Perfect Superstar - ตอนที่ 902 รักตราบนิรันดร์ (2)
ตอนที่ 902 รักตราบนิรันดร์ (2)
เวลาหนึ่งทุ่มสิบนาที ภายในห้องพักวีไอพีของสนามกีฬาโอลิมปิก ราวกับเป็นโลกอีกใบหนึ่ง
กำแพงหนาๆ กั้นเสียงรบกวนจากโลกภายนอก ปล่อยให้ภายในห้องที่ตกแต่งอย่างทันสมัยมีแค่ความเงียบสงบชุดน้ำชาสวยงามประณีตวางอยู่บนโต๊ะน้ำชาสีดำ กลิ่นชาหอมอ่อนๆ ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์นั่งอิงซบกันอยู่บนโซฟาอ่อนนุ่ม ดื่มด่ำช่วงเวลาแห่งสองเราอย่างเงียบๆ
“ตื่นเต้นไหม”
เฉินเฟยเอ๋อร์ซบไหล่ของลู่เฉิน ยิ้มถามเบาๆ “คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกเชียวนะ”
ลู่เฉินคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “นิดหน่อยครับ แต่ไม่ได้ตื่นเต้นมากเหมือนที่คิดไว้ รู้สึกเหมือนมาร่วมพิธีที่สำคัญอย่างหนึ่ง เพื่อให้สมความปรารถนาของตัวเอง”
ขณะที่พูด เขาหันไปจูบใบหน้าของเฉินเฟยเอ๋อร์ “สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ”
“ของขวัญล่ะ”
เฉินเฟยเอ๋อร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “มีดอกไม้แค่ช่อเดียวเหรอ”
วันนี้ตอนเช้า ลู่เฉินมอบดอกกุหลาบช่อหนึ่งให้เธอ ตอนนี้ดอกไม้ช่อนั้นวางอยู่ในห้องพักผ่อน
เฉินเฟยเอ๋อร์แน่นอนว่าไม่ได้สนใจว่าลู่เฉินจะมอบของขวัญอะไร จะเป็นดอกไม้หนึ่งช่อหรือดอกไม้หนึ่งดอก ขอแค่แสดงความจริงใจก็พอใจแล้ว เธอจงใจถามแซวแบบนี้ เพื่อกระจายความสนใจของเขา อยากให้เขาผ่อนคลาย
สำหรับงานคอนเสิร์ต ประสบการณ์ของเฉินเฟยเอ๋อร์สามารถฆ่าลู่เฉินได้ในวินาทีเดียว
ลู่เฉินหัวเราะเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่นี้ แค่ขอปิดเป็นความลับก่อน รออีกนิดค่อยให้คุณครับ”
“เชอะ!”
เฉินเฟยเอ๋อร์กลอกตาใส่เขาอย่างแง่งอน แล้วดึงกล่องยาวๆ กล่องหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะน้ำชาเหมือนดั่งเล่นมายากล “นี่คือของขวัญที่ฉันมอบให้นาย มีความจริงใจเยอะกว่านายใช่ไหมล่ะ”
ลู่เฉินตกใจมาก พูดพลางแย้มยิ้มทันที “ขอบคุณครับที่รัก!”
กล่องใบนี้มันใหญ่มากทีเดียว ด้านนอกถูกห่อด้วยกระดาษมีสีสัน มองไม่ออกว่าข้างในเป็นอะไร
เฉินเฟยเอ๋อร์พูดด้วยความชื่นใจ “เปิดดูสิ”
ลู่เฉินพยักหน้า รีบลงมือฉีกกระดาษทันที
ข้างในคือกล่องกีตาร์ใบหนึ่ง ตราสัญลักษณ์สีทองที่ประทับอยู่บนตัวกล่องเป็นยี่ห้อดังไม่เหมือนใคร แต่สำหรับลู่เฉินที่เข้าใจกีตาร์เป็นอย่างดี มองปราดเดียวก็จำได้ว่านี่คือโลโก้ของแพลนโดปรมาจารย์แห่งการทำกีตาร์
แพลนโดเป็นนักผลิตกีตาร์ระดับชั้นยอดที่สุดในโลก เขาผลิตกีตาร์หนึ่งตัวมักใช้เวลาสองสามเดือนถึงครึ่งปีอยู่เสมอ ถ้าหากสั่งทำแบบส่วนตัวเช่นนั้นเวลาจะยาวยิ่งกว่า
กีตาร์ทำมือของแพลนโดถูกมองเป็นสิ่งล้ำค่าในวงการ ตัวท็อปแห่งวงการเพลงมากมายรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจที่ได้ครอบครองกีตาร์ของเขา แต่อยากจะสั่งซื้อสักตัวกลับไม่ใช่เรื่องง่าย มีเงินก็ซื้อไม่ได้
ลู่เฉินคิดไม่ถึงว่าเฉินเฟยเอ๋อร์จะมอบกีตาร์ทำมือของแพลนโดเป็นของขวัญให้เขา เขาแทบอยากจะเปิดออกมาลองเล่นอย่างอดใจไม่ไหว
กีตาร์ตัวหนึ่งถูกห่ออยู่ในผ้ากำมะหยี่ปรากฏอยู่ในสายตาของเขา งดงามจนทำให้คนแทบหยุดลมหายใจ!
ลู่เฉินเคยเล่นกีตาร์ทำมือของแพลนโดมาก่อน แต่เมื่อเทียบกับตัวนี้ ลำพังแค่หน้าตาก็เทียบไม่ติดแล้ว นี่คือผลงานศิลปะที่สามารถทำให้ผู้ที่ชื่นชอบบ้าคลั่งได้อย่างแน่นอน
เฉินเฟยเอ๋อร์พูดกับลู่เฉิน “ตัวนี้ฉันสั่งซื้อตั้งแต่ปีที่แล้ว ฝากคนหาเส้นสาย และเพิ่งได้มาเมื่อเดือนที่แล้ว ชอบไหม”
ลู่เฉินตอบโดยไม่ลังเล “ชอบครับ!”
เมื่อเทียบกับกีตาร์ เขาชอบความใส่ใจและความจริงใจของเฉินเฟยเอ๋อร์ที่มีต่อตัวเองมากกว่า
ได้ภรรยาดีขนาดนี้ แล้วยังมีอะไรไม่พอใจอีกเล่า
เฉินเฟยเอ๋อร์เม้มปากยิ้มเอ่ยว่า “ชอบก็ดี ลองทดสอบเสียงดูสิ”
ลู่เฉินถูมือ “ผมรู้สึกเสียดายไม่อยากหยิบออกมาใช้เลย…”
มีหลายคนที่ซื้อผลงานของแพลนโดเพื่อเก็บเป็นของสะสม เอาออกมาเล่นเป็นบางครั้งต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง น้อยมากที่จะเอาออกมาใช้แสดงและบรรเลงเพลงจริงๆ
แต่ในความเป็นจริงแล้วคือการฝืนความหมายของเครื่องดนตรี เพราะเครื่องดนตรีมีไว้ใช้ในการแสดง
ลู่เฉินหยิบกีตาร์ออกมาเพื่อลองสัมผัสและลองเสียง ผลปรากฏว่าดีงามไร้ที่ติจริงๆ
“อย่างนั้นเย็นนี้ผมจะใช้กีตาร์ตัวนี้แสดงสักหนึ่งเพลง…”
ก๊อกๆ!
ในยามนี้ ประตูห้องถูกคนเคาะเบาๆ
ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์สบตายิ้มให้กัน ลู่เฉินวางกีตาร์กลับไปในกล่องกีตาร์ เอ่ยพูดเสียงดังว่า “เชิญเข้ามาครับ”
ผู้ช่วยของเขาผลักประตูออกแต่ไม่ได้เข้ามา แล้วชะโงกหน้าเข้ามาเอ่ยว่า “พี่เฉิน ได้เวลาแล้วครับ”
ลู่เฉินพยักหน้า “รู้แล้วครับ”
รอให้ผู้ช่วยปิดประตูอีกครั้ง เฉินเฟยเอ๋อร์จูบลู่เฉินหนึ่งทีอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยว่า “นายไปเถอะ ฉันจะดูนายอยู่ทางนี้ แสดงให้ดีนะ!”
ลู่เฉินอ้าแขนสองข้างสวมกอดแฟนสาว จากนั้นลุกขึ้นเดินออกจากห้องพักผ่อน
ช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ของเขา กำลังจะมาถึง!
และภายในสนามกีฬาโอลิมปิกในขณะนี้ ที่นั่งแปดหมื่นกว่าที่นั่งผู้คนนั่งเต็มไปหมด แฟนคลับมากมายนับไม่ถ้วนชูแท่งไฟและป้ายไฟอย่างกระตือรือร้น แสงระยิบระยับประดับประดาดุจดวงดาวมากมายบนท้องนภา
คอนเสิร์ตในคืนนี้จะเริ่มอย่างเป็นทางการเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มยี่สิบห้านาที พวกผู้ชมต่างตื่นเต้นดีใจ และไม่รู้ว่าใครเป็นคนนำก่อน เสียงร้องเชียร์ราวกับน้ำขึ้นดังขึ้นไปทั่วงาน
“ลู่เฉิน!” “ลู่เฉิน!” “ลู่เฉิน!”
ทุกคนอยากจะเห็นลู่เฉินปรากฏตัวบนเวทีอย่างอดใจไม่ไหวแล้ว
ตามเวลาที่ล่วงเลยไป เสียงตะโกนเรียกไม่เพียงแต่ไม่หยุดเท่านั้น ตรงข้ามกลับยิ่งดังและคึกคัก
“ลู่เฉิน~”
พวกแฟนเพลงที่ชื่นชอบลู่เฉิน ราวกับนำการรอคอยที่สะสมมาตลอดสี่ปี ระบายออกมาในตอนนี้ให้หมดสิ้น ทำให้คอนเสิร์ตที่ยังไม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเข้าสู่จุดไคลแม็กซ์
เวลาหนึ่งทุ่มยี่สิบเก้านาที แสงไฟที่ส่องแสงรวมกันบนเวทีพลันมืดลง เครื่องพ่นควันที่จัดวางอยู่โดยรอบเริ่มปล่อยควันออกมาเป็นจำนวนมาก หน้าจอแอลอีดีขนาดยักษ์ที่อยู่ด้านหลังเวทีรวมทั้งหน้าจอทั้งสามที่ลอยอยู่กลางอากาศ แสดงภาพเวลานับถอยหลังพร้อมกัน
“20 19 18…”
เสียงโห่ร้องของผู้ชมทั่วงานเปลี่ยนเป็นเสียงนับเลขถอยหลัง “…10 9 8 7…”
“3 2 1!”
“0!”
ทั่วทั้งงานเปลี่ยนเป็นความเงียบสงบทันที เวลาเหมือนถูกแช่แข็ง มีเพียงเสียงกีตาร์ดังขึ้นเบาๆ ผ่านเข้าไปในหูของทุกคน
ท่วงทำนองที่คุ้นเคยเช่นนี้!
ตรงกลางเวที ลิฟต์ยกกลางเวทีแต่เดิมที่จมอยู่ด้านล่างค่อยๆ เลื่อนขึ้นมา แสงไฟสปอตไลต์ลำแสงหนึ่งตกกระทบลงมาทันที
ลู่เฉินถูกคลุมอยู่ในนั้น
ลู่เฉินสวมกางเกงยีนส์สีซีดเก่าๆ กับเสื้อยืดราคายี่สิบสามสิบหยวนตัวหนึ่ง นั่งบนเก้าอี้กอดกีตาร์ นั่งหันหน้าให้ไมค์และกล้อง เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
การปรากฏตัวครั้งแรกในคอนเสิร์ตเดี่ยวรอบแรก ลู่เฉินมอบความประหลาดใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก เขาแต่งตัวเรียบง่ายสบายสุดๆ ไม่เหมือนซูเปอร์สตาร์ที่มีทรัพย์สินเกินพันล้าน แต่เป็นนักร้องหลงกรุงที่ไร้ชื่อเสียง ดิ้นรนทำงานอยู่ในระดับต่ำที่สุด
มีเพียงพวกแฟนคลับในตอนแรกและแฟนคลับตัวยงที่สุดของลู่เฉินในตอนนั้นถึงจะเข้าใจ การแต่งกายแบบนี้ของลู่เฉิน คือท่าทางตอนที่เขาร้องเพลงอยู่ในบาร์และแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดในตอนนั้น!
กาลเวลาล่วงผ่านเลยไป ความตั้งใจแรกเริ่มไม่เปลี่ยน ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร เขาอยากจะบอกทุกคนว่า…
ลู่เฉินก็ยังคือลู่เฉินคนนั้น!
และเพลงที่ซาบซึ้งโดนใจคนมากมายนับไม่ถ้วนเพลงนั้น ก็ถูกร้องกันแพร่หลายจนถึงทุกวันนี้
…………………………………………………………………………