Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1422
จุดดาราเต็มผืนฟ้า ตอนที่แสงสว่างค่อยๆ หายไป ทำให้ฟ้ายามค่ำคืนถอยไปกลายเป็นยามกลางวัน ผู้คนทั้งแผ่นดินกู่จั้งต่างได้สติกลับมาจากการเปลี่ยนของฟ้า
เหมือนว่าพวกเขาไม่เคยรู้จักเสียงวิญญาณเต๋าเก้าเสียงก่อนหน้านี้มาก่อน ราวกับเป็นเพียงการหลับใหลน่าลึกลับและมหัศจรรย์…
นอกสำนักเจ็ดจันทรา เมื่อซูหมิงบนฟ้าเก็บพลัง ร่างเขาก็ค่อยๆ ลอยลงมา เป็นตอนนี้เองผู้ฝึกฌานที่กระจายอยู่นอกสำนักเจ็ดจันทราต่างมองซูหมิงด้วยความเคาพจนเขากลับเข้าไปในสำนัก
ท่ามกลางสายตาเหล่านั้นก็มีผู้อาวุโส ในนั้น…คือหลันหลัน
ขณะเดียวกันกู่ไท่รวมถึงผู้อาวุโสใหญ่คนอื่นต่างเป็นสายรุ้งยาวมาอยู่ข้างซูหมิง ในคนเหล่านั้น สวี่จงฝานมีสีหน้าตื่นเต้น ส่วนคนอื่นส่วนใหญ่มองซูหมิงด้วยความเคารพ
พวกเขาเคารพผู้แข็งแกร่ง แม้ซูหมิงจะเป็นเพียงขอบเขตวิญญาณเต๋า แต่ก็เคาะเสียงวิญญาณเต๋าได้เก้าเสียง นี่หมายความว่าสักวันหนึ่งเขาจะก้าวสู่ขอบเขตมหาเต๋าสูงศักดิ์ที่พวกเขาเฝ้าใฝ่ฝันได้
แต่ขณะเดียวกันพวกเขายังคาดการณ์ได้ว่าอีกไม่นานผู้ฝึกฌานสำนักอื่นๆ จะต้องมาแน่นอน มาหารือเรื่องเป็นพันธมิตรกับสำนักเจ็ดจันทรา ถึงอย่างไรการชิงบัลลังก์…ก็เป็นทางลดการทะลวงพลังของผู้ฝึกฌานทุกคน!
ความยั่วยวนแบบนี้ แม้จะจ่ายไปมากสุด กระทั่งมีอันตรายตายตกก็มากพอจะทำให้คนมากมายยินยอม ถึงอย่างไรการคงอยู่ยาวนานก็ยังไม่อาจเทียบได้กับการทะลวงพลัง!
เพราะชีวิตยืนยาวที่แท้จริง สำหรับคนที่ไม่มีแล้วย่อมปรารถนา แต่สำหรับคนที่สัมผัสได้เหล่านั้น พวกเขาปรารถนาจะเดินหนึ่งก้าวบนเส้นทางฝึกฝนมากกว่า
เพราะว่า เต๋า…สำคัญกว่าชีวิต! และมีเพียงอยู่ในสภาวะแบบนี้เท่านั้นถึงบรรลุพลังอย่างพวกเขาตอนนี้ได้ ส่วนคนที่รักชีวิต ผู้ฝึกฌานที่คิดว่าชีวิตสำคัญกว่าเต๋า พวกเขา…ถูกลิขิตไว้แล้วว่าชีวิตนี้ไม่อาจก้าวสู่ขั้นพลังอย่างคนเหล่านี้
เคยมีคนกล่าวไว้ว่าผู้สนใจเต๋า เช้าเกิดเย็นสิ้นชีพ นั่นก็พอแล้ว! คำพูดนี้ไม่ว่าอยู่ที่ใด ไม่ว่าอยู่โลกใด ขอเพียงมีผู้ฝึกฌาน เช่นนั้น…ก็จะมีทัศนคติแบบนี้!
ดังนั้นแล้วผู้อาวุโสใหญ่รวมถึงกู่ไท่จึงมีสีหน้าเคารพซูหมิง เหมือนตอนที่ซูหมิงตะโกนเสียงแห่งรูปแบบชะตาแล้วผู้แข็งแกร่งฝ่ายอสุรารอบๆ หยุดลงมือ ทัศนคติเคารพเต๋าแบบนี้น่าเคารพ
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้า…จะเคาะเสียงที่เก้าได้จริงๆ!” กู่ไท่มองซูหมิงอยู่พักใหญ่ก่อนเอ่ยเสียงแหบแห้ง
เขาเพียงแค่ไม่คิดว่าซูหมิงจะทำได้ แต่ผู้อาวุโสใหญ่คนอื่นไม่เคยคิดเลยว่าซูหมิงจะเคาะเสียงที่เก้าได้ เต้าหานมองซูหมิง ยามนี้พลันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้อาวุโสใหญ่กู่ไท่ถึงสนใจซูหมิง บางที…เขาอาจจะไม่ได้สนใจฐานะองค์ชายสาม แต่เป็น…คนคนนี้!
ซูหมิงส่ายศีรษะ ไม่ตอบ แต่มองฟ้าไกลออกไป เสียงถอนหายใจที่เก้าคือความเจ็บปวดที่คนอื่นไม่มีวันเข้าใจ เสียงที่เก้าไม่ได้มีสิ่งใดน่าโอ้อวด ซูหมิงยังหวังอีกว่า…ตนจะไม่เปล่งเสียงแห่งรูปแบบชะตานี้อีก เพราะแบบนั้น บางทีอาจไม่มีความเจ็บปวด เพราะไม่มีความเจ็บปวด จึงหมายความว่ายอดเขาลำดับเก้า ท่านปู่ ใบหน้าคุ้นเคยเหล่านั้นยังอยู่ข้างกายตน
แต่โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก
“ข้าจะพาเจ้าไปพบคนคนหนึ่ง หากเขายอมรับเจ้า เช่นนั้น…ขอเพียงหาแส้ดาราพบ เจ้าจะมีความมั่นใจในการแย่งชิงผลเต๋าในอีกสามร้อยปีมากขึ้น!” กู่ไท่มองซูหมิงด้วยสีหน้าเด็ดขาด เห็นได้ว่าคนคนนี้ที่เขากล่าวถึง ต่อให้เป็นเขา…ก็ยังไม่รบกวนง่ายๆ
กระทั่งมองจากความจริงจังของน้ำเสียงก็รู้ว่าคนคนนี้…ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!
“หากเขายอมรับเจ้า เจ้าจะได้อยู่ข้างกายเขา หากเป็นอย่างนั้น…ทั้งแคว้นกู่ทั้ง คนที่ทำร้ายเจ้าได้จึงมีแค่สองคน!
แต่ว่าเขามีนิสัยประหลาด ยากจะคาดคิด จะให้เขายอมรับเจ้าก็ต้องดูที่โชควาสนาเจ้า ดีที่เจ้าเคาะเสียงที่เก้าได้ อย่างไรเรื่องนี้ก็ทำให้เขาสนใจบ้างไม่มากก็น้อย”
“เขาเป็นใคร?” ซูหมิงละสายตามองทอดไกลกลับมามองกู่ไท่
“รอเขายอมรับเจ้าแล้ว เจ้าจะเดาได้เอง” กู่ไท่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับเนิบๆ
ซูหมิงไม่พูดต่อ
“ไปเถอะ หากเจ้าอยู่ที่นั่นก็ไม่ต้องสนใจเรื่องสำนักเจ็ดจันทราแล้ว ที่นี่มีข้าจัดการอยู่ จะหาจุดที่แส้ดาราอยู่ให้เจ้าเอง!” ขณะกู่ไท่กล่าวขึ้น ซูหมิงตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยกมือขวาขึ้นในมือปรากฏแผ่นหยก เมื่อบีบแล้วหลับตาลงเบาๆ ครู่ต่อมาลืมตาขึ้นส่งแผ่นหยกให้กู่ไท่
“นี่คือเบาะแสที่ข้าได้มาจากปรมาจารย์ดารา”
กู่ไท่รับแผ่นหยกมาเก็บไว้เรียบร้อยแล้วก็มองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ก่อนสะบัดแขนเสื้อ ตัวเขากลายเป็นสายรุ้งยาวทะยานฟ้าไป ซูหมิงมีสีหน้าปกติ หมุนตัวกลับกวาดสายตามองไปรอบๆ ตอนที่มองสวี่จงฝาน เขาประสานมือคารวะ ทำให้สวี่จงฝานยิ้มกว้างกว่าเดิม
จากนั้นซูหมิงขยับไหวกลายเป็นสายรุ้งยาวตามกู่ไท่ไป บินไกลออกไป…หลันหลันก็ดี เต๋อซุ่นก็ดี เป้ยฉยงก็ดี ซูหมิงไม่อยากผูกความสัมพันธ์กับพวกเขามากนัก คนเหล่านี้…ในมุมมองซูหมิงก็ยังเป็นคนของโลกนี้ ไม่ใช่คนที่เขารู้จัก
เมื่อบินไกลออกไป หมอกใต้เท้ากู่ไท่หมุนตลบเหมือนข้ามผ่านมวลอากาศ พาซูหมิงหายวับไป ไม่นาน…ก็มาปรากฏอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นกู่จั้ง!
ระหว่างเทือกเขา ตรงชายแดนผืนป่า ร่างเงากู่ไท่เดินออกมาจากมวลอากาศ ข้างกายคือซูหมิง ซูหมิงเงียบมาตลอดทาง กู่ไท่ก็เช่นกัน เขาเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง จนกระทั่งตอนที่เดินออกมาจากป่าไม้ ซูหมิงมองออกว่ากู่ไท่มีความเคารพจากใจจริงต่อคนที่จะมาพบ
ถ้าไม่อย่างนั้น ด้วยพลังและฐานะเขาคงไม่เดินทีละก้าวในพื้นที่อีกฝ่าย แต่ใช้การเหาะแทน
จนกระทั่งเดินออกมาจากป่า ซูหมิงเห็นกลางเทือกเขามีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มันไม่ใหญ่ มีเกือบร้อยครัวเรือน มีหลายร้อยคน
ตอนนี้เป็นยามกลางวัน ควันหุงอาหารลอยโชย ทั้งยังมีเสียงเด็กเล่นกัน ทำให้ที่นี่ดูเต็มไปด้วยความสงบ เหมือนออกห่างจากความเจริญ ถอดสีออกจนสิ้นแล้วจึงมีแต่ความเรียบง่าย
เส้นทางระหว่างหมู่บ้านปูด้วยหินแตก ดูธรรมดามาก เพียงแต่พืชข้างทางเหมือนจะงดงามต่างจากที่นี่ ทำให้กลิ่นอายที่นี่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต
เห็นได้ชัดว่าหมู่บ้านนี้มีคนนอกมาน้อยมาก ดังนั้นการมาของกู่ไท่กับซูหมิง อันดับแรกดึงดูดความสนใจของเด็กน้อยที่เล่นกันเหล่านั้น พวกเขาหัวเราะพลางวิ่งอยู่ข้างหลังพวกซูหมิงสองคน มองพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อีกทั้งอาภรณ์ของซูหมิงกับกู่ไท่ยังต่างจากที่นี่ จึงทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านรีบเตือนเด็กเหล่านั้นให้กลับบ้านด้วยความระแวง
จนกระทั่งร่างเงากู่ไท่มาปรากฏอยู่นอกลานบ้านทางตะวันออกสุด หยุดอยู่ตรงนั้น มีเสียงปึกๆ ดังแว่วมา นั่นคือเสียงตัดฟืน
“ผู้เยาว์กู่ไท่ ตอนนั้นผู้อาวุโสเคยบอกว่าในชีวิตนี้ผู้เยาว์มาขอพบผู้อาวุโสได้ตามใจชอบหนึ่งครั้ง ผู้เยาว์ขอใช้โอกาสตอนนี้”
เมื่อเสียงกู่ไท่ดังขึ้น เสียงตัดฟืนค่อยๆ เงียบลง ในลานเงียบ ผ่านไปนานถึงเกิดเสียงเปิดประตูดังขึ้น ซูหมิงเห็นชายชราหลังค่อม เส้นผมสีดอกเลายืนอยู่ข้างในประตู
มือชายชราคนนี้เต็มไปด้วยรอยกระด้าง ดวงตาสองข้างขุ่นมัวเล็กน้อย ร่างกายซูบผอม เหมือนแค่ลมพัดก็ล้มแล้ว ดูแก่ชรามาก แต่เหมือนยังมีแรงอีกไม่น้อย ถ้าไม่อย่างนั้นคงตัดฟืนไม่ได้
“คารวะผู้อาวุโส หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษที่มารบกวน” กู่ไท่ประสานมือคารวะชายชราลึกๆ ด้วยความเคารพ
ซูหมิงเงียบ แต่ก็ประสานมือคารวะเช่นกัน
“ที่นี่ไม่มีผู้อาวุโสอะไรทั้งนั้น มีแขกมาเยี่ยมก็เชิญเข้ามา” ดวงตามืดหม่นของชายชราไม่มองกู่ไท่กับซูหมิง เมื่อเปิดประตูแล้วก็หมุนตัวกลับเดินเข้าไปในลาน นั่งอยู่บนตอไม้
กู่ไท่ขานรับเสียงต่ำ พอเดินเข้าไปในลานแล้วก็ไม่รู้สึกประหม่าอีก จึงนั่งลงข้างชายชรา ซูหมิงตามมานั่งบนพื้น
ช่วงที่กู่ไท่กับซูหมิงนั่งลง ชายชราหยิบม้วนยาสูบข้างๆ ขึ้นมา เมื่อเคาะกับพื้นแล้วก็สูบไปทีหนึ่ง ไม่พูด เหมือนซูหมิงกับกู่ไท่ไม่อยู่ที่นี่
กู่ไท่ไม่มีสีหน้ารำคาญแม้แต่น้อย แต่นั่งนิ่งๆ ไม่พูดอะไร
เวลาผ่านไปช้าๆ จนฟ้าเริ่มมืด ช่วงที่แสงจันทร์สาดส่องลงพื้น ชายชราวางม้วนยาสูบลง ยืนขึ้นช้าๆ หมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน
กู่ไท่ถอนหายใจเบา ยืนขึ้นประสานมือคารวะชายชราแล้วมองซูหมิงอีกครั้ง
“ไปกันเถอะ” กู่ไท่หมุนตัวกลับเดินไปยังประตูลานบ้าน ซูหมิงยังคงมีสีหน้าปกติ เขานั่งอยู่ที่นี่มาครึ่งวัน ในใจไม่มีระลอกคลื่นใดๆ เลย ยามนี้เมื่อยืนขึ้นก็ไม่หน้าเปลี่ยนสีเพราะชายชราไม่ยอมรับ แต่จังหวะที่สองคนจะเดินออกจากประตูลานบ้านนั้น มีเสียงแหบเบาๆ ของชายชราดังแว่วมาจากข้างหลัง
“หืม? เหตุใดถึงไปแล้วล่ะ คนชราไปได้ ส่วนเด็ก…ตลอดบ่ายนี้ไม่มีสายตาหลักแหลม ฟืนวางอยู่ตรงนั้น ข้ากระดูกร่างกายก็ไม่แข็งแกร่ง เจ้ายังหนุ่มยังแน่นเหตุใดถึงไม่ตัดฟืน”
ทันทีที่เสียงชายชราดังแว่วมา กู่ไท่พลันมีสีหน้าตกใจระคนดีใจ เขาหมุนตัวกลับมามองซูหมิงที่ยังอยู่ในลานบ้านยังไม่ได้เดินออกมา
“ในใจเจ้ามีคำตอบแล้ว” กู่ไท่พูดขึ้นเรียบๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนหมุนตัวกลับเหยียบแสงจันทร์ เดินไปยังฟ้ายามค่ำคืน
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนปิดประตูลานบ้านด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ภายใต้แสงจันทร์กลางลานบ้าน เสียงฟืนที่ไม่ได้ดังมาตลอดช่วงบ่ายดังต่อไปเป็นเพื่อนกับแสงจันทร์
ปึก ปึก ปึก…
…………………….