการการแสดงของตัวเองจะซ้อมเสร็จแล้วก็ไม่สามารถกลับได้ทันที เพราะยังต้องวิเคราะห์และพิจารณาผลลัพธ์ของรายการ ดังนั้นมักจะใช้เวลามากกว่าครึ่งวัน
ข้าวกลางวันทางสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีเป็นฝ่ายจัดหา ไม่ว่าจะเป็นดารานักแสดง ศิลปินรับเชิญ หรือว่านักแสดงเอกซ์ตร้าและทีมงาน ล้วนต้องกินข้าวกล่อง และเป็นข้าวกล่องเกรดเดียวกัน
แน่นอนว่าดาราที่ไม่คุ้นชินกับข้าวกล่องแบบนี้สามารถเตรียมอาหารของตัวเองมาได้ แต่โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครทำแบบนี้
ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์แน่นอนว่าไม่มีข้อยกเว้น พอถึงตอนพักกลางวันก็ไปรับข้าวกล่องที่เป็นของตัวเอง
อย่ามองว่าข้าวกล่องของสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีมีราคามาตรฐานเพียงห้าสิบแปดหยวนเท่านั้น ในวงการคนที่อยากกินข้าวกล่องนี้ไม่รู้ว่ามีกี่คน ทุกปีจะมีดารานักแสดงที่เสนอตัวเข้ามามากมาย แต่ที่ประสบความสำเร็จกลับมีน้อยนิด
ลู่เฉินเพิ่งได้กินข้าวกล่องของสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีเป็นครั้งแรก
“ให้เนื้อนายหมดเลย…”
เฉินเฟยเอ๋อร์เลือกเนื้อในกล่องอาหารออกมา แล้วคีบใส่กล่องข้าวของลู่เฉิน “เมื่อเช้ากินอิ่มมาก ตอนนี้หนักเพิ่มขึ้นอีกครึ่งกิโลฯ ฉันต้องลดอีกหนึ่งกิโลฯ!”
ลู่เฉินกระอักกระอ่วน “คุณยังต้องลดอีกเหรอ ไม่กินเนื้อไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ”
เฉินเฟยเอ๋อร์คีบเนื้อชิ้นสุดท้ายยัดใส่ปากของเขา “ฉันรู้ตัวดี พูดมาก!”
ลู่เฉินถูกยัดเนื้อเข้าปาก ส่ายหน้าไม่พูด จากนั้นก็คีบแคร์รอตกับบรอกโคลีของตัวเองให้เฉินเฟยเอ๋อร์
ทั้งสองคนหลบมุมแอบพลอดรักกันหวานชื่นอย่างเงียบๆ แต่คนอื่นเห็นกลับรู้สึกเจ็บใจนัก โดยเฉพาะพวกคนโสดทั้งหลายที่ถูกสาดอาหารสุนัขคำโต
แถมพวกเขายังป้อนกันเรื่อยๆ ไม่หยุด จนกระทั่งมีผู้กล้าลุกขึ้นมา!
“อะแฮ่ม!”
เสียงกระแอมดังมาก ทำให้ลู่เฉินต้องหยุดกิจกรรมอวดความรักโชว์อย่างช่วยไม่ได้
เขาหันไปเกือบตาบอด…หัวล้านเหน่งมาเชียว!
“อ้าว!”
ลู่เฉินรีบลุกขึ้นทันที เอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท “อาจารย์เกาสวัสดีครับ”
ในวงการบันเทิงมีคนหัวล้านสามคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และเป็นบุคคลดังในสายอาชีพของตัวเองทั้งสิ้น คนหนึ่งเป็นนักร้อง คนหนึ่งเป็นนักแสดงภาพยนตร์ และคนนี้ที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกเขาสองคนก็คือศิลปินนักแสดงละครสั้น…เกาเต๋อเซิ่ง!
หัวล้าน ตาหยีๆ จมูกกลม ปากหนาๆ…เวลายิ้มมีพลังเวทมนต์ทำให้คนหยุดหัวเราะไม่ได้ นี่คือใบหน้าที่คนคุ้นเคยทั่วประเทศ ถึงจะขี้เหร่แต่เป็นใบหน้าที่มีเอกลักษณ์มาก
ทว่าเกาเต๋อเซิ่งได้รับฉายาศิลปิน ไม่ใช่ว่าเขาอาศัยการคุยโวโอ้อวดจากคนอื่น แต่เป็นชื่อเสียงและบารมีที่สะสมมาจากอาชีพการแสดงมากกว่ายี่สิบปี เรียกได้ว่าเป็นผู้อาวุโสที่เด่นพร้อมทั้งด้านคุณธรรมและศิลปะอย่างแท้จริง
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่งานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เขาเคยมาแล้วถึงเจ็ดปี และปีนี้ก็เป็นปีที่แปด!
สำหรับผู้อาวุโสในวงการคนนี้ เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ไม่กล้ารีรอ รีบวางข้าวกล่องลุกขึ้นทักทายทันที
เกาเต๋อเซิ่งยิ้มเอ่ยว่า “พวกเธอนั่งเถอะ ผมแค่มาคุยด้วยสองสามประโยค รบกวนพวกคุณแล้ว”
ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์รู้สึกเกรงใจเล็กน้อย ลู่เฉินรีบเอ่ยว่า “ไม่รบกวนครับ พวกเราเพิ่งกินข้าวเสร็จ”
เกาเต๋อเซิ่งหัวเราะเหอะๆ แล้วนั่งลง พูดกับเขาว่า “ความจริงผมอยากคุยกับพวกคุณนานแล้ว แต่ไม่มีจังหวะบังเอิญเลย วันนี้ถือว่าคว้าโอกาสไว้ได้”
เกาเต๋อเซิ่งเป็นฝ่ายเข้าหาลู่เฉิน เพราะมีเรื่องอยากจะคุยกับลู่เฉิน ซึ่งก็คือบทละครสั้นที่เขาเขียนนั่นเอง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ตอนนั้นเฉินกั๋วจื้อผู้กำกับใหญ่ของงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิประจำปีนี้ได้ตามหาลู่เฉิน อยากเชิญลู่เฉินมาร่วมงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิปีจอ ผลปรากฏว่าลู่เฉินได้นำผลงานเพลงสองบทเพลงและบทละครสั้นของตัวเองมาให้ผู้กำกับใหญ่คนนี้
เฉินกั๋วจื้อเดิมทีอยากให้ลู่เฉินมาร่วมรายการก็พอแล้ว คิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะโยนผลงานมาให้ถึงสามชิ้น และแต่ละผลงานก็ยอดเยี่ยมทั้งสิ้น ทำให้เขาเสียดายยากที่จะตัดใจทิ้งผลงานใดผลงานหนึ่งได้
แต่ถ้าหากนำทั้งสามผลงานมาอยู่ด้วยกัน ก็เป็นเรื่องยากสำหรับเฉินกั๋วจื้อพอสมควร ประการแรกเพราะในงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เขาไม่สามารถพูดคำไหนคำนั้นได้ ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ในทุกๆ ด้าน ไม่สามารถทำงานตามอำเภอใจ
แต่สุดท้ายเฉินกั๋วจื้อได้กำจัดความยุ่งยากออกไป นำผลงานของลู่เฉินออกมาทำเป็นโปรแกรมหลัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงเชิญดาราดังหลายคนมาเป็นพิเศษเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม
อย่างเช่นบทละครสั้นของลู่เฉิน เฉินกั๋วจื้อได้มอบให้เกาเต๋อเซิ่ง ภาพลักษณ์ของคนหลังไม่เพียงแต่เหมาะสมกับบุคลิกของตัวละคร ฝีมือการแสดงยังสามารถบดขยี้คนรุ่นเดียวกันได้ สามารถรับบทบาทสำคัญนี้ได้เป็นอย่างดี
ควรทราบว่าผลงานเขียนที่ลู่เฉินหยิบออกมา ได้เบียดผลงานประเภทเดียวกันชิ้นอื่นที่ถูกเลือกไว้ก่อนแล้วตกไปทุกคนเข้าใจแต่ไม่พูด ทว่าแอบวิจารณ์กันลับหลัง ไม่รู้ว่ามีคนคอยจับตาดูตั้งเท่าไร
เกาเต๋อเซิ่งและเฉินกั๋วจื้อเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี เข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้เป็นอย่างดี และด้วยท่าทีที่มีความรับผิดชอบต่องานอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงอาศัยช่องว่างตอนพักกลางวันเข้าไปพูดคุยกับลู่เฉินผู้เป็นนักเขียนต้นฉบับ
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องปกติมาก นักแสดงกับคนเขียนบทสนทนากันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ในความเป็นจริงนั้นปัจจุบันนักแสดงมากมายไม่ค่อยสนใจนักเขียน…คุณเขียนบทเสร็จก็พอ จะแสดงอย่างไรเป็นเรื่องของฉัน ไม่จำเป็นต้องให้คุณมาชี้มือชี้ไม้ นั่นเป็นงานของผู้กำกับ!
อันที่จริงมีดารานักแสดงจำนวนมากถึงขนาดไม่ฟังคำพูดของผู้กำกับ มักทำตามความคิดของตนเอง
เกาเต๋อเซิ่งเป็นดาราตัวท็อปในวงการและอุตสาหกรรมนี้ ตอนที่เขาขึ้นเวทีงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ลู่เฉินยังแก้ผ้าวิ่งเล่นอยู่เลย และชื่อเสียงของลู่เฉินต่อให้ดังกว่านี้สำหรับเขาแล้วไม่ได้อยู่ในเส้นทางเดียวกับเขา ไม่จำเป็นต้องสนใจลู่เฉินอย่างสิ้นเชิง
แต่เกาเต๋อเซิ่งกลับวางตัวเสมอกันและมีความถ่อมตัวมาก พูดคุยเกี่ยวกับเจตนาในการเขียนผลงาน แนวคิดของโครงเรื่อง จิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในผลงาน เป็นต้น
ลู่เฉินพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้ทุกอย่าง และสำหรับการวิเคราะห์ตัวผลงาน เขารู้สึกว่าตัวเองยังสู้เกาเต๋อเซิ่งไม่ได้
ทำเอาลู่เฉินปาดเหงื่อ เพราะถึงอย่างไรผลงานสร้างสรรค์ของเขาก็ล้วนมาจากความทรงจำของโลกความฝัน
ทั้งสองคนสนทนาติดต่อกันนานหนึ่งชั่วโมงกว่า จนกระทั่งผู้ช่วยทีมงานเข้ามาเตือน เกาเต๋อเซิ่งพูดกับลู่เฉินอย่างไม่รู้จบ “นี่คือบทละครสั้นที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยรับตลอดสิบปีที่ผ่านมา ลู่เฉิน ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะเขียนบทละครสั้นดีๆ ออกมาอีกหลายเรื่อง พวกเราตอนนี้ขาดบทละครน้ำดีจริงๆ!”
เกาเต๋อเซิ่งพูดออกมาจากใจทั้งหมด สองสามปีที่ผ่านมาเรตติ้งงานกาล่าเทศกาลฤดูใบไม้ผลิของสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีลดลงทุกปี คำวิจารณ์ของผู้ชมที่มีต่อโปรแกรมการแสดงประเภทภาษาแย่ลงเรื่อยๆ เขาเห็นอยู่ในสายตายังรู้สึกร้อนใจแทน
ลู่เฉินหยิบบทละครนี้ออกมา ทำให้เกาเต๋อเซิ่งรู้สึกเหมือนเจอสายฝนในที่แห้งแล้งมานาน!
ลู่เฉินพยักหน้าเอ่ยว่า “อาจารย์เกา ผมจะพยายามครับ”
เกาเต๋อเซิ่งยิ้มชื่นใจ “ขอบใจนะ!”
คำขอบคุณนี้ เขาไม่ได้พูดเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่หมายถึงอุตสาหกรรมละครสั้นทั้งหมด!
การซ้อมจริงในช่วงบ่ายสิ้นสุดลงเวลาสี่โมง แต่ลู่เฉินไม่ได้กลับก่อนทันที เพราะหัวหน้าสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีคนหนึ่งได้เชิญไปพูดคุยกับเขาด้วยตัวเอง
และเนื้อหาที่สนทนากัน ก็คือเรื่องที่เฉินเฟยมีเดียจะเปิดกล้องภาพยนตร์กำลังภายใน ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ หลังจากตรุษจีน
…………………………………………………………………………