Perfect Superstar - ตอนที่ 869 ความฝันที่อยากเป็นผู้กำกับ
ตอนที่ 869 ความฝันที่อยากเป็นผู้กำกับ
สำหรับซย่าซังที่อายุสิบแปดปีนั้น งานเลี้ยงวันเกิดในคืนนี้เป็นเหมือนกับภาพในความฝันอย่างไม่ต้องสงสัย
เธอได้พบกับลู่เฉินคนที่เธอชื่นชอบสุดๆ และยกให้เขาเป็นไอดอลที่ควรบูชา ได้รับของขวัญที่ลู่เฉินมอบให้ด้วยตัวเอง ได้ตัดเค้กวันเกิดด้วยกันกับลู่เฉิน หลังจากนั้นก็ได้ร้องเพลงกับลู่เฉินท่ามกลางผู้ชมชาวเน็ตมากมายนับไม่ถ้วน
ผู้ชมที่ดูการถ่ายทอดสดงานเลี้ยงวันเกิดในเฟยซวิ่นของกลุ่มแฟนคลับสนับสนุนลู่เฉินสาขาไห่จินนั้น เดิมทีมีสามสี่พันคน แต่เมื่อทุกคนเห็นว่าลู่เฉินมาถึงที่นี่เป็นพิเศษด้วยตนเอง ข่าวก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังกลุ่มแฟนคลับต่างๆ กลุ่มแฟนคลับจำนวนมากจึงแห่กันเข้าไปดู จนห้องถ่ายทอดสดแทบจะระเบิดแล้ว
ได้เป็นนางเอกในคืนนี้ ซย่าซังไม่เพียงแค่ได้รับพรมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่ยังได้รับความอิจฉาริษยาอย่างนับไม่ถ้วนด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงแค่นั้น ในวันรุ่งขึ้นเธอยังได้ปรากฏตัวบนสื่อชื่อดังมากมายในหน้าบันเทิงพร้อมกันกับลู่เฉิน พร้อมถูกเรียกว่าเป็นแฟนคลับที่โชคดีที่สุดและมีความสุขมากที่สุดไปแล้ว
สำหรับคำเรียกขานเหล่านั้น ซย่าซังไม่ได้คิดว่ามันเป็นการพูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย
ส่วนลู่เฉินเมื่อได้ทำให้ความฝันของแฟนคลับตัวยงคนหนึ่งเป็นจริงขึ้นมา โดยทิ้งเรื่องราวดีๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับมาที่เติงเฟิง เพื่อดำเนินการถ่ายทำ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ต่อไป
เวลาผ่านไปราวกับสายน้ำ เพียงพริบตาเดียวก็เข้าสู่ปลายเดือนธันวาคมแล้ว
ทีมงาน ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ได้ถ่ายทำที่เมืองเติงเฟิงมาเป็นเวลานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว
ในเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ นี้ การมีอยู่ของทีมงานมีอิทธิพลอย่างมากต่อพื้นที่เติงเฟิง
อย่างแรกเลยก็คือวัดเส้าหลิน หลังจากที่ได้จัดตั้ง ‘บริษัท พัฒนาอุตสาหกรรมวัดเส้าหลิน จำกัด’ ขึ้นมาอย่างเป็นทางการแล้ว เงินทุนก้อนแรกจำนวนหนึ่งร้อยล้านหยวนของเฉินเฟยมีเดียก็ถูกนำมาใช้ทันที โครงการซ่อมแซมและขยายวัดเส้าหลินถูกวางกำหนดการอย่างรวดเร็ว
วัดเส้าหลินเป็นสถานที่ที่ได้รับการคุ้มครองทางวัฒนธรรมระดับมณฑล การพัฒนาและซ่อมแซมสถานที่ที่ได้รับการคุ้มครองทางวัฒนธรรมไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น มีแค่เงินทุนเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ จะต้องได้รับการตรวจสอบและการอนุมัติจากหน่วยงานระดับสูงด้วย
โชคดีที่การสนับสนุนจากทางเทศบาลเติงเฟิงนั้นมีพลังเป็นอย่างมาก บวกกับไม่ต้องใช้เงินทุนของประเทศ และวัดเส้าหลินเองก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการซ่อมแซ่มบำรุงรักษาแล้วจริงๆ ดังนั้นเอกสารที่เกี่ยวข้องจึงได้รับการดำเนินการอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ได้รับเอกสารที่ผ่านการอนุมัติมาเรียบร้อยแล้ว บริษัทพัฒนาอุตสาหกรรมเส้าหลินก็ได้ให้คนภายนอกเข้าร่วมประมูลโครงการเป็นครั้งแรก โดยได้เชิญบริษัทก่อสร้างสถาปัตยกรรมโบราณที่มีคุณภาพภายในประเทศให้มาประมูลก่อน จากนั้นโครงการก็เริ่มขึ้นอย่างเอิกเกริก
ด้วยเหตุนี้วัดเส้าหลินจึงถูกปิดเป็นเวลาสามเดือน ด้านหนึ่งก็เพราะต้องการซ่อมแซมและปรับปรุง ในอีกด้านหนึ่งก็ยังเป็นการให้ความร่วมมือกับทีมงาน ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ในการถ่ายทำอีกด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะถูกรบกวนจากนักท่องเที่ยวเอาได้ ซึ่งจะสร้างปัญหาให้ต้องจัดการเพิ่มอีกมากมาย
วัดเส้าหลินในปัจจุบันนี้ มีโครงสร้างที่เปลี่ยนไปมาก ขนาดของวัดขยายใหญ่ขึ้นถึงสองในสาม นอกจากนี้ยังมีการเคลียร์พื้นที่เพื่อสร้างศูนย์วิจัยศิลปะการต่อสู้วัดเส้าหลินและหอศิลปะการต่อสู้เส้าหลินอีกด้วย
ตามแผนการที่ได้วางไว้ โครงการซ่อมแซมและขยายนี้จะใช้เวลาทั้งหมดสองปี แต่ว่าส่วนแรกของโครงการจะสร้างเสร็จก่อนเทศกาลตรุษจีนในปีหน้า และจะเปิดรับนักท่องเที่ยวได้อย่างเป็นทางการในช่วงเทศกาลตรุษจีน ให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศได้เห็นความสง่างามของวัดเส้าหลิน
วัดเส้าหลินในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก เป็นที่รู้จักมากกว่าเดิมอย่างน้อยก็สิบเท่าไปแล้ว จำนวนผู้ติดตามบัญชีทางการของวัดเส้าหลินในบล็อกล่างฉาวก็ทะลุหลักล้านไปแล้ว
นี่ก็เป็นเพราะว่าได้ทีมงาน ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ปล่อยภาพนิ่งออกมาเป็นครั้งคราว ซึ่งภาพเหล่านั้นมีทิวทัศน์ของวัดเส้าหลินอยู่ไม่น้อยเลย และยังมีรูปของลู่เฉินตอนอยู่ในวัดเส้าหลินอีกด้วย
นอกจากนี้ ลู่เฉินยังได้เปิดเผยในบล็อกด้วยว่า หลังจากที่ถ่ายทำ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ภาคที่สามเสร็จสิ้นแล้ว เขาน่าจะถ่ายทำภาพยนตร์เพื่อวัดเส้าหลินเป็นพิเศษสักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงจีนสิบสามรูปที่ได้เข้าไปช่วยจักรพรรดิถังในช่วงราชวงศ์สุยและถัง
แน่นอนว่าเมื่อมีการประชาสัมพันธ์ต่างๆ อย่างนี้ไปแล้ว วัดโบราณนับพันปีแห่งนี้ก็เปล่งประกายความมีชีวิตชีวาออกมาแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากนั้นในอนาคตอันใกล้นี้ ก็จะกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เปล่งประกายในโปรเจกต์ผลงานกำลังภายในอันยิ่งใหญ่ของลู่เฉิน
แต่ระหว่างกระบวนการนี้ ลู่เฉินและวัดเส้าหลินที่ล้วนเป็นหน้าใหม่จะผ่านการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปด้วยกัน
นั่นก็คือพัฒนาการจากนักแสดงคนหนึ่งไปสู่การเป็นผู้กำกับคนหนึ่ง!
วงการบันเทิงก็เป็นเหมือนยุทธภพขนาดใหญ่ ผู้คนในยุทธภพนั้นย่อมมีระดับสูงต่ำแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมชาติ ผู้กำกับก็ด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะผู้กำกับภาพยนตร์ ที่จะต้องยืนอยู่ในระดับบนสุดอย่างแน่นอน
ในตอนที่ลู่เฉินเป็นนักร้องและได้ถ่ายทำมิวสิควิดีโอครั้งแรก ภายในใจของเขาก็มีความคิดที่อยากจะเป็นผู้กำกับโผล่เข้ามาในหัวทันที
ความคิดนี้เริ่มแรงกล้ามากขึ้นเมื่อเขาได้ถ่ายทำละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ‘ฟูลเฮ้าส์’ และเรื่องอื่นๆ จนมาถึงภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง ‘โปเลโปโลเย’ เขาก็เริ่มศึกษาและเตรียมการไว้แล้ว
คิดอยากจะเป็นผู้กำกับตัวจริงคนหนึ่ง การเป็นผู้กำกับภาพยนตร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
การจะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมคนหนึ่งนั้น อย่างแรกเลยต้องมีความรู้ทางวิชาชีพอย่างเชี่ยวชาญ มีความรู้ความเข้าใจในศิลปะรูปแบบต่างๆ ทั้งหมดของภาพยนตร์ และยังต้องมีทักษะจำเป็นต่างๆ มากพอที่จะสร้างภาพยนตร์ได้อีกด้วย
ผู้กำกับจะทำตามบทภาพยนตร์ ควบคุมรายละเอียดและกระบวนการพัฒนาโครงเรื่องของภาพยนตร์ เขายังต้องกำกับการแสดงของนักแสดง ซึ่งรวมถึงการกำหนดสถานที่ถ่ายทำและการเคลื่อนไหวของนักแสดงด้วยตนเอง และช่วยนักแสดงสร้างอารมณ์ในการแสดงอีกด้วย
นอกจากนี้ ผู้กำกับภาพยนตร์ต้องจัดระเบียบและเลือกสถานที่ถ่ายทำ จัดการทางด้านเทคนิค เช่น ตำแหน่งของกล้อง การจัดแสง การกำหนดฉากหลัง เนื้อหาของเพลงประกอบละครและความเหมาะสมของเวลา เป็นต้น
ในวงการบันเทิง ดาราหลายคนล้วนมีประสบการณ์ในการเป็นผู้กำกับ แม้แต่นักเขียนชื่อดังบางคนยังเคยปะปนอยู่ในวงการเพื่อถ่ายทำผลงานของตนเอง แต่ผู้กำกับเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงแค่มือสมัครเล่นเท่านั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญทักษะมากมาย หรือไปจัดการงานต่างๆ เยอะแยะขนาดนั้น พวกเขาจะมอบงานหลักๆ ให้โปรดิวเซอร์ ผู้ช่วยผู้กำกับ และตากล้อง แล้วแอบอ้างว่าตนเป็นคนทำเอง เพียงแค่ให้ตนเองได้มีคำนำหน้าชื่อเพื่อยกระดับตนเองให้ดูดีขึ้นก็พอแล้ว
สิ่งที่ลู่เฉินต้องการจะทำ ไม่ใช่การเป็นผู้กำกับปลอมๆ เพียงแค่ในนามเช่นนี้ ถึงแม้ว่าอีกเส้นทางหนึ่งจะยากลำบากมาก และเต็มไปด้วยความเสี่ยงและอุปสรรคขวากหนามก็ตาม แต่เขาก็ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป!
เข้าได้ศึกษาตั้งแต่ที่เรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ได้เริ่มขึ้นแล้ว เขาเจียดเวลาว่างจากงานที่ยุ่งมากมาศึกษาเรียนรู้ พยายามอย่างหนักเพื่อมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่ได้คาดหวังเอาไว้
การเป็นผู้กำกับ แน่นอนว่าลู่เฉินไม่ได้ทำไปเพื่อยกระดับให้ตัวเองดูดีขึ้น แต่เขาหวังว่าด้วยความพยายามของตนเอง จะทำให้ความฝันที่ไม่เคยเป็นจริงของทั้งสามคนในโลกแห่งความฝันเกิดขึ้นจริง
ถ่ายทำภาพยนตร์ที่เป็นของตนเองอย่างแท้จริง!
ลู่เฉินในตอนนี้ ไม่ต้องอาศัยความทรงจำในโลกแห่งความฝันมาแสวงหาความสำเร็จและความรุ่งโรจน์นานแล้ว เขาหวังไว้อย่างมากว่าจะได้รับเสียงชื่นชมจากทุกคนมาด้วยความพยายามของตนเอง
ที่โชคดีก็คือ ลู่เฉินนั้นมีพื้นฐานเหนือกว่าคนทั่วไป ‘กระบี่จากเทือกเขาฮว่าซาน’ ภาคแรกของ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ได้เชิญเฉินกั๋วจื้อผู้กำกับยอดเยี่ยมมา ภายใต้การแนะนำอย่างใส่ใจของผู้เชี่ยวชาญรุ่นใหญ่ในวงการคนนี้ ทักษะด้านการกำกับของเขาก็ได้ค่อยๆ สะสมไปทีละน้อย
‘บูรพาไม่แพ้’ ภาคที่สองของ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ เป็นการทดสอบความสามารถของลู่เฉินหลังจากที่เขาได้ผ่านการอบรมฝึกฝนมาแล้ว
จากตอนแรกที่ติดขัดกระทั่งค่อยๆ ขัดเกลาจนเกิดความเชี่ยวชาญ จากที่วิตกกังวลไม่สบายใจก็กลายเป็นลงแรงทำได้อย่างสบายๆ เส้นทางการกำกับของลู่เฉินนี้นับวันก็ยิ่งราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ!
แต่สำหรับแฟนคลับมากมายของลู่เฉิน สิ่งที่พวกเขาตั้งตารอไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ลู่เฉินกำกับ แต่เป็นอัลบั้มที่สามของลู่เฉินที่จะวางจำหน่ายในวันที่ 1 มกราคม ปี 2019
อัลบั้มนี้มีชื่อว่า ‘ลู่เฉิน’!
…………………………………………………………………………