Perfect Superstar - ตอนที่ 91 หวังจิ้ง
ตอนที่ 91 หวังจิ้ง
ตอนที่ลู่เฉินเห็นหวังจิ้งเป็นครั้งแรก เขารู้สึกว่า…
ผู้ชายคนนี้เท่จัง!
จากนั้นเขาถึงรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด ฝ่ายนั้นไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง
เป็นหญิงสาวที่ดูเท่ไม่เบาคนหนึ่ง
ส่วนสูงประมาณ 175 เซนติเมตร เรียวขายาวกลมมนถูกหุ้มด้วยกางเกงยีนส์เนื้อบางสีฟ้า ด้านบนสวมเสื้อยืดสกรีนลายทำเอง ทรงผมของเธอตัดสั้นมาก จึงทำให้ดูสะอาดสะอ้านหมดจดเป็นพิเศษ
หญิงสาวคนนี้สะสวย ทั้งดวงตา จมูก หรือว่าริมฝีปากและคางต่างก็รับกันดีตามอัตราส่วนที่สมบูรณ์ แต่เธอไม่ได้แต่งหน้าให้ดูเย้ายวนหรือจัดจ้านจนเกินไป กลับให้ความรู้สึกที่ห้าวหาญอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งที่ติดตาตรึงใจลู่เฉินคือ ดวงตาของเธอที่ทอประกายสดใสราวกับดวงดาว
“นี่ลูกสาวของผม หวังจิ้ง…”
หวังฉางเซิงแนะนำให้รู้จักกันทั้งสองฝ่าย
“คุณคนนี้เป็นลูกค้าคนใหม่ของสตูดิโอเรา คุณลู่เฉิน”
“สวัสดีค่ะ!”
หวังจิ้งยื่นมือออกมาให้ลู่เฉินจับอย่างใจกว้าง “ยินดีต้อนรับเข้าสู่สตูดิโอเนี่ยผาน”
ลู่เฉินจับมือกับเธอ “สวัสดีครับ”
เมื่อนั่งลงใหม่แล้ว ลู่เฉินก็ส่งเนื้อเพลงที่ถ่ายเอกสารเตรียมมาแล้วให้เธอ ถามว่า “ผมอยากให้สตูดิโอของคุณช่วยผมทำดนตรีและอัดเสียงให้ ภายในเวลาสองวันเสร็จทันไหมครับ”
หวังจิ้งขมวดคิ้ว รับกระดาษถ่ายเอกสารมาดู
เธอดูอย่างตั้งใจ ทั้งยังลองฮัมออกมาเป็นเพลงเบาๆ เสียงตัวโน้ตที่เปล่งออกมาชัดเจนถูกต้องที่สุด
คิ้วที่ขมวดกันอยู่คลายออก สีหน้าของเธอส่อแววอึ้งทึ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงสาวสุดเท่เงยหน้าขึ้นถามว่า “คุณลู่ เพลงนี้คุณเขียนเองหรือคะ”
ลู่เฉินพยักหน้า “ใช่ครับ”
ชื่อผู้แต่งเนื้อเพลงด้านบนโน้ตเพลงก็พิมพ์ชื่อของเขาอยู่
หวังจิ้งถามอย่างสงสัย “เพลงนี้เขียนได้ดีมากเลย ทำไมคุณถึงมาหาฉันให้ทำเพลงให้คะ”
“หวังจิ้ง!”
ลู่เฉินยังไม่ทันตอบ หวังฉางเซิงก็ถลึงตาใส่เธออย่างดุดัน
“คุณลู่ถามว่าเพลงจะทำเสร็จภายในสองวันไหม แกถามนอกเรื่องไปทำไม”
หวังฉางเซิงรู้นิสัยของลูกสาวดี กลัวว่าเธอจะทำให้ลูกค้าที่ได้มาอย่างยากลำบากตกใจเผ่นหนีไปเสีย
หวังจิ้งเบะปาก เธอไม่ได้โต้แย้งบิดา แต่ความนิ่งเงียบและสีหน้าดื้อดึงที่แสดงออกมา ทำเอาบรรยากาศในห้องรับแขกเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความอึดอัดขัดเขิน
ลู่เฉินกระแอม กำลังจะอธิบายให้ฟัง หวังจิ้งก็พูดแทรกขึ้นว่า “สองวันรีบเกินไป ฉันไม่รับประกันได้ว่าจะทำผลงานได้ดี ให้เวลามากกว่านี้ได้ไหม”
ลู่เฉินตอบว่า “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ วันที่10 ผมต้องเข้าร่วมแข่งขันรายการของช่องปักกิ่ง แต่เนื้อเพลงกับดนตรีจะต้องส่งไปก่อน ผมเลยไม่สามารถยืดเวลาให้ได้ แต่ผมก็ไม่ได้เรียกร้องให้ผลงานออกมาดีมาก”
“ขับร้องให้ก้องจีน?”
คิ้วของหวังจิ้งขมวดขึ้นมาอีกครั้ง
“ในเมื่อสำคัญขนาดนี้ ทำไมไม่มาให้เร็วกว่านี้ล่ะ”
ลู่เฉินยิ้มขมขื่น
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมหวังฉางเซิงถึงต้องลำบากตรากตรำไปหาลูกค้าที่ตึกเต๋อหลง นิสัยของหวังจิ้งมักทำให้ลูกค้าไม่พอใจได้ง่าย กิจการของสตูดิโอจะดีได้อย่างไร
ลู่เฉินไม่โกรธ คนที่เก่งมีความสามารถส่วนใหญ่จะมีนิสัยไม่เหมือนคนทั่วไป
จบจากวิทยาลัยการดนตรีปักกิ่ง น่าจะควรค่าให้น่าเชื่อถือ
แต่หวังฉางเซิงพ่อของเธอเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว
“หวังจิ้ง…”
หวังจิ้งเงยหน้าขึ้น บอกว่า “สองวันก็ได้ แต่ค่าทำเพลงสองหมื่นหยวน!”
สองหมื่น?
สีหน้าของลู่เฉินเหยเก…คุณผู้หญิง ผมเป็นคนคุยง่ายอยู่แล้ว คุณอย่าเอาเปรียบผมให้มากเกินไปนะ!
หนึ่งเพลงสองหมื่นหยวน แค่การเรียบเรียงดนตรีกับการประกอบทำนอง เขาต้องวิ่งมาไกลถึงสตูดิโอเนี่ยผานเชียวหรือ
ลู่เฉินหันไปมองหวังฉางเซิงที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างอดไม่ได้
เวลานี้หวังฉางเซิงมีท่าทีอย่างผู้จัดการของสตูดิโอ เขาบอกหวังจิ้งอย่างใจเย็นมากว่า “แกไปเตรียมตัวทำงานเถอะ เรื่องราคาค่าทำเพลงเดี๋ยวพ่อคุยกับคุณลู่เอง”
ฝ่ายหลังดูไม่ค่อยพอใจ แต่แววขอร้องในดวงตาของหวังฉางเซิงบอกเตือนเธออยู่ในที เธอจึงเดินถือเนื้อเพลงจากไป
หวังฉางเซิงผ่อนคลายลง แล้วเขากล่าวขอโทษกับลู่เฉิน “คุณลู่ครับ ลูกสาวของผมนิสัยไม่ค่อยดี คุณอย่าถือสาเลยนะครับ แต่ความสามารถของเธอคุณวางใจได้เลย เพลงนี้ต่อให้สตูดิโอของเราต้องทำงานล่วงเวลาก็จะทำเสร็จให้ทัน!”
“ส่วนเรื่องราคา คุณว่าหนึ่งหมื่นจะได้ไหมครับ”
เขาตั้งใจเป็นฝ่ายลดราคาลงครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าตั้งความหวังว่าจะได้ทำการค้ากับลู่เฉิน
แม้ลู่เฉินรู้ว่าหากตัวเองยังต่อรองเพิ่ม ไม่แน่ว่าอาจจะหั่นราคาลงได้อีกหลายพัน แต่นี่เป็นงานเร่งด่วน ราคาสูงขึ้นสักหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา อีกทั้งการหั่นราคาคนอื่นอย่างโหดร้ายอาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่ตั้งใจทำงานให้เขา
คิดไปคิดมา เขาตอบว่า “หนึ่งหมื่นได้ ถ้าเพลงที่ทำออกมาแล้วผมพอใจ ผมจะให้สตูดิโอของพวกคุณทำทั้งอัลบั้มของผมเลย”
“ได้ครับ ได้ครับ!”
หวังฉางเซิงดีใจ
“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมงานกับคุณลู่ต่อไปอีกนานๆ!”
การทำอัลบั้มทั้งหมดไม่เหมือนกับการทำเพลงเดี่ยวสิบเพลง การทำอัลบั้มต้องการเงื่อนไขสูงกว่ามาก
ดังนั้นสำหรับสตูดิโอแห่งหนึ่ง การทำอัลบั้มเพลงถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง และเป็นโอกาสอันดีครั้งหนึ่งด้วย
ถ้าอัลบั้มขายดีแล้วชื่อเสียงที่ตามมาก็ง่ายดาย มีงานเข้ามาให้ทำเรื่อยๆ
ตั้งแต่ตั้งสตูดิโอเนี่ยผานมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่เคยได้ทำอัลบั้มเต็มรูปแบบเลยสักครั้ง
หวังฉางเซิงหมายมั่นปั้นมือจะจับลูกค้าคนนี้เอาไว้ให้อยู่หมัด เขาให้การรับรองว่า “คุณลู่ ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เข้าไปดูห้องอัดเสียงของสตูดิโอเราหน่อยนะครับ เย็นนี้ผมอยากเลี้ยงอาหารเย็นคุณ!”
ลู่เฉินยิ้มบอก “ห้องอัดเสียงน่ะผมต้องดูอยู่แล้ว แต่อาหารเย็นเอาไว้คราวหลังนะครับ”
ภายใต้การเดินนำของอีกฝ่าย เขาเข้ามาเยี่ยมชมถึงในห้องอัดเสียงของสตูดิโอเนี่ยผาน
ห้องอัดเสียงกินพื้นที่เกินครึ่งหนึ่งของสตูดิโอทั้งหมด ไมโครโฟนเป็นแบบคอนเดนเซอร์ ปรีแอมพลิฟายเออร์สำหรับไมโครโฟน ลำโพงมอนิเตอร์ เครื่องทำเสียงเอฟเฟกต์ แท่นปรับเสียง เครื่องเลือกเพลงแบบ VOD[1] เป็นต้น อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ที่จำเป็นมีพร้อมทุกสิ่ง แสดงถึงความเป็นมืออาชีพ
ในห้องสะอาดสะอ้าน สายไฟควบคุม เครื่องปรับอากาศ ผนังกั้นเสียง ประตูเก็บเสียงต่างถูกติดตั้งจัดวางได้อย่างเหมาะสม พื้นที่ภายในแม้ไม่ใหญ่ แต่ไม่ทำให้รู้สึกคับแคบ เทียบกับเขตห้องทำงานด้านนอกแล้วดูสดชื่นกว่ามาก
ผู้ควบคุมห้องอัดเสียงคือลูกชายของหวังฉางเซิงชื่อหวังฮุย เป็นชายหนุ่มใส่แว่นนิสัยขี้อาย รูปลักษณ์ละม้ายคล้ายกับพี่สาวของเขาอยู่ไม่น้อย เขาพูดน้อยแต่หากพูดเรื่องดนตรีแล้วจะพูดได้อย่างออกรส
หวังฉางเซิงออกจะภูมิใจในลูกชาย เขาคะยั้นคะยอเชิญลู่เฉินเข้าไปด้านใน
“คุณลู่ ให้เสี่ยวฮุยลองอัดเสียงให้คุณสักท่อนหนึ่งดีไหม? ฟรี!”
ลู่เฉินสนใจ ถามว่า “ที่นี่มีกีตาร์ไหมครับ?”
สตูดิโอเนี่ยผานไม่เพียงแต่มีกีตาร์ ยังมีเครื่องดนตรีชุดเล็กทั้งวงอีกด้วย
มีผู้ที่เดินตามกีตาร์เข้ามา เป็นสมาชิกวงดนตรีที่รวมหวังจิ้งด้วยสี่คน อีกสามคนเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ พวกเขายืนอยู่ในห้องควบคุมเสียง มองลู่เฉินร้องเพลงผ่านห้องกระจกใส
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ลู่เฉินได้เข้าห้องอัด แต่ในความฝัน สวีป๋อเป็นแขกประจำของห้องอัดเสียง
เพียงแต่เพลงที่สวีป๋ออัดส่วนใหญ่เป็นเพลงของคนอื่น เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ เขามักร้องเสียงคอรัสประกอบ ร้องเสียงเสริมหรือร้องเสียงประสาน ไม่เคยออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง
ความทรงจำผุดขึ้นมา ลู่เฉินกอดกีตาร์ไว้ หลับตาหันหน้าเข้าใส่ไมโครโฟน ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ลืมตา
ในห้องด้านนอก ชายหนุ่มคนหนุ่มกลั้นขำเบาๆ
“หึๆ ไม่ได้ถ่ายหนังสักหน่อย…”
ชายหนุ่มอีกคนที่สวมเสื้อยืดสีดำยืนอยู่ข้างกันพูดเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “นายไม่เข้าใจ นี่ถึงเรียกว่าทำอารมณ์”
ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่ายักไหล่ ทำท่าทีอดขำไม่ได้
หวังจิ้งยืนกอดอกอยู่ไม่ได้พูดอะไร ดวงตาของเธอจับจ้องที่ลู่เฉิน ริมฝีปากเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
โชคดีที่หวังฉางเซิงเพิ่งออกไป ไม่เช่นนั้นคงต้องโมโหพวกเขาเป็นการใหญ่แน่
หวังฮุยขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแล้วก็ไม่พูด
นักดนตรีเหล่านี้ยังรู้จักพอ ไม่ได้ล้อเล่นมากเกินไป ต่างกลั้นความขบขันเอาไว้
แต่ความคิดในใจเป็นอย่างไรนั้น มีแต่พวกเขาที่รู้ตัวเองดีที่สุด
ลู่เฉินในห้องอัดเสียงไม่ได้ยินบทสนทนาจากด้านนอก เมื่อรู้สึกว่าอารมณ์ของเขาถูกปรับจนดีพร้อมที่สุดแล้ว เขาลืมตาขึ้นแล้วพยักหน้าให้หวังฮุย บอกให้เริ่มได้
หวังฮุยกดปุ่มทันที ยกนิ้วโป้งส่งสัญญาณให้ลู่เฉิน…สู้ๆ!
ลู่เฉินเริ่มบรรเลงเพลง ตัวโน้ตของเพลงท่อนแรกไหลลื่นออกมาจากปลายนิ้ว
เพลงที่เขาจะร้องนี้คือเพลง ‘เธอในอดีต’!
…………………………………………………………………………………………
[1] VOD Video on Demand เป็นเครื่องที่ใช้เลือกเพลงที่จะร้องหรือเล่นดนตรี ตามความต้องการ