Perfect Superstar - ตอนที่ 892 ส่งตั๋ว
ตอนที่ 892 ส่งตั๋ว
เมืองหลวง โฮ่วไห่
เวลาบ่ายสองโมง เป็นเวลาที่บาร์เดย์ลิลลี่ที่ตั้งอยู่บนถนนคนเดินกำลังแขวนป้าย ‘เปิดร้าน’ พอดี แขกคนหนึ่งสวมเสื้อกันลมสวมแว่นตากันแดดเดินเข้ามา
บาร์ที่โฮ่วไห่มีเยอะมาก เวลาเปิดร้านหลักๆ แล้วคือตอนเย็นถึงเที่ยงคืนตีหนึ่ง และมีบางบาร์ที่เปิดร้านค่อนข้างเร็ว เวลาบ่ายสองบ่ายสามก็เริ่มเปิดร้านแล้ว แต่โดยทั่วไปยังไม่มีลูกค้ามากเท่าไร
พนักงานส่วนใหญ่ยังไม่มาทำงาน เวทีการแสดงยังโล่งว่างไม่เห็นใคร มีเพียงกลองชุดหนึ่งที่วางอยู่ตรงมุม เปิดไฟแค่สองสามดวง แสงไฟไม่ค่อยสว่างมากนัก
วันนี้ตอนที่ลูกค้าคนแรกเข้ามา เฉินเจี้ยนหาวกำลังใช้ผ้าเช็ดบาร์อยู่พอดี
เมื่อก่อนเขาไม่ทำงานพวกนี้ เพราะเป็นงานของพนักงาน แต่หลังจากที่แต่งงานมีลูก จู่ๆ เขารู้สึกชอบงานเช็ดถูขึ้นมา
ตอนที่ประตูบาร์ถูกเปิด เขาเช็ดบาร์จนสะอาดหมดจด ทำให้รู้สึกประสบความสำเร็จและพึงพอใจมาก
ที่สำคัญที่สุดคือ ภรรยาของเฉินเจี้ยนหาวก็อยู่ในบาร์เช่นกัน คอยจัดตู้เหล้าไปพร้อมกับเขา ระหว่างทั้งสองคนมีความรู้ใจกันแม้ไม่ต้องพูด เป็นความรู้สึกหวานชื่นและอบอุ่นที่เป็นของคนทั้งสอง
ลูกค้าที่สวมเสื้อกันลมนั่งลงตรงหน้าบาร์ แล้วเอ่ยว่า “เถ้าแก่เนี้ย ผมขอเบียร์แก้วหนึ่ง”
เถ้าแก่เนี้ยเพิ่งจะยัดแชมเปญขวดหนึ่งกลับเข้าไปในตู้ เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เมื่อได้ยินแล้วจึงกล่าวว่า “คุณมาเร็วมากจริงๆ วันนี้เป็นลูกค้าคนแรก แก้วนี้ฉันขอเลี้ยงคุณค่ะ”
ลูกค้ายิ้มเอ่ยว่า “โห เกรงใจแย่เลยครับ”
เถ้าแก่เนี้ยจู่ๆ ก็รู้สึกว่าผิดปกติ พลันเงยหน้าทันที เห็นลูกค้าคนนี้กำลังถอดแว่นกันแดดพอดี เผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
“อ๋า!”
เธอส่งเสียงกรี๊ดออกมาในทันใด เปิดแผ่นกั้นบาร์อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดแล้วพุ่งออกมา อ้าแขนทั้งสองข้างสวมกอดอีกฝ่ายอย่างแรง “เสี่ยวลู่!”
เฉินเจี้ยนหาวที่กำลังเช็ดโต๊ะอีกฝั่งตกใจที่ได้ยินเสียงร้องกรี๊ดของภรรยา แต่ตอนที่เขาเห็นใบหน้าที่แท้จริงของลูกค้าก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา
ลู่เฉินหัวเราะเหอะๆ พลางตบหลังของของพี่น่า เอ่ยว่า “คุณแม่ของลูกบุญธรรมพี่ผอมมาก!”
ลูกชายของเฉินเจี้ยนหาวกับพี่น่า ยอมรับลู่เฉินเป็นพ่อบุญธรรม แต่พ่อบุญธรรมคนนี้ยุ่งเหลือเกินเคยเจอหน้าลูกชายคนนี้แค่สองสามครั้ง แต่กลับส่งของขวัญมาให้เป็นกอง
พี่น่าหัวเราะฮ่าๆ พลางปล่อยลู่เฉิน กำหมัดชกไปที่ไหล่ของเขา ถามว่า “วันนี้นายว่างมาได้ยังไง หรือคิดถึงลูกชายแล้ว เอาของขวัญมาด้วยหรือเปล่า”
ลู่เฉินละอายใจ “ค่อยชดเชยครั้งหน้านะครับ”
จะว่าไปแล้วเขาไม่ได้มาบาร์เดย์ลิลลี่นานมาก หลักๆ ก็เพราะปกติทำงานยุ่งเกินไป แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อมิตรภาพระหว่างเขากับเฉินเจี้ยนหาวและพี่น่า
เพื่อนบางคน ต่อให้ไม่เจอหน้ากันเป็นปี ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ตอนนี้ลู่เฉินจะยืนอยู่บนตำแหน่งที่สูงสุดในชีวิต ทว่าเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือใครเลย
อย่าลืมความตั้งใจแรกเริ่ม บาร์แห่งนี้มีความทรงจำของลู่เฉินอยู่มากมาย และเป็นสถานที่ตั้งต้นในใจของเขาเช่นกัน
เฉินเจี้ยนหาวรินเบียร์ให้ลู่เฉิน
ลู่เฉินก็ไม่เกรงใจ ยกแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่มคำใหญ่ จากนั้นหยิบตั๋วคอนเสิร์ตสองใบออกมาจากในกระเป๋าเสื้อกันลมแล้ววางบนบาร์ “คอนเสิร์ตของผมในเดือนหน้า พวกพี่จะต้องมาให้ได้นะครับ”
“รอมานานแล้ว…”
เฉินเจี้ยนหาวหยิบตั๋วขึ้นมาดูหนึ่งที “ฉันรอวันนี้มานานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมาช้าขนาดนี้”
“ใช่แล้วๆ!”
พี่น่าแย่งตั๋วมาหนึ่งใบ มองเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่า “รักตราบนิรันดร์เหรอ ชื่อไม่เลวทีเดียว!”
ลู่เฉินรู้สึกละอายใจ
อันที่จริงตั้งแต่ที่เขาเดบิวต์ หลังจากออกอัลบั้มชุดแรก ‘เธอผู้เป็นเพื่อนผู้ร่วมโต๊ะของฉัน’ เขาก็มีคุณสมบัติที่จะจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวของตัวเองนานแล้ว ผลปรากฏว่ากลับเลื่อนมานานถึงสามปี
ในวงการบันเทิงมีนักร้องมากมายที่ไม่ได้มีผลงานเด่นดังอะไร แต่ก็จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวอย่างเอิกเกริก ไม่ว่าขาดทุนหรือได้กำไรก็ต้องจัดเพื่อให้ประวัติสวยงาม
เมื่อเทียบกันแล้วคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกของลู่เฉินมาช้ามากจริงๆ ทั้งที่เขาสามารถจัดคอนเสิร์ตสองสามครั้งในหนึ่งปีได้ไม่มีปัญหา และความกระตือรือร้นของพวกแฟนคลับก็ไม่มีทางใช้หมด
เย็นวันนี้คอนเสิร์ตเดี่ยว ‘รักตราบนิรันดร์’ ของลู่เฉิน ซึ่งจะจัดขึ้นที่สนามกีฬาโอลิมปิกกรุงปักกิ่งในวันวาเลนไทน์หรือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เฉินเฟยมีเดียกับเฟยซวิ่นมิวสิคจะเปิดให้จองบัตรล่วงหน้า
บัตรคอนเสิร์ตได้พิมพ์ออกมาเมื่อสองวันก่อน นอกจากการจองล่วงหน้าแล้ว ยังมีอีกหนึ่งส่วนที่เก็บเอาไว้แจกคนอื่น เนื่องจากมีหลายคนบอกล่วงหน้าไว้นานแล้วว่าอยากได้บัตรรวมทั้งเพื่อนสนิทในวงการอย่างถานหง หลิวกั่งเซิง ซือฟาง เป็นต้น
แน่นอนว่าลู่เฉินไม่ลืมเฉินเจี้ยนหาวสองสามีภรรยา เขาเอาตั๋วมาส่งด้วยตัวเองโดยเฉพาะ
เฉินเจี้ยนหาวกับพี่น่าสบตากันแล้วยิ้ม รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสองคนถึงแม้จะไม่ได้คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิง แต่เรื่องราวในวงการบันเทิงมองเห็นมาเยอะแล้ว คนที่จริงใจเสมอต้นเสมอปลายเหมือนลู่เฉินมีน้อยมากจริงๆ
ครืด…
และในเวลานี้เอง ประตูของบาร์ถูกคนผลักออกอีกครั้ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งถือกล่องกีตาร์เดินเข้ามา
“เถ้าแก่ เถ้าแก่เนี้ย!”
เขาทักทายอย่างมีมารยาท แต่ท่าทางไม่ค่อยคุ้นชินนัก ท่าทางและน้ำเสียงยังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เท่าไร
พี่น่ายิ้มเอ่ยว่า “เสี่ยวเกามาแล้วเหรอ”
เด็กหนุ่มพยักหน้า ทันใดนั้นสายตาพลันนิ่งไป…เขามองเห็นลู่เฉินที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าบาร์
ถึงแม้ลู่เฉินจะนั่งหันข้าง แต่เด็กหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวเกาคนนี้มองปราดเดียวก็จำลู่เฉินได้ทันที
ลู่เฉินเป็นถึงไอดอลของเขา ตอนแรกที่เขามาทำงานที่บาร์เดย์ลิลลี่ ก็เพราะลู่เฉินเคยทำงานที่บาร์แห่งนี้และได้เดบิวต์
ในความเป็นจริงบาร์ที่อยู่ในย่านโฮ่วไห่ในทุกวันนี้ บาร์เดย์ลิลลี่กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนักร้องเพลงบัลลาด มีนักร้องหลายคนเคยมาร้องเพลงที่นี่ แต่การจะกลายเป็นนักร้องประจำบาร์เดย์ลิลลี่กลับไม่ใช่เรื่องง่าย
เฉินเจี้ยนหาวกวักมือเรียกเขา “มานี่ ฉันจะแนะนำให้นายรู้จัก”
เสี่ยวเการีบตั้งสติทันที เขาวิ่งซอยเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว ยืนอยู่ตรงหน้าลู่เฉิน หน้าแดงด้วยความตื่นเต้น “อะ…อาจารย์ลู่สวัสดีครับ!”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อยตอบว่า “สวัสดีครับ”
เฉินเจี้ยนหาวเอ่ยว่า “เขาเพิ่งจะเป็นนักร้องประจำ ชื่อเสี่ยวเกา เกาหย่ง เล่นกีตาร์เก่ง ร้องเพลงพอไหวเคยแต่งเพลงสองสามเพลง ถือว่าฉลาดมีพรสวรรค์อยู่”
“นายช่วยชี้แนะหน่อย”
ลู่เฉินเอ่ยว่า “ครับ”
เขารู้ว่าเฉินเจี้ยนหาวให้ความสำคัญต่อคนมีความสามารถไม่อย่างนั้นคงไม่แนะนำให้ตนเองรู้จัก และจะไม่ยอมให้เขาช่วยสอน การชี้แนะสองสามประโยคอาจจะทำให้ชีวิตของนักร้องหนุ่มคนนี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงก็เป็นได้
เกาหย่งรู้สึกเหมือนมีขนมหล่นลงมาจากฟ้าในทันใด เขาแทบจะเป็นลม
โชคดีที่พี่น่าเตือนเขา ให้เขาขึ้นไปร้องเพลงบนเวที
ตอนที่เกาหย่งลองสายกีตาร์ พี่น่าพูดกับลู่เฉินว่า “เขาคล้ายกับนายในตอนแรกอยู่บ้าง”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่พูด
ถึงพี่น่าไม่พูด เขาก็พอมองเห็นเงาของตนเองในตอนนั้นที่สะท้อนออกมาจากตัวของอีกฝ่าย
เพียงแต่เวลาเผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไปไกลแสนไกล
…………………………………………………………………………