Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1429
ดวงตาซูหมิงเป็นสมาธิ แม้ชายชราจะมีสีหน้าจริงจังบ่อยครั้ง ทำให้คนอื่นยากจะแยกออกว่าตอนใดจริงจังจริงๆ ตอนใดจริงจังหลอก ทว่าตอนนี้ที่ซูหมิงมองชายชรากลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเหมือนมีความรู้สึกว่าชายชราจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่า…นี่คือโชควาสนาจริงๆ
ขณะเงียบ ดวงตาซูหมิงฉายแววครุ่นคิด ตาแก่ไม่พูด แต่กลับเข้าไปในบ้าน เปิดประตูไว้ครึ่งบานดั่งการเลือก
“เข้าประตู…” ซูหมิงพึมพำ ประตูเปิดครึ่งหนึ่งเป็นการชี้ให้เห็นที่ง่ายมาก หากก้าวเข้าประตูก็จะเท่ากับเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของชายชรา!
ทว่ามีฐานะของศิษย์นี้ มีอาจารย์บ้าอำนาจในแคว้นกู่จั้ง พูดได้ว่าเส้นทางในอนาคตของซูหมิงจะราบเรียบ จะเห็นได้ว่านี่คือเป้าหมายของกู่ไท่ เขาพาซูหมิงมาที่นี่เพราะเรื่องนี้!
หลังผ่านการทดสอบมาหลายเดือน ตอนนี้เขาได้รับการยอมรับจากตาแก่ ดังนั้น…ถึงมีประตูเปิดไว้ครึ่งบาน
หากเป็นองค์ชายสามจริงๆ เช่นนั้นการเข้าประตูจะเท่ากับก้าวไปสู่จักรพรรดิครึ่งก้าวแล้ว เดินอยู่หน้าองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง กระทั่งด้วยนิสัยของตาแก่ก็คงจะเป็นพวกที่ยกหางพวกตัวเองด้วย
แต่ว่า…สิ่งที่ขวางก้าวนั้นของซูหมิงไม่ใช่สำนัก ไม่ใช่พึ่งชายชราคนนี้ และไม่ใช่การคุยเรื่องรักกับหญิงงามอะไรนั่น เขาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะเขาเข้าใจว่าชีวิตนี้บางครั้งสิ่งที่เห็นกับตาตัวเอง สิ่งที่ได้ยินกับหูตัวเองก็ไม่ใช่ความจริงเสมอไป ชายชราทำแบบนี้ย่อมมีความหมายแฝงอยู่ โดยเฉพาะประตูที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ซูหมิงเข้าใจความคิดชายชราแล้ว เพียงแต่…สิ่งที่เขาสนใจ…คือ…
เขาไม่ใช่องค์ชายสาม ความคิดนี้วนเวียนในหัวไม่หยุด เขาบอกกับตัวเองตลอดว่านี่คือการยึดร่างระหว่างเขากับเสวียนจั้ง!
เขาเข้าสำนักเจ็ดจันทราได้ รู้จักกู่ไท่ได้ ยอมรับสวี่จงฝานได้บ้าง แต่ความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้คือเปลือกนอก ภายในใจเขาไม่ยอมรับทุกคนกับเรื่องราวในโลกนี้แม้แต่น้อย
เพราะเขาไม่อยากอยู่โลกนี้ ไม่อยากให้เกิดการการผูกพันและข้อผูกมัด หากเกิดขึ้น…เขากลัวว่าจะแยกไม่ออกจริงๆ ว่าตนอยู่ข้างใด
การเป็นศิษย์เป็นเรื่องเล็ก แต่ด้วยนิสัยซูหมิงย่อมเข้าใจว่าหากเลือกเข้าประตูบานนั้น เขาจะผูกมัดกับชายชราจริงๆ และหากเกิดการผูกมัด ก็เท่ากับเกิดเส้นแรกกลางตาข่ายใหญ่ที่เตรียมถักขึ้น จนกระทั่งถักขึ้นทีละเส้นๆ จนออกมาเป็นตาข่ายใหญ่สมบูรณ์แล้ว มันจะขังเขาไว้ข้างใน…
จะไม่ให้เขาเงียบได้อย่างไร
เวลาผ่านไปช้าๆ จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม ประตูบ้านเปิดออกทั้งหมด หญิงงามเดินออกมาด้วยใบหน้าซีดขาว อาภรณ์ยังอยู่ครบ ช่วงที่เดินมาถึงลานบ้าน นางหันกลับไปมองบ้านแวบหนึ่งด้วยความตื่นกลัว ทั้งยังมองซูหมิงอย่างซับซ้อนก่อนประสานมือคารวะลึกๆ
“เรื่องก่อนหน้านี้ล่วงเกินไปมาก นับจากนี้เจ้าอยู่ที่นี่ อู๋เมิ่งจะหลีกเลี่ยง หากเจ้าสำเร็จเต๋าสูงศักดิ์ อู๋เมิ่งจะส่งของขวัญมาให้” หญิงวัยกลางคนพูดพลางประสานมือคารวะลึกๆ อีกครั้ง ก่อนเป็นสายรุ้งยาวขึ้นฟ้าหายไปในพริบตา
คล้อยหลังหญิงงาม ตาแก่เดินออกมาจากในบ้าน มานั่งอยู่ตรงธรนีประตู ไม่มีสีหน้าล้อเล่นอีก แต่ถอนหายใจเบา
“ชีวิตนี้ข้าไม่เคยรับศิษย์มาก่อน และก็ไม่รู้ว่าควรจะรับอย่างไร ดูท่าการรับศิษย์คงต้องให้ของขวัญด้วย ก็เลยคิดอยู่ว่าจะมอบพลังมหาเต๋าสูงศักดิ์ให้กับเจ้า หลังสูบพลังจากจีอู๋เมิ่งมาแล้วก็จะถ่ายในตัวเจ้า ภายใต้การช่วยเหลือของข้า ต่อให้ไม่สำเร็จมหาเต๋าสูงศักดิ์ ก็มากพอจะก้าวสู่เต๋าสูงศักดิ์
ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่เข้าใจ เหตุใด…ถึงปฏิเสธ?”ชายชรานั่งอยู่บนตอไม้ กล่าวพลางหยิบม้วนยาสูบออกมา มองซูหมิงในคืนมืดพร้อมถามขึ้นเนิบๆ
ซูหมิงเงียบ เขาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี อยู่กับตาแก่มาหลายเดือน เขาชอบชีวิตแบบนี้มาก ชอบการตัดฟืนแบบนี้ มองออกว่าตาแก่ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อตนแม้แต่น้อย ในทางกลับกันมันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมาก
“เจ้าก็รู้ว่าการเป็นศิษย์ข้า ด้วยสายเลือดราชวงศ์ของเจ้าแล้ว ข้าพาเจ้าไปเมืองหลวงพบบิดาเจ้าได้เลย เมื่อข้าบอกความต้องการแล้ว ต่อให้เป็นจักรพรรดิแห่งกู่จั้งก็ต้องเห็นด้วยที่ให้เจ้าเป็นองค์รัชทายาท!
หากเขาไม่เห็นด้วย ข้าจะสังหารองค์ชายสองคนนั้น! ต่อให้ไอ้บัดซบซิวหลัวเต้ามาขวาง แม้ข้าจะสังหารเขาไม่ได้ แต่ก็ทำลายฝ่ายอสุราเขาได้!
เจ้ารู้หรือไม่ว่า…เจ้าปฏิเสธโชควาสนาอะไรลงไป! นี่คือการรับศิษย์ครั้งแรกของข้า ตั้งแต่ที่ข้าฝึกเต๋ามาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าตรึกตรองอย่างจริงจังนานมากว่าควรจะเตรียมโชควาสนาอะไรไว้ให้ศิษย์ ควรจะอุ้มชูศิษย์อย่างไรเพื่อให้เดินไปถึงจุดสูงสุดของแคว้นกู่จั้ง!
มีข้าเป็นอาจารย์ เจ้ายังมีโอกาสก้าวสู่เทพเต๋าขั้นเก้า! เจ้า…เพราะเหตุใดถึงปฏิเสธ! ปฏิเสธชายชราน่าสงสารคนนี้ ปฏิเสธชายชราผู้โดดเดี่ยว…เจ้าทำลงคอได้อย่างไร!” ชายชราพูดไปพูดมาก็ถอนหายใจ
“สุนัขสองตัวนั่น เดิมทีเป็นของที่อาจารย์เตรียมไว้ เป็นสัตว์วิญญาณในภายภาคหน้าของเจ้า เพราะในมุมมองข้า สัตว์วิญญาณทั้งหมดในแคว้นกู่จั้งไม่คู่ควรกับศิษย์ของข้า สัตว์วิญญาณข้างกายศิษย์ข้าจะต้องเป็นผู้ฝึกฌานแปลงกาย มีแต่แบบนี้เท่านั้นมากพอจะโอหัง!
แต่เจ้า…จะจะเจ้า เจ้ากลับกล้าปฏิเสธข้า เจ้าดูถูกข้า!” ชายชราถลึงตามองซูหมิงด้วยความโกรธ
ซูหมิงมองตาแก่เงียบๆ ในใจสั่นสะเทือนแล้ว จากประสบการณ์ แม้ชายชราจะแกร่งกว่าเขามากๆ อายุก็มากกว่าไม่รู้เท่าไร แต่ซูหมิงไม่ใช่ผู้ฝึกฌานธรรมดา ประสบการณ์ในชีวิตทำให้เขาแยกออกว่าใคร…ดีต่อเขาจริงๆ
อย่างเช่นชายชราคนนี้ แม้จะอยู่ด้วยกันหลายเดือน แต่เขาเป็นคนที่จริงใจต่อซูหมิงซึ่งมีไม่กี่คนที่พบในแคว้นกู่จั้ง
ซูหมิงถอนหายใจเบา เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองดาราบนฟ้า ยกมือขวาขึ้นโบก สุนัขสองตัวพลันหัวเอนล้มลงหมดสติไป ตั้งแต่ที่ซูหมิงตั้งชื่อให้พวกมัน เขาก็รู้ความคิดชายชราแล้ว นั่นไม่ใช่การตั้งชื่อ แต่เป็นการประทับรูปแบบชะตา
“หากข้าเป็นองค์ชายสามจริงๆ บุญคุณครั้งนี้ ข้าย่อมเป็นศิษย์ผู้อาวุโส” ซูหมิงพูดขึ้น เขารู้ว่าจะพูดแบบนี้ไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ยังพูดออกไป บางครั้งก็ไม่ต้องใคร่ครวญมากนัก ต้องถามใจตัวเอง
ชายชราอึ้งไป ก่อนเงยหน้าเพ่งมองซูหมิง
“ข้าไม่ใช่องค์ชายสาม เหมือนกับที่ข้าบอกไว้กับผู้อาวุโสก่อนหน้า ข้ามีนามว่าซูหมิง ไม่ใช่…เสวียน” ซูหมิงพูดเสียงเบา คำพูดดังก้องไปรอบๆ
ชายชราหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนพูดต่อเนิบๆ
“ว่าต่อไป”
“ข้าน่าจะไม่ใช่คนของโลกนี้ บ้านเกิดข้าคือผีเสื้อที่มีนามว่าซางเซียง กำเนิดบนปีกของมัน นั่นคือ…โลกสามรกร้าง สุดท้ายซางเซียงตายลง ถูกผู้ฝึกฌานนามว่าเสวียนจั้งสังหาร ส่วนข้า…หลังจากเห็นญาติพี่น้องทุกคนตายหมดแล้ว ข้าก็เลือกยึดร่างเสวียนจั้ง!
ตอนที่ข้าตื่นขึ้น ข้ามาอยู่ที่นี่ ถูกเรียกว่าองค์ชาย มีนามใหม่คือเสวียน” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อเบาๆ
เงียบ ในยามค่ำคืนในลานนี้ เมื่อซูหมิงพูดจบก็เงียบสงัด เขาไม่ได้พูดต่อ ส่วนชายชราหลับตาลงเงียบไป
จนผ่านไปครึ่งชั่วยาม ชายชราลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“เจ้าสงสัยว่าที่นี่เป็นของปลอม คิดว่านี่คือโลกที่เกิดขึ้นจากความทรงจำของเสวียนจั้งตอนที่เจ้ายึดร่างเขา กระทั่งเจ้ายังกังวลว่าทุกอย่างเจ้าที่ประสบมา ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่เสวียนจั้งเคยผ่านมาในอดีต!
ดังนั้น เจ้าถึงไม่อยากผูกพันกับทุกคนที่นี่ เจ้าคิดแค่จะฝึกฝนที่นี่จนอยู่ระดับเดียวกับเสวียนจั้ง เจ้าก็จะยึดร่างสำเร็จ!
นี่ก็เป็นสาเหตุที่เจ้าไม่ยอมเป็นศิษย์ข้า ทว่าเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากที่นี่…เป็นของจริงล่ะ?” ชายชราถามขึ้นเบาๆ พูดจบ ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองชายชราอย่างไม่ลังเล
“บ้านเกิดข้าอยู่สามรกร้าง!”
ชายชราเงียบ หนึ่งก้านธูปต่อมาก็ถอนหายใจ ดวงตาเหมือนจะสับสน เสียงแหบแห้งดังก้องในคืนมืด
“ยังจำวันแรกที่เจ้ามาที่นี่ได้หรือไม่ เจ้าถามข้าว่าอะไร?”
“ข้าถามผู้อาวุโสว่าจะตัดอะไร” ผ่านไปครู่หนึ่งซูหมิงถึงตอบกลับ
“เมื่อนานมาแล้ว หลังจากข้าก้าวสู่เทพเต๋าขั้นเก้า ตอนที่ข้าโด่งดังไปทั่วแคว้นกู่จั้ง ตอนที่ข้าแสวงหาขอบเขตพลังเต๋าไร้ที่สิ้นสุด ข้าเห็นเงาสะท้อนตัวเองในทะเลสาบ ข้าพลันเกิดความสับสน…
ว่าคนนั้นในทะเลสาบคือข้าหรือคนนอกทะเลสาบคือข้ากันแน่ เจ้าซิวหลัวเต้าบัดซบบอกว่าข้าบ้า กู่หวงตาแก่สมควรตายก็บอกว่าข้าเดินผิดทาง แต่ข้ารู้ใจตัวเองดีว่าตอนที่มองในทะเลสาบ ข้ากำลังถามตัวเอง
แต่ข้า…หาคำตอบไม่พบ
ข้าฝึกฝนมาทั้งชีวิต เข้าใจทุกอย่าง แสวงหาความจริง แสดงหาการขัยข้อสงสัย แต่ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจความสับสนนี้ จากนั้นมาข้าก็ไม่เข้าใจว่าโลกที่ข้าอยู่เป็นจริงหรือหลอก…ข้าก็คิดว่าบางทีข้าอาจจะบ้า ดังนั้น…
ข้าถึงตัดฟืนอยู่ที่นี่ ทว่าข้ายกขวานขึ้นกลับไม่รู้ว่าจะตัดความจริงทางซ้ายคือตัดการหลอกทางขวา! ตอนที่ข้าฟันขวานลง ข้าจะบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุด! นี่เป็นเหตุผลสามส่วนว่าเหตุใดซิวหลัวเต้ากับกู่หวงถึงยำเกรงข้า” ชายชราพูดขึ้นเนิบช้า ในน้ำเสียงมีความสับสน กลายเป็นเสียงถอนหายใจเบา
“เพราะว่าข้าพบความหมายแท้จริงของโลกนี้! และตอนนี้…คำพูดของเจ้าตรงกับเต๋าของข้า ซูหมิง…เจ้าว่าเจ้าควรมาเป็นศิษย์ของข้าดีหรือไม่ ช่วยข้าตัดเต๋านี้ ว่าอย่างไร!” ชายชรายืนขึ้นช้าๆ มองซูหมิง
“หากโลกนี้เป็นจริง เราศิษย์อาจารย์สองคนจะไม่หวั่นเกรงผู้ใดในแคว้นกู่จั้ง หากโลกนี้เป็นของปลอม อาจารย์จะตัดเต๋าตัวเองและช่วยให้เจ้ายึดร่างสำเร็จ!” ทันทีที่ชายชราเหยียดตัวตรง มีพลังที่ทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือนแผ่มาจากตัวเขาอย่างชัดเจน
นั่นคือหนึ่งคำพูดหนักประหนึ่งเก้าหม้อใหญ่ นั่นคือคำพูดยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองใคร!