Perfect Superstar - ตอนที่ 865 เส้นทางที่ยั่งยืน
ตอนที่ 865 เส้นทางที่ยั่งยืน
หลังจากประลองกันเรียบร้อยแล้ว ลู่เฉินและคนอื่นๆ ก็รับประทานอาหารเจกันที่วัดเส้าหลิน
อาหารเจของวัดเส้าหลินค่อนข้างมีชื่อเสียง หัวหน้าเชฟผู้เชี่ยวชาญเป็นสุดยอดเชฟระดับประเทศ หากเป็นหัวหน้าเชฟอยู่ข้างนอกก็มีรายได้เป็นล้านหยวนต่อปี แต่เขาเกิดที่วัดเส้าหลินและศรัทธาในพระพุทธศาสนา ดังนั้นเขาจึงเป็นหัวหน้าเชฟในวัดนี้มาโดยตลอด
อาหารเจมื้อนี้ทำเอาลู่เฉินและคนอื่นๆ ที่ได้กินต่างชื่นชมกันอย่างไม่ขาดปาก ระหว่างที่รับประทานอาหารก็ได้มีการสรุปรายละเอียดต่างๆ ของการร่วมมือครั้งนี้เสร็จสิ้นไปแล้วไม่น้อย
สำหรับวัดเส้าหลิน การร่วมมือกันสามฝ่ายกับเทศบาลเมืองเติงเฟิงและเฉินเฟยมีเดียเพื่อก่อตั้งบริษัทพัฒนาอุตสาหกรรมเส้าหลินในครั้งนี้ เรียกง่ายๆ ว่าเป็นโชคที่หล่นลงมาจากฟ้าครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งพวกเขาก็รับเอาไว้ด้วยความยินดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แล้วจริงๆ
ซื่อหย่งต๋าเจ้าอาวาสของวัดเส้าหลินก็ไม่ได้เป็นคนประเภทที่อวดรู้ยึดติดกับความคิดเดิมๆ เช่นนั้น เขาสนับสนุนการร่วมมือครั้งนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นนอกจากเงื่อนไขเฉพาะบางอย่างแล้ว ทั้งสามฝ่ายได้มีการเจรจาเกี่ยวความต้องการทั่วไปในการร่วมมืออย่างจริงจังแล้ว ไม่มีอุปสรรคใหญ่โตอะไร
หลังจากทานอาหารเจเรียบร้อยแล้ว ซื่อหย่งต๋าก็เชิญลู่เฉินให้เขียนอักษรวิจิตรทิ้งเอาไว้ให้แก่วัดเส้าหลินอย่างกระตือรือร้น
นี่ก็เป็นธรรมเนียมของวัดที่ปฏิบัติกันมา เมื่อมีแขกคนสำคัญมาเยือน ล้วนถูกขอให้ทิ้งลายมือเอาไว้เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจการเขียนพู่กันจีน ทำแบบนี้ก็เหมือนกันกับการเขียนลายเซ็นทิ้งเอาไว้
เจ้าอาวาสอาวุโสท่านนี้รู้จักลู่เฉินมาก่อน เขารู้อยู่แล้วว่าลู่เฉินสามารถเขียนพู่กันจีนได้ ไม่อย่างนั้นข้อเสนอของเขาคงจะไม่ทำให้ผู้คนสนใจได้ แต่จะกลายเป็นการทำให้ผู้คนขุ่นเคืองแทน
ลู่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบตกลง
ลู่เฉินเคยเรียนการเขียนพู่กันจีนกับคุณปู่ตอนเขายังเป็นเด็ก แถมยังได้รางวัลชนะเลิศการแข่งขันเขียนอักษรด้วยพู่กันจีนระดับชั้นประถมศึกษาของเมือง เคยเป็นตัวแทนของเมืองปินไห่เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันระดับมณฑล จนกระทั่งหลังจากเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย เขาก็ค่อยๆ ละทิ้งมันไป
แต่ถึงอย่างไรทักษะพื้นฐานของเขาก็ยังอยู่ และเพราะได้รับอิทธิพลของโม่หรานในโลกแห่งความฝัน นอกจากจะแบ่งเวลาเพื่อฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้แล้ว เขายังเคยเขียนโพสต์ลงในบล็อกอีกด้วย ดังนั้นหลายๆ คนจึงรู้ว่าเขามีลายมือที่ไม่เลวเลย
ภายในห้องปฏิบัติธรรมของวัดเส้าหลิน ลู่เฉินหยิบพู่กันขึ้นมาและเขียนอักษรตัวใหญ่ๆ ลงบนกระดาษสาว่า ‘วิทยายุทธ์ในใต้หล้าล้วนมาจากเส้าหลิน’
ลายมือของเขาไม่สามารถพูดได้ว่าเก่งกาจ เมื่อเทียบกับนักเขียนพู่กันจีนตัวจริงแล้ว แน่นอนว่ามันยังดูแย่กว่ามาก แต่ในวงการบันเทิงจะต้องจัดอยู่ในอันดับที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน นอกจากการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในเส้าหลินแล้ว ตัวอักษรที่เขียนลงไปก็มีพลังของศิลปะการต่อสู้เป็นของตัวเองเช่นเดียวกัน สามารถสื่ออารมณ์ได้อย่างเต็มที่ผ่านตัวอักษรไม่กี่คำบนหน้ากระดาษ เป็นตัวอักษรที่มีพลังและมีชีวิตชีวา ให้ความรู้สึกถึงบารมีที่ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน
“เป็นตัวอักษรที่ดี!”
นายกเทศมนตรีหลู่และซื่อหย่งต๋าต่างก็เอ่ยปากชมเชย ทั้งสองคนล้วนเข้าใจการเขียนพู่กันจีน โดนเฉพาะอย่างยิ่งซื่อหย่งต๋าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูง เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะสามารถแยกแยะได้ว่าการเขียนนี้อยู่ในระดับที่ดีหรือแย่
ในฐานะชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง แถมยังไม่ใช่นักเขียนอักษรมืออาชีพ ตัวอักษรของลู่เฉินนั้นถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ‘วิทยายุทธ์ในใต้หล้าล้วนมาจากเส้าหลิน’ นี้ เป็นการยกสถานะวัดเส้าหลินให้อยู่ในระดับที่สูงมาก
ลู่เฉินไม่ได้แค่เขียนไปแบบมั่วๆ อย่างแน่นอน คำกล่าวที่ว่า ‘วิทยายุทธ์ในใต้หล้าล้วนมาจากเส้าหลิน’ นั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพียงแต่ว่าคนสมัยนี้ไม่ค่อยรู้จักกันสักเท่าไร คนที่รู้ส่วนมากก็ไม่เห็นด้วยกับคำนี้ และวัดเส้าหลินก็ไม่ใช่พวกที่ชอบพูดโม้โอ้อวดไปทั่วอีกด้วย
แต่ลู่เฉินที่อยู่ในฐานะดาราดังที่มีอิทธิพลมากคนหนึ่ง คำยกย่องของเขาที่มีต่อวัดเส้าหลินนั้นทรงพลังมากกว่าโฆษณาใดๆ ทั้งสิ้น!
ซื่อหย่งต๋าตัดสินใจนำไปจัดใส่กรอบอย่างดีทันที แล้ววางไว้ในห้องโถงเพื่อให้แขกที่มาทุกคนสามารถเห็นได้
หลังจากไปวัดเส้าหลินเสร็จแล้ว ลู่เฉินและพรรคพวกก็กลับมาที่โรงแรม
ในคืนนั้นเอง บัญชีทางการของภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ก็ได้โพสต์วิดีโอการต่อสู้จริงของลู่เฉินและซื่อหย่งเจินลงในบล็อก
ลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์รีโพสต์วิดีโอนี้พร้อมกัน ดึงดูดชาวเน็ตนับไม่ถ้วนให้มาดูทันที
“เฉินของฉันเก่งจังเลย!”
“พระอาวุโสท่านนี้ก็เก่งมากนะ สู้กับเฉินของฉันได้อย่างสูสี ไม่เลวเลยๆ”
“สุดยอด! การต่อสู้แบบกังฟูนี่ทำให้คนตื่นเต้นกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านได้ง่ายๆ เลยละ!”
“วัดเส้าหลิน? มันอยู่ที่ไหนน่ะ?”
“โคตรจะอึ้ง ไม่เคยอ่านนิยายเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ เหรอ?”
“ในหนังสือ วัดเส้าหลินเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าแหละ!”
“เอ๋? วัดเส้าหลินมีอยู่จริงหรือเนี่ย”
“เป็นกบในกะลาไปเสียแล้ว…”
วัดเส้าหลินค่อนข้างมีชื่อเสียงในพื้นที่ท้องถิ่นเติงเฟิง ชาวบ้านโดยทั่วไปล้วนรู้จักดี แต่ในขอบเขตของทั่วประเทศนั้น มีคนน้อยมากที่รู้เรื่องนี้ ในบรรดาแฟนคลับของลู่เฉิน คนที่รู้เรื่องวัดเส้าหลินก็มีแค่พวกที่เคยอ่านนิยายต้นฉบับเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ มาก่อนเท่านั้น
นอกจากนี้ ‘กระบี่จากเทือกเขาฮว่าซาน’ ที่เป็นภาคแรกของ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ นั้นไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับวัดเส้าหลินเลย ดังนั้นจึงมีแฟนคลับมากมายที่ไม่รู้ชัด เป็นเรื่องธรรมดาและสมเหตุสมผลแล้วที่จะรู้สึกแปลกใจกับการประลองของลู่เฉินและพระวัดเส้าหลินในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อวิดีโอการประลองสั้นๆ นี้ถูกแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในอินเทอร์เน็ต ชื่อเสียงของวัดเส้าหลินก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน มีคนมากมายที่เสิร์จหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวัดเส้าหลินผ่านโปรแกรมช่วยค้นหา ถึงได้รู้ว่าเดิมทีวัดเส้าหลินนั้นเคยมีประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์มาตั้งแต่อดีตแล้ว
วันที่ 18 ตุลาคม เทศบาลเมืองเติงเฟิงได้จัดงานแถลงข่าว ประกาศว่าเทศบาลเมืองกับเฉินเฟยมีเดียและวัดเส้าหลินจะร่วมมือกันก่อตั้ง ‘บริษัท พัฒนาอุตสาหกรรมเส้าหลิน จำกัด’ ขึ้นมา เพื่อเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมศิลปะการต่อสู้ของเส้าหลิน ส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวของซงซานและอื่นๆ
ในจำนวนนั้นเฉินเฟยมีเดียลงทุน 300 ล้านหยวน คิดเป็น 40% ของหุ้นทั้งหมด และวัดเส้าหลินก็ลงทุน 40% ของหุ้นทั้งหมดเช่นเดียวกัน เทศบาลเมืองเติงเฟิงได้ลงทุนด้วยที่ดินและป่าไม้ที่อยู่ใกล้เคียงกับวัดเส้าหลินจำนวน 125 ไร่ คิดเป็น 20% ของหุ้นทั้งหมด
‘บริษัท พัฒนาอุตสาหกรรมเส้าหลิน จำกัด’ ที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่นี้ นอกจากจะลงทุนในการปรับปรุงและขยายวัดเส้าหลินแล้ว ยังจะจัดตั้งศูนย์วิจัยศิลปะการต่อสู้วัดเส้าหลินและหอศิลปะการต่อสู้เส้าหลินอีกด้วย อย่างแรกก็เพื่อวิจัยศิลปะการต่อสู้ของเส้าหลิน ส่วนอย่างหลังจะใช้ในการฝึกทักษะศิลปะการต่อสู้ของเส้าหลิน
ตามแผนการของลู่เฉิน หอศิลปะการต่อสู้เส้าหลินจะกลายเป็นฐานฝึกอบรมความสามารถของทีมตระกูลลู่ จัดหาคนใหม่ๆ ให้หลั่งไหลกันเข้ามาอย่างต่อเนื่องสำหรับโปรเจกต์ผลงานกำลังภายในอันยิ่งใหญ่ของเขา
ในสายตาของใครหลายๆ คน เฉินเฟยมีเดียนำเงินออกมา 300 ล้านเพื่อซื้อหุ้นของวัดเส้าหลินนั้นเป็นการขาดทุนอย่างมหาศาล กลายเป็นคนโง่ที่โดนหลอกเอาเงินไปเสียแล้ว เพราะว่าวัดเส้าหลินทั้งวัดไม่มีทางที่จะมีมูลค่าถึง 300 ล้านหยวนแน่นอน
อันที่จริงแล้วขอเพียงแค่สามารถหาสถานที่ที่เหมาะสมได้ ทุ่มเงินไปสักหนึ่งหรือสองร้อยล้านหยวนก็สามารถสร้างวัดที่มีขนาดใหญ่และโอ่อ่ากว่าวัดเส้าหลินได้แล้ว ทำไมจะต้องลงทุนไปอย่างมหาศาล แถมยังไม่ใช่ผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุมอีกด้วย
แต่ในมุมมองของลู่เฉิน เงินก้อนนี้ได้ใช้ไปอย่างคุ้มค่าแน่นอน เมื่อวัดเส้าหลินเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้ว หลังจากนั้นอาศัยเพียงแค่การขายตั๋วเข้าชมก็เพียงพอแล้วที่จะกู้คืนเงินทุนทั้งหมดกลับมา แถมยังได้กำไรมหาศาลอีกด้วย
ในตอนนี้การที่เฉินเฟยมีเดียอยากจะมีอำนาจในการควบคุมนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่หากถึงวันที่วัดเส้าหลินสามารถทำเงินได้มากมายในทุกวันมาถึงแล้วจริงๆ ปัญหานี้จะละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก เพราะว่าตัววัดเส้าหลินเองก็เป็นหน่วยงานที่ได้รับการคุ้มครองทางวัฒนธรรม ซึ่งมีข้อจำกัดด้านนโนบายในประเทศ
ดังนั้นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหายุ่งยากที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การสละสิทธิ์ในการมีอำนาจควบคุม และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเทศบาลเมืองเติงเฟิงและวัดเส้าหลินนั้น ถึงจะเป็นเส้นทางของผลประโยชน์ระยะยาวที่ยั่งยืน
และเงินก้อนนี้ก็ไม่ใช่การลงทุนในครั้งเดียว สำหรับเฉินเฟยมีเดียนั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่กดดันอะไรมากมาย
นอกจากนี้เฉินเฟยมีเดียยังประกาศออกมาอีกว่า หลังจากถ่ายทำ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ สองภาคสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะลงทุนเงินจำนวน 150 ล้านเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘วัดเส้าหลิน’ ซึ่งคาดว่าจะออกฉายในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2020
การเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่ดังกล่าว เมื่อรวมกับการเผยแพร่โดยสื่อต่างๆ จึงมีสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปยังเมืองเติงเฟิงและวัดเส้าหลิน
วันที่ 19 ตุลาคม บัญชีทางการของวัดเส้าหลินได้ออนไลน์บนบล็อกล่างฉาว และมีจำนวนแฟนคลับทะลุหนึ่งแสนภายในวันนั้น!
ในขณะเดียวกัน การถ่ายทำของทีมงาน ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ที่ซงซานนั้นก็ได้ดำเนินไปอย่างขยันขันแข็ง
…………………………………………………………………………