Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1426
สายฝนค่อยๆ หยุดลงยามเช้าตรู่ เมื่อตะวันแรกขึ้นฟ้า ซูหมิงตื่นจากห้วงความคิด เงยหน้าขึ้นมองสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวที่กำลังส่ายหาง มองตนอย่างน่าสงสาร
เห็นได้ชัดว่าด้วยสติปัญญาของสองคนนี้ พวกเขาไม่ยอมตายแบบนี้แน่ แม้จะมีโอกาสเสี้ยวหนึ่งก็ไม่ละทิ้ง
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับยิ้มเยาะ เขาไม่ใช่คนที่ชอบสงสารศัตรู คำพูดตอนกลางคืนก็ไม่ได้หลอก แต่จะเป็นจริงหรือไม่ต้องดูการกระทำในอนาคตของสุนัขใหญ่สีขาวสองตัว
“ต้าไป๋ ซานไป๋ ไปกันเถอะ” ซูหมิงยืนขึ้นเดินออกจากประตูลานบ้าน ผลักประตูเดินออกไป สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวรีบตามมาข้างหลัง โดยเฉพาะตัวสามขา มันวิ่งได้ไม่ช้าเท่าไรนัก
ซูหมิงเดินไปทางสุดตะวันตกของหมู่บ้านเหมือนเมื่อก่อน เมื่อแลกไหสุราให้ตาแก่แล้ว ระหว่างทางก็เจอกับชาวบ้านไม่น้อย ทุกคนยิ้มในยามเช้าตรู่ ทักทายกัน และก็ดูสนใจสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวข้างหลังซูหมิงมาก
โดยเฉพาะเด็กๆ เข้ามาล้อมสุนัขใหญ่สีขาวสองตัว และดูประหลาดใจเป็นพิเศษว่าเหตุใดสุนัขสามขาถึงวิ่งเร็วนัก
ไม่นานเมื่อซูหมิงกลับมาถึงลานบ้าน เด็กๆ ข้างนอกถึงแยกย้ายไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ละคนดูอยากรู้อยากเห็น เห็นได้ชัดว่าจะกลับไปเล่าเรื่องในวันนี้ให้บิดามารดาฟัง
ซูหมิงปิดประตูลาน นำไหสุราวางไว้ข้างประตูบ้าน ก่อนขมวดคิ้ว หันหน้าไปมองสุนัขใหญ่สีขาวสองตัว
“พวกเจ้าเคยเป็นผู้ฝึกฌานมาก่อน คงไม่ต้องกินข้าวหรอก?”
สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวมีสีหน้าเศร้ายิ่งกว่าเดิม ก่อนพยักหน้า
ซูหมิงไม่ตอบ แต่หยิบขวานมานั่งบนตอไม้แล้วเริ่มตัดฟืนของวันนี้ ทุกครั้งที่ยกขวานขึ้น สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวนั้นจะตัวสั่น เห็นได้ว่ายังเงามืดเมื่อคืนยังไม่หายไปในเวลาสั้นๆ
เสียงปึกๆ ดังก้องในหมู่บ้านยามเช้า ผู้คนล้วนรู้ว่าชายหนุ่มนามซูหมิงเริ่มตัดฟืนอีกแล้ว
จนกระทั่งดวงตะวันห่างจากพื้นสามคันเบ็ด ใกล้จะถึงยามกลางวัน ประตูบ้านเปิดออก ชายชราสวมชุดกันหนาวตัวเล็กถึงเดินบิดขี้เกียจออกมา เพิ่งออกมา สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวก็ตกใจจนหางรีบ วิ่งมาหาซูหมิง เหมือนว่าในมุมมองพวกมัน ซูหมิงอบอุ่นกว่าชายชราเยอะ
แต่ชายชราน่ากลัวที่สุดในใต้หล้าเท่าที่พวกเขาเคยพบมา
“ฮ่าๆ นอนเร็วตื่นเช้าสุขภาพดี นอนจนตื่นเป็นธรรมชาติสุขภาพดี เมื่อตื่นเล้วดื่มสุรา สุขภาพดี!” ชายชราหิ้วไหสุราเดินมาในลานบ้าน มองดวงตะวันบนฟ้ายามเที่ยงวันพลางพูดเสียงดัง
“ดื่มสุราแล้วกินเนื้อสุนัขสุขภาพดี!” ดวงตาชายชราเป็นประกายมองสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวใต้เท้าซูหมิง มองซ้ายทีขวาทีเหมือนกำลังตรึกตรองว่าวันนี้จะกินตัวไหน
“ซูหมิง เจ้าว่าวันนี้พวกเราจะกินตัวไหนดี?” ชายชราเดินเข้ามาหลายก้าวเร็วๆ นั่งยองมองสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวพลางกลืนน้ำทีละอึก
ซูหมิงไม่สนใจชายชรา แต่ยังคงตัดฟืนอย่างจริงจัง ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นการฟันขวานสองครั้งของชายชราเมื่อคืนวานอย่างต่อเนื่อง
ชายชราเห็นซูหมิงไม่ตอบจึงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ ก่อนมาอยู่ตรงหน้าซูหมิง นั่งยองลงตะโกนใส่
“ตื่นๆ!”
ซูหมิงขมวดคิ้ว เขายอมรับนิสัยประหลาดของตาแก่นี่ได้ แต่มีเพียงตอนที่ตาแก่ตะโกนเสียงดังราวกับคนบ้าที่ยังไม่ค่อยชินนัก
โดยเฉพาะตอนที่กำลังตกอยู่ในห้วงตระหนักรู้บางอย่าง การตะโกนแบบนี้ทำให้เขาตื่นทันที
“เจ้าหนู การตระหนักรู้ของเจ้าแกร่งเกินไปแล้ว เจ้าดูข้าตอนตัดฟืนเคยงีบหลับเมื่อไรกัน ข้าตัดฟืนทุกท่อนจะตื่นตลอด อย่าคิดถึงการตระหนักรู้อะไร ตระหนักรู้หรือ ตระหนักรู้ไปตระหนักรู้มาเจ้าไม่เหนื่อยรึ?
อย่าตระหนักรู้มั่วซั่ว ตัดฟืนก็คือการตัดฟืน อย่าแอบหนีไป ต้องจริงจัง! ในความคิดอย่ามีภาพอื่น แค่จริงจังกับการตัดฟืนก็พอ เอาล่ะ มาคุยเรื่องจริงจังกันดีกว่า เจ้าว่าวันนี้พวกเราจะกินตัวไหนดี?” ชายชรามีสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวขึ้นแทบจะเรียกว่าจริงจัง
“ข้าคิดว่าอย่าเพิ่งกินสองตัวนี้จะดีกว่า ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องการสุนัขเฝ้าบ้าน” หลายเดือนมานี้ ซูหมิงเรียนรู้ว่าจะคุยกับตาแก่นี่อย่างไร ตอนนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงตอบกลับอย่างจริงจัง
เมื่อซูหมิงแสดงสีหน้าแบบนี้ ชายชราก็ยังคงจริงจังเช่นกัน เขามองสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวที่ตอนนี้ตกใจจนตัวสั่นอย่างตั้งใจ จากนั้นลูบคางเหมือนกำลังใคร่ครวญคำพูดซูหมิง
“อืม มีเหตุผล มีเหตุผลมาก มีเหตุผลมากๆ มีเหตุผลอย่างยิ่ง!” ชายชราคิดอยู่นานก่อนพยักหน้าอย่างจริงจังมาก
พูดจบ สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวถอนหายใจโล่งอก มองซูหมิงด้วยความซึ้งใจ แต่ว่า…
“แต่ข้าอยากกิน” ต่อมาชายชราก็มองซูหมิงอีกครั้ง
ดังนั้นแล้วสุนัขใหญ่สีขาวสองตัวจึงตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง พวกมันพลันรู้สึกว่าชายชราเป็นคนบ้า ส่วนซูหมิงปกติเล็กน้อย
“ยังมีโอกาสอีก น่าจะอีกไม่นานก็จะมีสุนัขใหญ่สีขาวปรากฏตัวอีกไม่น้อย ถึงตอนนั้นพวกเราจะเลี้ยงไว้ให้เยอะขึ้น ท่านอยากกินตัวไหนก็กิน” ซูหมิงขบคิดอย่างตั้งใจอีกครู่หนึ่งแล้วตอบกลับอย่างจริงจัง
ชายชราได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที แต่ไม่นานกลับรีบเก็บอารมณ์ไป เผยท่าทีจริงจัง ตรึกตรองอยู่นานมากถึงพยักหน้า
“อืม มีเหตุผล มีเหตุผลมาก มีเหตุผลมากๆ มีเหตุผลอย่างยิ่ง!” ชายชราถูมือ แต่ไม่นานก็เบะหน้าร้องไห้
“แต่ข้าอยากกินตอนนี้”
สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวใกล้จะสิ้นหวังแล้ว ตอนนี้นอนหมอบตัวสั่น เหมือนความกล้าในการหนีได้หายไปจนสิ้น พวกมันได้แต่หวังว่าซูหมิงจะช่วยพวกมันได้
ซูหมิงเงียบ หยิบขวานขึ้นตัดฟืนต่อไม่สนใจชายชราอีก ครั้งนี้เขาไม่ได้ตระหนักรู้ ไม่ได้ตั้งใจ แต่ฟันขวานลงแบบตามอำเภอใจ ตัดฟืนไปทีละครั้งๆ
“หืม? เหตุใดเจ้าถึงเงียบไป?”
“จะจะเจ้า ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะกล้าเมินเฉยต่อคนชรา!”
“เจ้ายังไม่พูดอีกรึ?”
“ข้าจะบอกให้ ข้าจะโกรธแล้ว เจ้ายังไม่พูดอีกรึ!” ทุกครั้งที่ชายชราพูดขึ้นจะเปลี่ยนตำแหน่ง โดยเฉพาะตอนกล่าวประโยคสุดท้าย ซานไป๋ที่ขวางอยู่ตรงหน้าซูหมิงถูกเตะลอยไป จากนั้นมองซูหมิงอย่างเคร่งขรึม
ทว่าพอเห็นซูหมิงไม่พูดแต่ยังคงตัดฟืน ชายชราก็กลอกตา ช่วงที่ซูหมิงฟันขวานลง เขาใช้มือขวาหยิบฟืนนั้นออกอย่างรวดเร็ว ทำหลายครั้งเข้าแล้วก็หัวเราะเสียงดัง
ซูหมิงชินกับเรื่องนี้แล้ว หลายเดือนมานี้ขอไม่บอกว่าทุกวัน แต่ทุกช่วงหลายวันตาแก่จะมาเล่นแบบนี้ข้างๆ ด้วยท่าทีมีความสุขมาก
แต่วันนี้มีความต่างออกไปเล็กน้อย ตาแก่หิ้วหางต้าไป๋ที่กำลังจะหนีไปเงียบๆ วิ่งกลับมาวางบนฟืน ตอนที่ซูหมิงฟันขวานลง เขาก็หิ้วต้าไป๋หนีไปอย่างรวดเร็ว
เขาเล่นอย่างสนุกสนาน ซูหมิงยังคงสีหน้าเรียบนิ่ง แต่สำหรับต้าไป๋แล้ว นี่เป็นอันตรายเป็นตายหลายต่อหลายครั้ง ทำเอาใจสั่นไหวไม่รู้กี่ครั้ง
จนกระทั่งยามโพล้เพล้ ชายชราหัวเราะเสียงดัง เขาโยนต้าไป๋ที่ผ่านความเป็นตายมาตลอดช่วงบ่ายจนเฉยชาไว้ข้างๆ แล้วยืนขึ้นยืดตัวบิดขี้เกียจ
“ไม่สนุก ไม่สนุกเลย ซูหมิง พรุ่งนี้เจ้าไปหาสตรีมาให้ข้า อืม เอาก้นใหญ่ๆ ล่ะ!” ชายชรากำชับด้วยสีหน้าจริงจัง
พูดจบซูหมิงฟันขวานลงเอียงไปข้างๆ ฟืน เมื่อจัดการผงไม้เสร็จแล้วก็เงยหน้ามองชายชราด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นคำขอที่ซูหมิงอึ้งที่สุดตลอดหลายเดือนมานี้
“หืม? เหตุใดเจ้าทำหน้าแบบนี้ จะจะเจ้า…เจ้าดูถูกข้า!” ชายชราเห็นสีหน้าซูหมิงแล้วก็กระโดดลอยขึ้น ตะโกนเสียงดังด้วยความโมโหและอับอายอย่างยิ่ง
“เจ้าดูถูกข้า เจ้าทำเกินไปแล้ว ข้าเองก็เป็นบุรุษ เป็นบุรุษนะ ข้าต้องการสตรีบ้างแล้วอย่างไร คำขอข้าเกินไปรึ มันไม่เกินไปสักนิด ข้าต้องการสตรีก้นใหญ่ๆ!” ลมหายใจก่อนหน้านี้ชายชรายังโมโหและอับอาย ลมหายใจต่อมาดวงตาพลันเปล่งประกาย
“ว่าแต่เจ้าชอบสตรีก้นใหญ่ๆ หรือไม่?” ชายชรานั่งย่อตัวลงมองซูหมิงอย่างมีชีวิตชีวา
ซูหมิงเงียบ
“เฮ้อ เหตุใดเจ้าไม่พูดอีกแล้ว”
“จะจะเจ้า หากเจ้าไม่พูด ข้าจะขอสตรีก้นใหญ่สามคน!”
ซูหมิงถอนหายใจเบา
“ผู้อาวุโส ท่านทำแบบนี้จะไม่มีใครตัดฟืนให้ท่าน”
“หืม? เพราะเหตุใด ข้ามเรื่องนี้ไปก่อน เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยว่าเจ้าชอบสตรีก้นใหญ่หรือไม่?” ชายชราเหมือนรู้สึกว่านั่งยองจนเหนื่อย จึงคว้าซานไป๋สามขามารองก้นนั่ง แล้วรีบมองซูหมิงอย่างรอคอยคำตอบ
ซูหมิงเงียบ ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นร่างเงาสตรีสามคน ผ่านไปพักใหญ่ถึงส่ายศีรษะ แต่ไม่ว่าจะส่ายหน้าอย่างไรก็สลัดความเสียใจที่อบอวลในใจจากความทรงจำไม่ได้
เหมือนว่าชายชราจะสังเกตเห็นความเสียใจจึงเงียบลงเช่นกัน ผ่านไปพักหนึ่งซูหมิงถึงยกขวานตัดฟืนต่อ
ปึก ปึก ปึก…เสียงแบบนี้ดังกังวานในยามโพล้เพล้ ดังออกจากลานบ้านไปกังวานในหมู่บ้าน และก็ไปถึงสตรีคนหนึ่งที่กำลังเดินมาช้าๆ จากข้างนอกใต้ตะวันยามอัศดง
นางสวมชุดคลุมเต๋า แม้จะก้าวสู่วัยกลางคน แต่ใบหน้ายังคงงดงามมีบุคลิก นางเดินมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่เมื่อเดินเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่เดินผ่านข้างกายไม่สนใจราวกับมองไม่เห็น
ชุดคลุมเต๋าตัวใหญ่เหมือนจะปกปิดรูปร่าง แต่ร่างกายอ่อนช้อยยามเดินกลับทำให้รู้สึกได้ว่าร่างกายใต้ชุดคลุมเต๋ามีความงามของส่วนเว้าโค้งน่าตกตะลึง