Puppy Love จดหมายรักระหว่างนายและฉัน - ตอนที่ 1
ฝนตกลงมาตลอดทั้งช่วงเช้า และยังคงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก
ดูเหมือนว่านักเรียนส่วนมากจะไม่พอใจที่จู่ๆ วิชาพลศึกษาก็ถูกเปลี่ยนเป็นวิชาภาษาอังกฤษกะทันหัน ยามที่อาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษผู้ที่ดัดผมลอนเหมือนกับนักร้องวงดิกแอนด์คาวบอยกำลังโบกกระดาษข้อสอบอยู่ในมือพร้อมทั้งสะบัดผมลอน นักเรียนทั้งชั้นเรียนต่างนิ่งเงียบ ไม่แม้แต่จะโต้ตอบใดๆ
ปึก
เข้าเป้าพอดีเป๊ะ
ชวีเสี่ยวปอที่กำลังเขียนข้อความอย่างเร่งรีบ พลันจ้องเขม็งไปยังลูกบอลกระดาษที่หล่นลงมาจากศีรษะตัวเอง จากนั้นจึงกลอกตามองซือจวิ้นที่กำลังยักคิ้วหลิ่วตามาให้
ชวีเสี่ยวปอชูนิ้วกลางให้เขาทันที จากนั้นจึงคลี่ลูกบอลกระดาษออกดู
“ตอนเที่ยงกินบะหมี่กันไหม?”
เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ! หลังจากอ่านจบชวีเสี่ยวปอก็ขยำกระดาษแผ่นนั้นให้เป็นก้อนแล้วทิ้งมันลงถังขยะด้านหลัง จากนั้นจึงหันไปให้ความสนใจกับกระดาษหลากสีที่อยู่ตรงหน้าต่อ
ซือจวิ้นที่เอาแต่จับจ้องอีกฝ่ายอยู่ตลอดรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย หลังจากกระแอมไอสองครั้งก็พบว่าชวีเสี่ยวปอไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสนใจเขา ดังนั้นจึงเตรียมจะปาลูกบอลกระดาษลูกที่สอง
“ซือจวิ้น! ยืนขึ้น!”
อาจารย์สอนภาษาอังกฤษตบโต๊ะเสียงดังปึก ผมเป็นลอนสั่นไปทั้งศีรษะ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เธอหันหน้าหันหลังไปมาอยู่แบบนั้นคิดว่าฉันไม่เห็นอย่างนั้นสิ? ”
ทั่วทั้งห้องพลันหัวเราะกันเกรียวกราว
“ขำ! ขำ! ยังมีหน้ามาขำกันอีก!” อาจารย์สอนภาษาอังกฤษตบโต๊ะอย่างแรง จนชอล์กกระจัดกระจายไปทั่ว เหล่านักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าต่างก็เงียบเสียงลง ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงดัง “ดูคะแนนสอบของพวกเธอสิ! เรื่องนี้ฉันพูดไปตั้งกี่ครั้งแล้ว ยังทำผิดกันอยู่อีกเหรอ? ซือจวิ้นเธอไม่อยากฟัง แต่คนอื่นเขาอยากฟังนะ อย่ารบกวนการเรียนของคนอื่นเขาสิ!”
“ครับ ผมเองก็คิดว่าอาจารย์รบกวนเวลาเรียนพละของเราเหมือนกันครับ” ซือจวิ้นคิดว่าตัวเองเอ่ยเสียงเบาแล้วเชียว
อาจารย์ผมลอนขมวดคิ้วเป็นปม “เธอว่าอะไรนะ! ออกไปเดี๋ยวนี้เลย!” พลางชี้นิ้วไปอีกทาง “แล้วก็เธอ ชวีเสี่ยวปอ เธอเองก็ออกไปด้วย!”
“อาจารย์ ผมตั้งใจฟังสุดๆ เลยนะครับ!” ชวีเสี่ยวปอเถียงออกไปข้างๆ คูๆ
“ข้อเมื่อกี้ตอบอะไร?”
“ข้อซีครับ”
ทั้งชั้นเรียนต่างพากันหัวเราะร่วนอีกครั้ง
ชวีเสี่ยวปอไหนเลยจะรู้ว่าเป็นข้อสอบแบบเติมคำในช่องว่าง
เยี่ยม
ชวีเสี่ยวปอยืนขึ้นอย่างเกียจคร้าน ถือโอกาสพับกระดาษหลากสีแผ่นนั้นลงในกระเป๋ากางเกง จากนั้นจึงเดินออกไปทางประตูด้านหลัง
“ฝนยังไม่หยุดตกเลยอะ” ซือจวิ้นเองก็เดินตามอีกฝ่ายออกมาติดๆ เขาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ชวีเสี่ยวปอ
“พวกเธอสองคนน่ะ! อย่าคุยกัน!” อาจารย์สอนภาษาอังกฤษชะโงกหน้าตะโกนออกมา “สำนึกผิดให้ดีๆ เลยนะ ชวีเสี่ยวปอห้ามพิงกำแพง ยืนดีๆ!”
“อาจารย์ไปกินยาผิดสำแดงมาหรือเปล่าเนี่ย”
อาจารย์สอนภาษาอังกฤษหันกลับเข้าไปในห้อง ชวีเสี่ยวปอถึงค่อยกลับไปยืนในท่าทางสบายๆ มือทั้งสองข้างซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง พลางเอนหลังพิงกำแพง หากไม่ใช่เพราะฝนกำลังตก คงดูเหมือนกำลังยืนอาบแดดอยู่
“วัยทองน่ะ แม่ฉันก็เป็น เหมือนประทัดคู่ที่พอจุดปุบก็แตกเปรี้ยงปร้างปับ” ซือจวิ้นรู้สึกหนาวเล็กน้อย เขารูดซิบเครื่องแบบนักเรียนขึ้นมาจนเกือบสุด “ตอนเที่ยงกินบะหมี่กัน โอเคไหม?”
“ไม่กิน ตอนเที่ยงฉันมีธุระ” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ
“อย่างนายจะไปมีธุระอะไรได้” ซือจวิ้นเอ่ยค้าน “ไปกินเถอะนะ? ฉันกินข้าวราดแกงหน้าโรงเรียนจนเอียนแล้วเนี่ย”
“ส่งจดหมายรัก” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยอย่างผ่อนคลาย พลางจับกระดาษแผ่นบางนั้นผ่านกระเป๋ากางเกง
“ฮะ! จดหมายรัก!” คำคำนี้ดูเหมือนจะไปกดโดนปุ่มไหนสักปุ่มบนตัวซือจวิ้น เขาพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันใดและตบไหล่ของชวีเสี่ยวปอเต็มแรง “เมื่อกี้ฉันก็นึกว่านายก้มหน้าก้มตาทำอะไรอยู่เสียอีก ที่แท้ก็เขียนจดหมายรักอยู่นี่เอง”
“ซือจวิ้น เธอยังไม่หยุดก่อเรื่องสินะ!” จู่ๆ เสียงตวาดของอาจารย์คนนั้นก็ดังขึ้น
พวกเขาทั้งสองคนรีบยืนตัวตรงทันที
“อารมณ์รุนแรงชะมัด” ซือจวิ้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก คราวนี้ดูเหมือนจะสงบนิ่งมากขึ้น “ใครอะ?” ซือจวิ้นครุ่นคิดแล้วชี้นิ้วไปทางห้องหกที่อยู่สุดระเบียงทางเดิน “เซี่ยเจิงงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใครล่ะ?” เมื่อได้ยินซือจวิ้นเอ่ยถึงชื่อนี้ขึ้นมา ชวีเสี่ยวปอก็ดีดนิ้วอย่างมีความสุข
“เธอเหรอ?” ซือจวิ้นเอ่ยเสียงเบา ไม่กล้าจะออกความคิดเห็นมากจนเกินไป “นายเขียนให้เธอจริงๆ เหรอ?”
“อืม” ชวีเสี่ยวปอเหลือบมองอีกฝ่าย “อย่าพูดจาซี้ซั้วน่า”
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ” ซือจวิ้นขยับตัวออกห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อย “เซี่ยเจิงก็ไม่เลวนะ ดูเป็นคนเรียบร้อย แต่ว่าเหมือนจะขาด…กลิ่นอายอะไรไปสักหน่อย นายเข้าใจใช่ไหม?”
“เข้าใจกับผีน่ะสิ” ชวีเสี่ยวปอยื่นมือไปต่อยไหล่ของซือจวิ้นเต็มแรง “นายนั่นแหละที่ไม่อาบน้ำแล้วมีกลิ่นตัวน่ะ รู้หรือเปล่า?”
“โธ่เอ้ย ฉันหมายความแบบนั้นหรือไงเล่า?” ซือจวิ้นแยกเขี้ยวใส่ “เฮ้อ เดี๋ยวเจ้าชิวเจียก็คงจะเสียใจแย่เลยนะเนี่ย? ฉันว่าเธอดูสนใจนายนะ ”
“ช่างเถอะ” ชวีเสี่ยวปอส่ายศีรษะ เขาพลันนึกไปถึงเจ้าชิวเจียที่อยู่ห้องเดียวกัน เธอชอบทาลิปสติกสีแดงทุกวัน ราวกับไปกินซุปหม่าล่ามาแปดชามก็ไม่ปาน นั่นทำให้เขารู้สึกอึดอัดสุดๆ เมื่อเทียบกันแล้วสาวผมสั้นอย่างเซี่ยเจิงที่สวมเพียงเสื้อกล้ามกับกางเกงกีฬาสีขาวดูสบายตากว่าเป็นไหนๆ
“เดี๋ยวนะ ปอเอ๋อร์ นายเขียนจดหมายรักเป็นด้วยเหรอ?” ซือจวิ้นสะกิดสีข้างของชวีเสี่ยวปอเบาๆ “นี่ ขอฉันดูหน่อยสิ จะได้เรียนรู้เอาไว้บ้าง เผื่อต่อไปมีโอกาสได้ใช้”
“นายเนี่ยนะ?” ชวีเสี่ยวปอยกยิ้มมุมปากพลางยกมือขึ้นดูนาฬิกา จากนั้นจึงเดินไปทางห้องหก แล้วทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้ซือจวิ้น “ฉันว่าหลินเซี่ยวก็ดูไม่ได้สนใจนายนะ”
หลังจากชวีเสี่ยวปอเอ่ยจบ เสียงออดเลิกเรียนก็ดังขึ้นพอดี
จุดเด่นของโรงเรียนมัธยมที่สี่ก็คือทุกคนล้วนปฏิบัติตามแนวคิดที่ว่า “หากไม่รับประทานอาหารให้อิ่มท้อง สมองก็จะไม่แล่น” ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารและย่านของกินหลังโรงเรียน ชวีเสี่ยวปอเดินไปทางห้องหกพร้อมถือจดหมายรักเอาไว้ในมือตลอดทางโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด
ซือจวิ้นตะโกนไล่มาตามหลัง “งั้นฉันไปที่ร้านก่อนนะ! บะหมี่พิเศษรอนายอยู่ รีบมาล่ะ!”
เมื่อมาถึงประตูด้านหลังห้องหก ชวีเสี่ยวปอก็มองซ้ายมองขวา ถ้อยคำที่ต้องการจะเอ่ยออกไปเมื่อครู่ว่า “ช่วยเรียกเซี่ยเจิงห้องเธอมาให้ที” พลันถูกกลืนลงไปทันใด
ภายในห้องเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน นอกจากคนที่กำลังทำความสะอาดอยู่ ก็ยังมีคู่รักสองคู่ที่ถือโอกาสในตอนที่คนน้อยกระหนุงกระหนิงกัน ชวีเสี่ยวปอมองไปรอบๆ อีกครั้ง หลังจากที่แน่ใจว่าเซี่ยเจิงไม่ได้อยู่ในห้องเรียน เขาจึงเรียกผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังจะเอาขยะไปเททิ้งเอาไว้
“มีอะไรเหรอ?” ชายคนนั้นดันแว่นตาหนาเตอะขึ้น ชวีเสี่ยวปอดูเหมือนจะสูงกว่าชายคนนั้นประมาณหนึ่งช่วงหัวได้ อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยท่าทางเขินอายอย่างเห็นได้ชัด
“รบกวนช่วยเอานี่ให้เซี่ยเจิงหน่อยสิ” ชวีเสี่ยวปอหยิบกระดาษที่เตรียมมานานแผ่นนั้นออกมาจากกระเป๋ากางเกงและวางมันไว้ในมือของชายคนนั้น “ขอบใจนะ”
“อืม” ชายคนนั้นขยับตัวอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องเรียนทันที ชวีเสี่ยวปอเห็นอีกฝ่ายเดินไปหยุดยืนอยู่บริเวณโต๊ะแถวหน้าห้อง แล้ววางจดหมายรักไว้บนโต๊ะ เขาจึงตะโกนออกไปทันควัน “ใส่ไว้ในลิ้นชัก”
ชายคนนั้นทำตามที่เขาบอก หลังจากวางเสร็จแล้วก็หันมาทำท่าโอเคให้ชวีเสี่ยวปอ เขาจึงทำท่าทางเช่นเดียวกันตอบกลับไปและหรี่ตามองไปยังโต๊ะเรียนของเซี่ยเจิงอย่างละเอียด หนังสือเรียนที่วางอยู่ด้านบนถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและดูสะอาดสะอ้าน แตกต่างจากของคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เขาจ้องอยู่เช่นนั้นสักพัก ถึงค่อยลงจากอาคารเรียน รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าฉันกินข้าวราดแกงกับนายอีก มีหวังได้เป็นแบบนั้นแน่”
ทันทีที่เซี่ยเจิงกลับมาเขาก็ดื่มน้ำไปสองอึกพร้อมกับกลืนความรู้สึกที่อยากจะอาเจียนลงท้องไป แต่ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายท้องเท่าไรนัก สวีเจียงยืนกรานที่จะลากเขาไปกินข้าวราดแกงที่ย่านของกินให้ได้ สุดท้ายเซี่ยเจิงที่กินไปได้เพียงสองคำพลันเจอแมลงสาบตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากในจาน เขาจึงอาเจียนสิ่งที่อยู่ในปากออกมาจนหมด
“ครั้งสุดท้ายแล้วน่า” สวีเจียงเองก็รู้สึกแย่ไม่แพ้กัน เมื่อครู่เจ้าของร้านดึงพวกเขาเข้าไป บอกว่าจะทำให้ใหม่อีกสองชาม สวีเจียงจึงรีบปฏิเสธทันที
“ไปสูบกันสักมวนเถอะ” เซี่ยเจิงยังคงรู้สึกพะอืดพะอมไม่หาย ข้าวผัดแมลงสาปนั้นมีพลังรุนแรงกว่าที่เขาคิดนัก ดังนั้นเขาจึงรู้สึกอยากจะสูบบุหรี่สักมวน
การจัดการของโรงเรียนมัธยมที่สี่นั้นค่อนข้างหละหลวมและยังไม่ได้ถูกพัฒนาให้เข้มงวดเท่าโรงเรียนในย่านใจกลางเมือง ที่นั่นขอเพียงแค่เป็นสถานที่ที่มีผู้คนอยู่ก็จะมีกล้องวงจรปิดจ่อหน้าจนแทบจะไม่มีที่ให้หลบเลยละ แต่สถานที่ที่พวกเขามักจะไปสูบบุหรี่หรือสิงสถิตอยู่คือบริเวณมุมอับตรงกำแพงเตี้ยๆ แถวสนามหญ้า ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด
“โอเค” สวีเจียงเอ่ยตอบ
“แป๊บหนึ่ง” เซี่ยเจิงคลำกระเป๋ากางเกงไปมา แต่ก็หาไฟแช็กไม่เจอ ไฟแช็กนั้นเป็นสิ่งของอัศจรรย์ที่ใช้แล้วหมดไปอย่างง่ายดาย ไฟแช็กไม่มีสาเหตุการตาย มีแต่ถูกใช้ไปจนหมดไม่มีเหลือ เช่นเดียวกันกับยางลบและเทปกาวที่ก็เป็นสิ่งของที่ใช้แล้วหมดไป
“ฉันมี” สวีเจียงเอาออกมาจากกระเป๋ากางเกงอันหนึ่ง แต่สุดท้ายลองจุดอยู่สองครั้งก็ไม่มีประกายไฟขึ้นมา “บ้าเอ้ย เมื่อกี้ยังใช้ได้อยู่นี่นา”
“ทิ้งไปเถอะ”
โชคดีที่ตัวเองมีสำรองเอาไว้ เซี่ยเจิงจึงเปิดลิ้นชักออกมา
“หืม?”
สวีเจียงที่ตาไวพลันเหลือบไปเห็นกระดาษสี่เหลี่ยมหลากสีแผ่นนั้นและตอบสนองออกมาอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยยิ้มๆ “ไม่เลวนี่พวก เดือนนี้ก็ฉบับที่สี่แล้วปะ?”
“ไม่รู้สิ” เซี่ยเจิงเอ่ยเสียงเรียบ
“อะไรของนายเนี่ย?” สวีเจียงเบะปาก “ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นละสิ?”
“บ้าเอ๊ย!” เมื่อก่อนเซี่ยเจิงเคยสงสัยว่ากระดาษแบบนี้มีชื่อเรียกว่า ‘กระดาษสำหรับเขียนจดหมายรัก’ หรือเปล่า หากไม่ใช้มันเขียนก็จะไม่เรียกจดหมายนั้นว่าจดหมายรัก เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา แล้วเอากระดาษแผ่นนั้นสอดเข้าไป “ไร้สาระ”
“นายไม่ลองอ่านดูหน่อยเหรอ?” สวีเจียงยังคงพูดจ้อ
“ตอนนี้ฉันอยากสูบบุหรี่” เซี่ยเจิงจุดไฟแช็กขึ้นมา อืม ใช้ได้ ว่าจบก็หมุนตัวออกไปด้านนอก
“ปอเอ๋อร์ ปอเอ๋อร์ ปอเอ๋อร์”
ชวีเสี่ยวปอคิดว่าชาติที่แล้วซือจวิ้นต้องเกิดเป็นรถพยาบาลอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเช้าตรู่แบบนี้จะแหกปากเสียงดังไปทำไม นั่นทำให้ชวีเสี่ยวปออยากจะเตะอีกฝ่ายสักที เขาไม่สนใจอีกฝ่าย แต่ไม่ทันไรก็ถูกซือจวิ้นเดินตามมาโอบไหล่ไว้ พลางเอ่ยว่า “เดินเร็วจัง”
“อืม” ชวีเสี่ยวปอสะพายกระเป๋านักเรียนที่ไม่มีหนังสือสักเล่ม ท่าทางดูไร้เรี่ยวแรงและห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด
“ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหรอ? ในกระเป๋าฉันยังมีซาลาเปาอยู่ลูกหนึ่งนะ กินไหม?” ซือจวิ้นทำท่าจะเปิดกระเป๋านักเรียน
“ช้าก่อนพ่อหนุ่ม” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าตัวเองจะได้กลิ่นผักกุยช่าย “ฉันกินแล้ว”
“กินแล้ว งั้นทำไมดูไร้เรี่ยวแรงขนาดนั้นล่ะ?” ซือจวิ้นกระแทกไหล่ของเขา
“นี่ ที่นายกินซาลาเปาไส้ผักกุยช่ายสองลูกทุกวันก็เพราะจะเพิ่มพละกำลังไม่ใช่เหรอ งั้นนายจะลองดูหน่อยไหมล่ะว่าฉันไร้เรี่ยวแรงหรือเปล่า?” ชวีเสี่ยวปอกระทุ้งศอกใส่ซือจวิ้น ทว่าอีกฝ่ายกลับหลบทัน
ความจริงแล้วอาการต่างๆ เหล่านี้เป็นเพราะเขาต้องตื่นแต่เช้าเป็นประจำเท่านั้นเอง จึงทำให้ลืมตาไม่ขึ้น ขี้เกียจพูด และไม่อยากจะขยับร่างกายอะไรทำนองนั้น
แต่เมื่อคืนชวีเสี่ยวปอนอนไม่หลับเลยสักนิด เขาเอาแต่คิดถึงเรื่องจดหมายรักฉบับนั้น ความจริงเขามีไอดีวีแชทของเซี่ยเจิง ปกติทั้งสองจะพูดคุยกันบ้างบางครั้ง แม้จะเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่สารภาพรักกับเซี่ยเจิงในวีแชท เพราะเขารู้สึกว่าการเขียนลงบนกระดาษจะสามารถแสดงให้เห็นถึง ‘ความมีรสนิยม’ ของตนเองได้ แม้ชวีเสี่ยวปอจะรู้ว่าตัวเองไม่ค่อยเหมาะกับคำนี้เท่าไร แต่สาวๆ สมัยนี้ชอบอะไรแบบนี้ไม่ใช่เหรอ อีกอย่างการเขียนลงไปในกระดาษก็ดูเป็นทางการกว่า แม้เขาจะเขียนไม่สวยเท่าไร แต่จดหมายรักฉบับนี้ก็ถูกเขียนขึ้นมาทีละตัวอักษรอย่างตั้งใจและชัดถ้อยชัดคำ อย่างน้อยชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าตัวเองจริงใจมาก
ดังนั้นเมื่อคืนเขาเลยเอาแต่ลบแล้วพิมพ์ พิมพ์แล้วลบข้อความอยู่อย่างนั้น “เธอเห็นหรือยัง?” “เธอรู้สึกยังไงเหรอ?” “บอกมาหน่อยสิ” จากนั้นก็คลิกที่รูปโปรไฟล์ของเซี่ยเจิง พร้อมกับซูมเข้าซูมออก หลังจากทำเช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมานับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายก็กินเวลามาถึงตีหนึ่ง ครั้นมาคิดดูแล้วว่าอย่างไรเธอก็คงไม่ตอบข้อความอย่างแน่นอน ชวีเสี่ยวปอถึงค่อยข่มตานอนไปอย่างหงุดหงิด
ยังไม่ทันได้เป็นแฟนกันก็เป็นเดือดเป็นร้อนเสียแล้ว
“เอ้อ จริงสิ” แววตาของซือจวิ้นพลันเป็นประกาย ราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ” เซี่ยเจิงว่ายังไงบ้าง? เธอตอบนายกลับมาหรือยัง?”
“ฉันจะรู้ได้ยังไงเล่า” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ตอบหรือว่ายังไม่ตอบเล่า!” ซือจวิ้นที่อยากรู้อยากเห็นเสียเต็มประดา ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่กลับเป็นห่วงราวกับเป็นแม่ของเขา
“นี่ ฉันไม่รู้จริงๆ” ชวีเสี่ยวปอถูกอีกฝ่ายเอ่ยถามจนรู้สึกหงุดหงิด เขาเอ่ยเสียงหงอย “เธอยังไม่ตอบอะไรฉันเลย นายเชื่อไหมล่ะ?” เมื่อเอ่ยเช่นนี้ชวีเสี่ยวปอเองก็รู้สึกอึดอัดเช่นกัน จึงเตะก้อนหินก้อนเล็กๆ จนกระเด็นออกไปไกล
“ฮะ?” ซือจวิ้นลูบคางไปมาด้วยความตกใจ ก็ดูไม่ได้โกหกนี่นา “ไม่จริงน่า คนที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับไม่มีอยู่จริงบนโลกอย่างนายก็มีช่วงเวลาเลวร้ายด้วยเหรอเนี่ย?”
ชวีเสี่ยวปอยกเท้าถีบก้นซือจวิ้นทันที กางเกงนักเรียนสีฟ้าอ่อนพลันปรากฏรอยรองเท้าเบอร์สี่สิบสองขึ้นทันที “ฉันจะถือว่านั่นเป็นคำชมก็แล้วกัน”
“แหมๆๆ ฉันว่า” ซือจวิ้นปัดเศษดินบนก้นออก “เธออาจจะจงใจให้ความหวังนายอยู่ก็ได้?”
“ให้ความหวังงั้นเหรอ?” แต่ชุยเสี่ยวปอกลับส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว แม้จะรู้สึกหดหู่ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าผู้หญิงอย่างเซี่ยเจิง ไม่ใช่คนที่ล้อเล่นกับความรู้สึกใครอย่างแน่นอน
“หรือบางทีเธออาจจะเขินก็เลยยังคิดไม่ออกว่าจะตอบนายยังไงดีละมั้ง?” ซือจวิ้นตบไหล่ปลอบใจชุยเสี่ยวปอเบาๆ “ดูท่าเธอคงขี้อายมากๆ ถ้าฉันเป็นผู้หญิง แล้วนายมาสารภาพรักด้วย ฉันคงรับรักไปแล้วแน่ๆ”
“เพ้อเจ้อเกินไปนะนายน่ะ คิดว่าฉันจะรับรักนายหรือไง” หลังจากฟังการสันนิษฐานของซือจวิ้น ชวีเสี่ยวปอถึงได้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เขารู้สึกว่าสิ่งที่ซือจวิ้นเอ่ยมานั้นดูสมเหตุสมผล เซี่ยเจิงเป็นประเภทที่หากพูดจาหยอกล้อเธอไปสักหน่อยก็จะเขินอายจนหน้าแดง ฉะนั้นหากได้รับจดหมายสารภาพรักก็ควรจะให้เวลาเธอได้เตรียมใจอย่างน้อยก็สักวันสองวัน
เมื่อวานทำให้อาจารย์ผมลอนโมโหไปไม่น้อย ดังนั้นวันนี้ยามที่ต้องเข้าเรียนคาบวิชาของเธอ เขาจึงตั้งใจเป็นพิเศษ แม้จะไม่ค่อยได้ฟัง แต่เขาก็นั่งอย่างสงบเสงี่ยม นั่นถือเป็นการให้เกียรติอาจรย์ผมลอนยาวคนนั้นแล้ว เทียบกับหลิวหางคนที่นั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าของเขาที่ตอนนี้กำลังหลับจนน้ำมูกจวนจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ
ชวีเสี่ยวปอหยิบปากกาออกมาลากเส้นลงบนกระดาษไปมา ไม่นานก็ระบายออกมาเป็นผลงานแอ็บแสต็กส์ชิ้นหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังจะเปลี่ยนกระดาษแผ่นใหม่ครั้นเงยหน้าขึ้นมาเขาก็สบสายตากับอาจารย์ผมลอนเข้าพอดี
ช่างเถอะ อดทนอีกแค่สิบนาทีก็เลิกเรียนแล้ว
“อีกเดี๋ยวตัวแทนนักเรียนมาเอาข้อสอบไปแจกหน่อยนะ แล้วก็แบบฝึกหัดในสมุดแบบฝึกหัด ถ้าข้อไหนที่ทำผิดก็ลอกลงในสมุดแก้โจทย์ผิดด้วยนะ” อาจารย์ผมลอนกำชับอีกครั้งก่อนเสียงกริ่งเลิกเรียนจะดัง จากนั้นชวีเสี่ยวปอก็ยืดเส้นยืดสายทันที
“ชวีเสี่ยวปอ ตามฉันมาที่ห้องพักครูหน่อยนะ”
แขนที่กำลังยืดออกไปเมื่อครู่ พลันหดกลับมาแทบไม่ทัน ครั้นหันไปมองซือจวิ้นที่อยู่ด้านหน้าก็เห็นอีกฝ่ายกำลังเอียงศีรษะมองมาที่ตัวเองพลางเอ่ยว่า “จบเห่แน่ ทำอะไรของนายอีกแล้วเนี่ย?” ชวีเสี่ยวปอยักไหล่และเอ่ยว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” จากนั้นจึงเดินออกจากห้องเรียนไป
แต่ว่าบังเอิญมาก
ทันทีที่ชวีเสี่ยวปอเดินออกมาจากห้องเรียนก็เจอกับเซี่ยเจิงเข้าพอดี
เด็กสาวห้องหกหลายคนกำลังเดินมาทางนี้พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ชวีเสี่ยวปอไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กสาวกลุ่มนี้ถึงต้องเลือกที่จะเดินเรียงแถวหน้ากระดานเช่นนี้ เพราะการเดินแบบนี้มันขวางทางเดินจนทำให้คนรู้สึกรำคาญ แต่สายตาดับเหลือบไปเห็นเซี่ยเจิงอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย คงเพิ่งกลับมาจากคาบเรียนวิชาพละ ใบหน้าซับสีเลือดฝาดรับกับผมทรงบ๊อบสั้นปลายงุ้ม ช่างคล้ายกับแอปเปิ้ลที่มีกลิ่นหอมหวานยิ่งนัก ชวีเสี่ยวปอพลันคิดว่าการเดินเรียงแถวหน้ากระดานอะไรนี่ ไม่ต้องไปใส่ใจให้มากความหรอก
“หวัดดี” ชวีเสี่ยวปอแสร้งทำเป็นเดินเข้าไปทักทายอย่างไม่ตั้งใจ
“หวัดดี” เซี่ยเจิงพยักหน้ายิ้มๆ เหมือนทุกที แต่เด็กสาวสองสามคนที่เดินตามมากลับรู้สึกตื่นเต้นพร้อมกับจ้องมาที่ชวีเสี่ยวปออย่างไม่ลดละ พลางพึมพำอะไรกันบางอย่าง
แต่ชวีเสี่ยวปอไม่ได้สนใจนัก
เพราะรอยยิ้มของเซี่ยเจิงเมื่อครู่ ทำให้หัวใจที่หม่นหมองของเขาเมื่อวานพลันส่องสว่างทันใด เขาคิดว่าพอมีหวังขึ้นมาบ้างแล้ว
“อาจารย์เรียกผมเหรอครับ?” เขาเคาะประตูห้องพักครูและเดินเข้าไป ชวีเสี่ยวปอที่กำลังจะเดินไปหาอาจารย์ผมลอนก็ถูกเรียกเอาไว้
“ฉันเป็นคนเรียกเธอมาเอง”
เสียงนั้นคือเฝิงเจี้ยนหมิงอาจารย์ประจำชั้นของชวีเสี่ยวปอ แต่นักเรียนต่างเรียกเขาว่าเหลาหม่า[1] เพราะใบหน้าของเขายาวมากซึ่งเฝิงเจี้ยนหมิงเองก็รู้เรื่องนี้ดี เหลาหม่าอายุได้สี่สิบปีแล้ว ตัวเขาเองก็มีปัญหาทั่วไปที่ชายวัยกลางคนส่วนใหญ่เป็นนั่นคือ : ผมร่วงและชอบพูดจาจู้จี้จุกจิก
เหลาหม่าเรียกพบเขาเช่นนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่
ชวีเสี่ยวปอรีบขุดความทรงจำในหัวว่าในช่วงสัปดาห์นี้ตัวเองทำเรื่องอะไรไปบ้าง นอกจากวันพุธที่เขาโดดเรียนคาบเรียนเสริมด้วยตัวเองภาคค่ำ[2] ช่วงนี้เขาก็ทำตัวดีตลอดนี่นา ดังนั้นเมื่อเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเหลาหม่า ชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
เหลาหม่าวางแก้วชาในมือลงและดันแว่นขึ้นมา พลางมองชวีเสี่ยวปออย่างสำรวจ
ชวีเสี่ยวปอถูกจ้องเขม็งจนทำให้อยากจะเอื้อมมือออกไปเกาหลังด้วยความประหม่า แต่จู่ๆ เหลาหม่าก็เอ่ยขึ้น “ว่ามาสิ เธอไปทำเรื่องอะไรมาอีกแล้ว?”
“ผมเหรอครับ? ในคาบเรียนก็ตั้งใจฟังตลอด เลิกเรียนถึงค่อยลุกไปเข้าห้องน้ำนะครับ” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
“จริงเหรอ?” เหลาหม่าเอ่ยอย่างเย็นชา “เธอจะไม่ลองคิดดูอีกหน่อยเหรอ?”
“ไม่งั้นอาจารย์ก็บอกสิ่งที่อยากให้ผมพูดมาสิครับ” ชวีเสี่ยวปอแสดงท่าทีไม่แยแสออกมา อย่างไรก็จะถูกต่อว่าอยู่แล้ว จะไปสนใจทำไม ตามน้ำไปก่อนค่อยว่ากัน
“เธอจะยั่วโมโหฉันใช่ไหมชวีเสี่ยวปอ?” เหลาหม่าพยายามกดอารมณ์โมโหเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด หลังจากเอ่ยจบ เขาก็เปิดลิ้นชักและหยิบสิ่งของบางอย่างโยนลงบนโต๊ะ
ดูคุ้นๆ แหะ
กระทั่งชวีเสี่ยวปอเห็นมันเต็มสองตา นี่ไม่ใช่แค่คุ้นแล้ว
“เธออธิบายให้ฉันฟังหน่อยสิว่านี่คืออะไร?” เหลาหม่าชี้นิ้วไปยังสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะ แม้จะเอ่ยถามเช่นนี้ แต่เหลาหม่าก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากชวีเสี่ยวปอ “เธอเก่งนักหรือไงฮะ”
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่ากระดาษแผ่นนี้ไม่ควรมาอยู่ตรงนี้
“นี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน? วันๆ เอาแต่คิดอะไรอยู่? นี่เธอมาเรียนหนังสือหรือมาหาแฟนกันแน่ฮะ?” เหลาหม่าเริ่มใช้ทักษะการพูดจาจู้จี้จุกจิกของเขาแล้วและแน่นอนชวีเสี่ยวปอไม่อาจแย้งได้ ทำได้เพียงแค่นิ่งเงียบ แต่ไม่ว่าเหลาหม่าจะพูดอย่างไร ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจแม้สักนิด
“เกิดอะไรขึ้นอ่ะปอเอ๋อร์?”
ชวีเสี่ยวปอเดินเข้ามาในห้องเรียนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ใบหน้าที่แต่เดิมก็ดูไม่ค่อยเป็นมิตรอยู่แล้ว ประกอบกับท่าทางที่ ‘ใครก็ตามที่มารบกวนฉัน ฉันจะเอาให้ถึงตาย’ แผ่ซ่านอยู่ทั่วร่าง จึงมีเพียงซือจวิ้นที่ไม่กลัวตายเดินเข้ามาทักเขา “อาจารย์สอนภาษาอังกฤษเรียกนายไปหาทำไมเหรอ?”
“เหลาหม่าเป็นคนเรียกน่ะ” ชวีเสี่ยวปอลากเก้าอี้ออกมานั่งลง “เหลาหม่ารู้เรื่องจดหมายรักนั่นแล้ว”
“ฮะ ไม่จริงน่า” ซือจวิ้นก็ไม่คิดว่าเรื่องจะมาเป็นแบบนี้ แม้บางเรื่องเหลาหม่าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอยู่บ้าง แต่กับเรื่องการมีความรักก่อนวัยอันควรนี่เรื่องใหญ่มาก เห็นท่าทางเช่นนี้ของชวีเสี่ยวปอก็รู้แล้วว่าเมื่อครู่เขาน่าสงสารแค่ไหน “เหลาหม่ารู้ได้ยังไงอะ? ”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอฉีกรูปวาดแอ็บแสต็กส์ในคาบเรียนภาษาอังกฤษออกเป็นสองส่วน แล้วขย้ำมันทิ้งลงบนพื้น จากนั้นก็ใช้เท้าเหยียบซ้ำอีกครั้ง
“แล้วเซี่ยเจิงล่ะ?” ซือจวิ้นเอ่ยถาม
“เซี่ยเจิงทำไมเหรอ?”
“ปัดโธ่ ต้องเป็นเพราะอาจารย์ประจำชั้นของเซี่ยเจิงจับได้ก่อน ถึงเอาไปให้เหลาหม่ายังไงล่ะ เธอได้รับจดหมายแล้วนี่” ซือจวิ้นอธิบาย “เซี่ยเจิงคงไม่ได้ถูกตำหนิหรอกนะ?”
“ไม่มั้ง” ชวีเสี่ยวปอขมวดคิ้วมุ่น “เมื่อครู่เธอเพิ่งทักทายฉันเองนะ ดูมีความสุขดีด้วย”
ซือจวิ้นไม่ได้พูดอะไร
ชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ทั้งสองมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วชวีเสี่ยวปอก็สบถออกมา
“บัดซบ”
“ดะ เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งวู่วามสิ” ซือจวิ้นเอ่ยอย่างรวดเร็ว “เธออาจจะไม่ได้เป็นคนเอาไปให้อาจารย์ก็ได้”
“งั้นนายก็หาคำอธิบายที่มันสมเหตุสมผลมากกว่านี้มาให้ฉันสิ?” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกราวกับว่ามีเสียงดังอื้ออึงอยู่ในหัวซ้ำยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้าอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเขียนจดหมายรักให้เธอไปได้
ซือจวิ้นก็รู้สึกว่าตัวเองหาเหตุผลดีๆ ไม่ได้เหมือนกัน แต่เขาก็ยังเอ่ยว่า “ปกติเซี่ยเจิงก็คุยกับนายดีไม่ใช่เหรอ ต่อให้เธอจะไม่ชอบนายและอยากจะปฏิเสธก็ไม่น่าจะเอาจดหมายรักไปให้อาจารย์นะ นายตัดสินคนอื่นเขาแบบนี้มันดูไม่ยุติธรรมไปหน่อยนะพวก”
………………………..
เชิงอรรถ
[1] เหลาหม่า ในภาษาจีนหมายถึง ม้าแก่ ในเรื่องเด็กนักเรียนเรียกอาจารย์เฝิงเจี้ยนหมิงว่า เหลาหม่า เพราะเขาหน้ายาวเหมือนม้า
[2] คาบเรียนเสริมด้วยตัวเองภาคค่ำ ในประเทศจีนจะมีคาบเรียนรู้ด้วยตัวเองแบ่งเป็นช่วงเช้าและช่วงค่ำ เป็นการอ่านทบทวนหนังสือ